Armageddon (1998) | วันโลกาวินาศ | B
Director: Michael Bay
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi | Thriller
มหานครนิวยอร์กถูกถล่มด้วยอุกกาบาตไฟ ที่ฮ่องกงก็เกิดคลื่นยักษ์จากอุกกาบาต จนเป็นที่สังเกตของความหายนะว่าเกิดอะไร แดน ทรูแมน (Billy Bob Thornton) ผู้อำนวยการองค์การนาซาพบว่า โลกมีเวลาเหลือเพียง 18 วันเท่านั้น ก่อนถูกทำลายล้างด้วยดาวหางขนาดใหญ่เท่ารัฐเท็กซัสที่กำลังพุ่งตรงลงมา ทำให้มีวิธีเดียวที่แก้ไขได้คือเจาะดาวหางให้ได้ 800 ฟุตและฝังหัวระเบิดนิวเคลียร์ที่แกนกลางของดาวหางดวงนี้ ซึ่งผู้ที่จะทำภารกิจนี้ได้ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการจุดเจาะเท่านั้น และนั้นเป็นจุดเริ่มต้นหรือจุดจบกับภารกิจของแฮร์รี่ สแตมเปอร์ (Bruce Willis) และลูกทีมคนอื่นๆที่ต้องพบงานใหม่ที่หมายถึงชีวิตทุกชีวิตบนโลก แต่ปัญหาคือแฮร์รี่และเพื่อนของเขาไม่เคยได้รับการฝึกการบินอวกาศหรือทักษะใดๆบนดาว ซึ่งนั้นทำให้เวลาเหลือน้อยทุกทีและจะทำยังไงกับความรับผิดชอบที่เดิมพันด้วยผู้คนบนโลกที่ต่างฝากความหวังและศรัทธากับพวกเขา
Michael Bay ยังคงสร้างหนังที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบของตัวเองและนั้นทำให้รู้ทันทีว่าหนังเรื่องนี่ใครสร้าง เพราะฉากที่ไม่ใช้ภาพแบบเอียงๆให้ดูสัมผัสได้ถึงส่วนลึกของตัวหนังจนขนลุกหรือจะฉากแอ็คชั่นที่ดูอลังการแบบขลังๆที่ตราตรึงใจผู้ชม แต่หนังโดนวิจารณ์ในทางลบเพราะความไม่ตรงกับเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ อย่างการมีอุกกาบาตกำลังจะพุ่งชนโลกใน 18 วัน จึงต้องส่งทีมออกไปกู้โลกเป็นสูตรสำเร็จของภาพยนตร์แนวนี้ที่เห็นกันชัดเจน โดยเนื้อเรื่องใส่ประเด็นขบคิดในการแก้ไขคือขึ้นยานอวกาศนำเครื่องขุดเจาะไปเจาะอุกกาบาตแล้วเอาระเบิดฝังเพื่อทำลายให้กลายเป็น 2 ส่วนโดยแยกให้ออกจากกันเป็นการเบี่ยงเบนทิศทางที่จะชนโลกให้ออกไป 2 มุม ทำให้ตัวละครที่ต้องใช้จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญซึ่งคือนักขุดเจาะน้ำมัน และเป็นข้อถกเถียงบนข้อมูลทางวิทยาศาตร์ที่ไม่สมจริง เช่น เรื่องการขุดเจาะและฝังระเบิดบนอุกกาบาตที่กำลังเคลื่อนที่ จากหลักการทางวิทยาศาสตร์แทบไม่มีความเป็นได้เลย ตามเนื้อเรื่องอุกกาบาตมีขนาดประมาณรัฐเท็กซัส เคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 35,400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อย่าว่าแต่ลงไปตั้งเครื่องขุดเจาะเลยแค่จะยืนยังแทบเป็นไปไม่ได้ โลกของเราเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 108,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้จะมากกว่าอุกกาบาตในเรื่อง แต่โลกมีแรงโน้มถ่วงที่ยึดเราไว้เราจึงเคลื่อนที่ไปพร้อมกับโลกไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนที่ แต่อุกกาบาตที่มีมวลเล็กน้อยเมื่อเทียบกับโลกไม่มีแรงยึดคนไว้บนพื้นผิวแน่นอน หากเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจึงไม่น่าจะไปยืนอยู่บนอุกกาบาตได้เลย แต่ตัวหนังได้ทำชุดอวกาศต้านแรงโน้มถ่วงให้ดูขยับไปมาเหมือนเดินบนโลกอย่างสบายๆ แต่ด้วยความเร็วอุกกาบาตแล้วจริงๆก็เอาไม่อยู่ ถึงด้านสาระจะผิดเบี่ยนจากความจริงโดยสิ้นเชิงแต่ในความผูกพันของเนื้อเรื่องยังจัดว่าอุดมด้วยความตอกย้ำที่สนองความต้องการของผู้ชมได้ไม่สะดุดตา
เป็นหนังที่ตั้งคำถามประเด็นได้ดี ถ้าภารกิจผิดพลาดล้มเหลวขึ้นมาสิ่งที่อยากทำก่อนจะจบชีวิตลงคืออะไร ซึ่งตัวหนังได้แสดงออกมาในทางที่แตกต่างและหลายมุมจากการที่สมาชิกแต่ละคนไปทำหน้าที่ที่อาจสุดท้ายในแบบของตัวเอง โดยแต่ละฉากดูสำคัญเพราะเป็นการบอกทางเลือกที่เหมาะสม เช่น ชิค (Will Patton) ที่มีความหวังสุดท้ายอยากเห็นหน้าลูกถึงแม้ยังคงเป็นที่รังเกียจจากภรรยาก็ตาม ถึงแม้จะดูผิดหวังกับเรื่องที่อยากทำ แต่นั้นยังดูคุ้มค่าและมีความหมายกับสิ่งที่ทำลงไปและยิ้มในใจว่าได้ทำเรื่องที่พอใจกับตนมาดีแล้ว หรือการคิดไปเองของร็อคฮาว (Steve Buscemi) ที่หลงระเริงกับความคิดของตัวเองที่ว่าโลกจะถึงความวินาศขึ้นถึงกับทำเรื่องไม่เป็นเรื่องในทางลบก่อนจะรู้ตัวว่าไม่สมควร แฮร์รี่ สแตมเปอร์ คือตัวหลักของเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบที่อัดแน่นไปด้วยความรับผิดชอบของความเป็นพ่อที่พยายามเข้าใจลูกสาวเกรซ (Liv Tyler) ของตัวเอง แฮร์รี่เต็มไปด้วยการเสียสละและหวั่นไหวที่แอบแฝงจากอารมณ์ส่วนลึก จากเรื่องแฮร์รี่เป็นคนแข็งไม่ยอมใครและให้ลูกสาวผูกพันธ์กับใครจนไม่เป็นที่พอใจในหลายครั้ง แต่ใครจะรู้ว่าถ้าบุคคลนี่คือจุดเริ่มของความบริสุทธิ์ก็คงเป็นความรักที่ลึกซึ้งที่เกินคำบรรยายกับหน้าที่ที่ต้องดูแลในหัวอกของผู้เรียกว่าพ่อ ในเบื้องต้นได้เพิ่มความสัมพันธ์ของบุคคลทั้งสองที่ต้องทำงานรวมกันแบบไม่รอยระหว่างแฮร์รี่กับเอ.เจ. (Ben Affleck) ที่ไปรักเกรซเข้าโดยแฮร์รี่ไม่ยินยอมและนั้นเป็นตัวขัดแย้งที่เชื่อมความสัมพันธ์จนสุดท้ายทั้งคู่เหมือนคู่หู่คู่หนึ่งที่ยอมตายแทนได้เพราะหน้าที่และความรัก
ในส่วนของเนื้อเรื่องจัดว่าดราม่าเป็นตัวเพิ่มความประทับใจ จะว่าทั้งดนตรีประกอบหรือการแสดงของตัวละครที่แอบเอาซึ้งจนเรียกน้ำตายังคงดูให้รู้สึกถึงหน้าที่และความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ถึงแม้ตัวละครจะดูเยอะและเอาเรื่องมากจนบางครั้งก็ไม่มีประโยชน์หรือบทบาทมากมายเป็นเหมือนตัวสำรองที่ดึงดูดหนังให้ผจญกับสถาการณ์ต่างๆได้อย่างเหมาะสม ความขลังที่ใช้เอฟเฟคให้ดูอลังการกับอุกกาบาตเล็กตกลงมาถือว่าดูระทึกและตราตรึงกับฉากที่เรียกความหายนะวุ่นวาย
Armageddon เน้นที่แอ็คชั่น ความรัก และเร้าอารมณ์ของผู้ชมผ่านเพลงประกอบ และภาพสวยๆ แบบมิวสิกวิดีโอ จะเห็นได้ว่าผู้ชมจะชอบเรื่องนี่ค่อนมากเพราะแฝงไปด้วยอารมณ์จนลืมความจริงไป ถึงเนื้อเรื่องจะไปแบบเรื่อยๆแต่ยังคงอักแน่นด้วยความศรัทธาในหน้าที่ที่ต้องพิทักษ์โลก ถ้าว่ากันตามหนังArmageddon เป็นเรื่องเร้าโลมอารมณ์คนดูจนเกิดความต้องการทางอารมณ์ได้ดีและดราม่าที่ดูเรียกน้ำตากันเป็นแถว นอกจากนี่ยังเต็มไปด้วยความสุดยอดแบบปลุกความรู้สึกได้ลึกซึ้งตามฉบับความรักที่เสียสละ