127 Hours (2010) | 127 ชั่วโมง | A
Director: Danny Boyle
Genres: Biography | Drama
ถ้าไม่รู้จักท้อก็ต้องห้ามแพ้ถึงจะเป็นหมาจนตรอก แต่โบราณว่าหมาจรตรอกมักน่ากลัวยิ่งกว่า นักปีนเขา อารอน รัลสตัน(James Franco) กับการผจญภัยกับสิ่งที่รักและเพลิดเพลิน จนฝันดีกับการใช้ชีวิตที่สนุกสนานต้องเจ็บปวดฝังลึกถึงจิตใจกับการโดนทรมานทั้งเป็นจากการที่โดนก้อนหินหล่นทับใส่มาที่แขนแบบเหมือนตั้งใจ จนต้องอยู่สภาพติดกับที่อย่างโดเดี่ยวในร่องหุบเขาที่ยูท่าห์ แต่นั้นยิ่งย้ำและทรมานจิตใจไปเรื่อยๆเพราะการติดแบบปล่อยไม่ได้ ยิ่งเวลาเดินไปเท่าไรความหวังที่จะรอดจากสถานที่พาอัปมงคลก็ยิ่งน้อยตาม แต่สิ่งที่ยังยึดเหนี่ยวให้รู้จักคำว่าสู้ได้คือเราต้องรอด ถึงแม้จะได้หวังว่าจะสวยหรูแต่ถ้าสำเร็จฝันร้ายนี่จะจบลง
James Franco ใส่ระเอียดของอาการส่อเป็นส่อตายได้อย่างสมบูรณ์และธรรมชาติในแบบที่เป็นใครเจอก็ต้องอารมณ์นี่ทั้งนั้น เริ่มจากความสดใสกับความชอบที่จิตใจล้นเหลือแบบไม่มีลิมิตผจญภัยตามที่ตัวเองต้องการ จนฝันร้ายที่ปนคราบในฝันดีก็รุนแรงจนเกิดเรื่องเข้ามาทำให้ปฏิกิริยาท่าทางหมายจะเอาชีวิตก็ชัดแบบไม่สะดุด ความพยายามที่เอาตัวรอดเป็นเรื่องสำคัญและใจหลักของการใช้อาการร่วมกับร่างกายและนั้นก็เหมือนติดกับหินจริงๆ ด้วยการขยับที่ไปได้ไม่เกินการตึงของแขนและสถานที่แบบไร้ร่องรอยเพราะเป็นร่องก็เหมือนคุกดีๆที่ร่ามไว้กับหินแทนที่จะเป็นโซ่
Danny Boyle ได้ทอดแทรกมุกไปบางอารมณ์เผื่อให้ผู้ชมรู้ถึงความเครียดที่มากขึ้นและควรผ่อนลงบ้างในบางเวลา และนั้นก็เป็นปมอย่างหนึ่งที่ควรคำนึงคือสติ ในเวลาที่กระวนกระวายอยากรอดอย่างเดียวเป็นสัญชาตญาณที่หลีกเลื่ยงไม่ได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าอารอนได้ทำทุกวิถีทางในการหลุดจากหินเป็นการสะท้อนถึงตัวผู้ชมที่ดูและคิดว่าถ้าสิ่งที่เรียกว่าสติหลุดไปจะเกิดอะไรขึ้น อาการ จิตใจ ความรู้สึก จะเลื่อนรางไปโดยปริยายและอาจต้องติดแบบนั้นจนตัวตาย
ความเวิ้งว้างเป็นส่วนอย่างดีในการกระตุ้นความเป็นสังคมที่ต้องการความช่วยเหลือ เมื่อมีปัญหาจะพยายามขอความช่วยเหลือกรีดร้องเอาให้ดังๆหวังว่ามีคนได้ยินและมาช่วยในที่สุด แต่ในทางตรงข้ามไม่มีอะไรเลยเพราะการผจญแบบคนเดียวในความว่างเปล่าที่มีแต่หินผารอบล้อมทั่วสายตา มี้องฟ้าที่เห็นเมื่อข้างบนและบรรยากาศเหมือนติดเกาะในมหาสมุทรแต่กับเรื่องนี่ทั้งแห้งแล้งและแคบ เป็นการกดอารมณ์ให้อยู่ตามกฎแบบบังคับกันทั้งจิตใจ การสะท้อนของหนังแสดงถึงความรู้ที่ต่อมีมากมายแค่ไหนแต่ถ้าไม่มีอะไรที่ช่วยได้ก็ย่ำแย่เหมือนกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะมีมีความรู้ระดับปริญญาระดับไหนก็ตาม ถ้าสตไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าจิตตกที่คลั่งกับสิ่งที่ตัวเองเจอ
127 Hours เป็นเวลาที่ยาวนานมาถ้าได้อยู่กับที่ในที่เดียวทั้งวัน Danny Boyle ใช้ประเด็นของเวลาตัวหนังที่ยังเดินและตั้งคำถามต่อไปว่าเป็นคุณจะทำอย่างไงให้ตัวเองรอดไปได้ ถึงแม้ตัวหนังจะบ่งบอกว่าใช้วิธีแบบนี่และอย่างนั้น แต่เวลาที่ผู้ชมตั้งใจดูแบบใจจดใจจ่อคอยกำลังให้เสมอนั้น ถ้าเป็นคุณจะใช้วิธีนี่ไหม เหมือนการตอบคำถามโดยมีเวลาเป็นกำหนดถ้าหมดเวลาลงคุณต้องเลือกและหวังว่านั้นคือโอกาศที่หาได้ยากในตอนกำลังทรมาน
ถึงหลายคนที่ดูจะเป็นมากกว่าการเป็นส่วนร่วมกับหนังจนรู้สึกวื้อวาขึ้นมาจนคิดไปว่านำเสนอออกมาได้ดูอุดจาดบาดตาและทำร้ายความรู้สึกทั้งอารมณ์และการสัมผัสถึงตัวละครที่ออกมารุนแรง ตัวหนังมีการเล่าเรื่องโดยใช้กล้องที่มีอยู่บันทึกตัวเองตลอดเวลาทั้งตอนที่ยังติดซอกหินอยู่ด้วย ซึ่งเป็นภาพที่สื่อได้ชัดเจนและเป็นจริงมากที่สุดกับเรื่องสุดลำบาก ต้องยอมรับว่าการทำให้ดูเป็นเรื่องสมจริงสมจังขึ้นมาจนดูเป็นแสนสาหัสและสุดทรมาน ถ้าประเด็นที่คิดง่ายๆเป็นจริงและทำจริงในเมื่อติดอยู่ก็ไม่จำเป็นต้องพาไป แต่เลือกที่จะบ้าระห่ำเพราะรู้ว่าแบบนี่ต้องรอดชัวร์เป็นหนังสนับสนุนแนวคิดที่ว่าสิ่งที่มีมากับตัวเป็นเรื่องสำคัญและความสำคัญนี่ทำให้เราลืมไปว่ายังมีโอกาศรอดถ้ารู้จักเสียสละ ถึงตัวหนังจะมีลูกเล่นมากมายทั้งความเป็นชีวิตชีวาแต่นั้นก็เพิ่มเข้าไปจนรู้สึกอืดอัด และทางตรงกันข้ามการอาศัยทุกวิถีทางอันยากลำบากจะเป็นแก่นแท้ของความซาบซึ้งที่ว่าการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดและไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรมเป็นแบบไหน
ความตายเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในเวลาห้วงสุดท้ายของชีวิต หนัง 127 Hours มีเนื้อหาและหนุกจุดด้านแสดงออกถึงสัญชาตญาณและการตื่นตัวที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค เป็นผลงานที่สร้างเหตุการณ์จากเรื่องจริงของชาย อารอน รัลสตัน ผู้ซึ่งรักการผจญภัยกลางแจ้ง โดยเฉพาะการปีนป่ายภูเขาและหน้าผาสูงเป็นชีวิตจิตใจ แต่แล้ววันเลวคืนร้ายความซวยก็มาเยือนเมื่อเขาประเมินความแน่นหนาของหินก้อนหนึ่งที่ติดอยู่ในรอยแยกของโตรกผาต่ำเกินไป และร่วงหล่นลงมาพร้อมกับหินก้อนนั้น และจะลงเอยในสภาพที่มันหนีบแขนข้างขวาของเขาไว้กับผนังของซอกเขานั้นอย่างไม่มีทางขยับเขยื้อนด้วยเรี่ยวแรงของมนุษย์เพียงคนเดียวและเวลาก็เริ่มขึ้นจนเป็นที่มาของชื่อหนัง 127 Hours หรือ 5 วัน 7 ชั่วโมง กับการอยู่ในสภาวะติดแหง็กที่กินเวลาที่เผาผลาญจิตใจ จนถึงได้เด็ดขาดและรอดออกมาแบบปฏิหาริย์ไม่ช่วยอะไรเลย นอกจากตัวเองเท่านั้น