Mad Max (1979) | แมดแม็กซ์ | B
Director: George Miller
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi | Thriller
ในโลกที่ไม่เหมือนก่อนที่ต้องจมอยู่กับความเวิ้งว้างปราศจากสิ่งแวดล้อมอันสะดวกสบาย ทำให้นายตำรวจ แม็กซ์ ร็อคเก็ทแทนสกี้ (Mel Gibson) ต้องพยายามสร้างความสงบสุขให้กลับมากับสังคมที่สุดเหลวแหลกของออสเตรีเลีย แต่การทำสิ่งที่ถูกต้องกลับต้องมาพบจุดจบที่ไม่สามารถมีสิ่งใดทดแทนได้ เมื่อเขาต้องสูญเสียของที่รักไปคือภรรยาที่รักและลูกที่หวังว่าสักวันต้องเป็นคนดีอย่างที่เขาเป็นด้วยน้ำมือของผู้เหล่าร้ายที่ต้องการทำลายความสงบสุข แม็กซ์จึงตามล่าแบบสุดแค้นที่พร้อมด้วยความสุดโหดที่ไม่ให้อภัยกับสิ่งที่พวกเขาได้ทำ ทำให้แม็กซ์เปลี่ยนไปเป็นอีกคนที่ไม่อยู่นอกเหนือกฎหมาย เขาไม่ใช่ผู้รักษากฎหมายอีกแล้วเพราะเขาคือนักล่าแห้งท้องถนน และเขาคือ แมดแม็กซ์
จะบอกได้ว่านี่เป็นหนังที่แจ้งเกิด Mel Gibson ที่ต่อมาเขาก็โด่งดังในอีกหลายเรื่อง อย่าง Lethal Weapon 1987 ที่รับบทเป็นตำรวจเหมือนกัน ถึงจะแจ้งเกิดอย่างไงการแสดงยังไม่ถึงกับสุดยอดเพราะบทที่เรียนมันเหมือนกับการมองโลกที่เปลี่ยนไปจากดีเป็นร้าย แต่เชื่อได้เลยว่าบทเหมาะสมกันดีมาก จากตำรวจธรรมดาที่ทำตามกฎมีความสุขกับครอบครัว แต่พอเรื่องเปลี่ยนผลของการเกิดเรื่องทำให้กลายอีกคนที่พร้อมแหกกฎทุกเมื่อเพื่อการล้างแค้น
แต่การแจ้งเกิดของ Mel Gibson ไม่ใช่ได้มาเพราะความสามารถหรืออย่างใดแต่ได้เพราะเพื่อนแบบบังเอิญครับ คือแกไปเป็นเพื่อนกับคนที่จะรับบทแม็กซ์ แล้วทีมงานไม่รู้อย่างไงไปเห็นหน้าเข้าจึงเป็นที่น่าสนใจทันที แต่ก่อนจะมากองถ่ายคืนก่อนได้ไปมีเรื่องกับอันธพาลในบาร์ บางทีหน้าที่ดูละอ่อนคงเป็นเหตุกับคำว่าใช่ เพราะคิดว่าเด็กนี่มีใจสู้บวกกับหน้าที่ดูอ่อนๆ ทำให้ทีมงานลองยื่นบทให้แกโดยระหว่างนั้นก็คอยให้แผลหายเสียก่อนจากนั้นค่อยมา และผลคือได้บทนี่ไปแสดงอย่างสมบูรณ์แบบ
แต่การแจ้งเกิดของ Mel Gibson ไม่ใช่ได้มาเพราะความสามารถหรืออย่างใดแต่ได้เพราะเพื่อนแบบบังเอิญครับ คือแกไปเป็นเพื่อนกับคนที่จะรับบทแม็กซ์ แล้วทีมงานไม่รู้อย่างไงไปเห็นหน้าเข้าจึงเป็นที่น่าสนใจทันที แต่ก่อนจะมากองถ่ายคืนก่อนได้ไปมีเรื่องกับอันธพาลในบาร์ บางทีหน้าที่ดูละอ่อนคงเป็นเหตุกับคำว่าใช่ เพราะคิดว่าเด็กนี่มีใจสู้บวกกับหน้าที่ดูอ่อนๆ ทำให้ทีมงานลองยื่นบทให้แกโดยระหว่างนั้นก็คอยให้แผลหายเสียก่อนจากนั้นค่อยมา และผลคือได้บทนี่ไปแสดงอย่างสมบูรณ์แบบ
ในเรื่องไม่มีการลงทุนอะไรมากให้ออกมาดูอลังการเพราะต้องการให้ออกมาดูดิบ เพราะโลกที่โดนสงครามนิวเคลียร์คงไม่มีอะไรให้ได้ดูนอกจากความว่างเปล่ากับสภาพเมืองที่ดูออกโทรมๆแต่สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ
ฉากบู๊แอ๊คชั่นออกมาได้ดูดิบเหมือนไม่มีการตัดต่อคล้ายเล่นแล้วเล่นเลย มีการไล่ล่าที่ดูสะใจ และที่สำคัญของเรื่องคืออารมณ์เวิ้งว้างเพราะในเรื่องแทบไม่มีอะไรกับฉากพื้นเลย ให้ความรู้สึกที่ดูแล้วออกมาลำบากไม่มีหวังหรือกำลังใจ และสภาพแวดล้อมที่ดูเป็นยุคดึกดำบรรพ์ ก็คือผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด ถ้าดูดีเรื่องความเห็นแก่ได้การแก่งแย่งและการใช้อำนาจมันมีอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปแบบไหนสิ่งนี้ยังคงอยู่
ฉากบู๊แอ๊คชั่นออกมาได้ดูดิบเหมือนไม่มีการตัดต่อคล้ายเล่นแล้วเล่นเลย มีการไล่ล่าที่ดูสะใจ และที่สำคัญของเรื่องคืออารมณ์เวิ้งว้างเพราะในเรื่องแทบไม่มีอะไรกับฉากพื้นเลย ให้ความรู้สึกที่ดูแล้วออกมาลำบากไม่มีหวังหรือกำลังใจ และสภาพแวดล้อมที่ดูเป็นยุคดึกดำบรรพ์ ก็คือผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด ถ้าดูดีเรื่องความเห็นแก่ได้การแก่งแย่งและการใช้อำนาจมันมีอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปแบบไหนสิ่งนี้ยังคงอยู่
เป็นโลกที่มีแต่ความเร็วเท่านั้นที่จะอยู่รอดกับพาหนะ จะเห็นได้ว่าเหมือนหนังที่มีรถเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มความมันส์ของหนังเข้าไปและกลายเป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ของเรื่องนี้ แต่ประเด็นอยู่ที่บทแม็กซ์ และเขาเท่านั้นที่จะยอมทำทุกอย่างเพื่อทวงความยุติธรรมให้จงได้
หนังทำออกมาดีและฉับไว ไม่ยื้อเย้อกับเวลาให้เสียไป เป็นโลกอนาคตที่หดหู่มองไปมีแต่พื้นทรายที่กว้างใหญ่ การใช้โทนนี่ยิ่งเพิ่มระดับความเวิ้งว้างคือความสว่างที่ดูไม่มีมืดทึบ เป็นการบ่งบอกได้ดีว่าที่นี้ไม่มีอะไรเลย เป็นสถานที่ที่ดูแล้วไม่มีความสงสุขอย่างแท้จริง และที่สำคัญหนังทำออกมากดอารมณ์คนดูคือเดาทางได้ยาก เปรียบว่าจะให้ลุ้นก็ไม่ลุ้นเป็นความรู้สึกที่ว่าหนังมันหดหู่อย่างสมบูรณ์
หนังทำออกมาดีและฉับไว ไม่ยื้อเย้อกับเวลาให้เสียไป เป็นโลกอนาคตที่หดหู่มองไปมีแต่พื้นทรายที่กว้างใหญ่ การใช้โทนนี่ยิ่งเพิ่มระดับความเวิ้งว้างคือความสว่างที่ดูไม่มีมืดทึบ เป็นการบ่งบอกได้ดีว่าที่นี้ไม่มีอะไรเลย เป็นสถานที่ที่ดูแล้วไม่มีความสงสุขอย่างแท้จริง และที่สำคัญหนังทำออกมากดอารมณ์คนดูคือเดาทางได้ยาก เปรียบว่าจะให้ลุ้นก็ไม่ลุ้นเป็นความรู้สึกที่ว่าหนังมันหดหู่อย่างสมบูรณ์