Iron Sky (2012) 2018 เปิดแผนลับนาซีถล่มโลก

Iron Sky (2012) | 2018 เปิดแผนลับนาซีถล่มโลก | C+
Director: Timo Vuorensola
Genres: Action | Adventure | Comedy | Sci-Fi

เมื่อปี 1945 ภายหลังจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพนาซีที่พ่ายแพ้สงครามได้พากันหลบหนีไปยังที่ๆไม่มีใครคิดตามกันคือการไปตั้งฐานทัพอยู่บนดวงจันทร์มุมมืด เพื่อสุมกองกำลังไว้มากมาย และสร้างเทคโนโลยีอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เพื่อรอเวลากลับไปเปิดศึกสงครามแก้แค้นกับโลกหลังจากที่พ่ายแพ้อย่างย่อยยับในสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างใจเจ็บ  ช่วงเวลานี้เองปี 2018 ได้เยี่ยงเข้ามาเป็นช่วงเวลา 70 ปีของการเก็บตัวไร้ร่องรอยจากบรเวณที่มืด เมื่อประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา (Stephanie Paul) ได้ส่งยานอวกาศลำหนึ่งที่นำโดยเจมส์ วอชิงตัน (Christopher Kirby) จากโลกลงจอดบนดวงจันทร์เพื่อสร้างคะแนนเสียงให้กับตัวเอง พบฐานลับของนาซี แต่ดูเหมือนจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่สงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติจะอุบัติขึ้นแล้ว


จะบอกว่าโทนหนังที่ใช้เอฟเฟคมากมายของหนังเรื่องนี่สไตล์คล้ายกับ Sky Captain and the World of Tomorrow (2004)ก็ว่าได้ ด้วยความเป็นเอกลักษณ์รูปแบบที่จัดจ้านทางภาพที่ทำฉากออกมาดูมัวๆดำๆกึ่งเทาที่ชวนพาให้ลึกล้ำมีความอลังการแฝงๆ แต่กับ Iron Sky ดูมีรายละเอียดที่ลงลึกชัดเจนมากกว่า และดูเป็นไอเดียแบบของตัวเอง แต่ลองคิดดู Iron Sky คือ หนังที่ร่วมทุนสร้างระหว่างประเทศฟินแลนด์ เยอรมณีและออสเตรเลีย ทุ่มทุนสร้างประมาณ 7.5 ล้านยูโร แต่นั้นกลับเต็มไปฉากอลังการงานสร้างมากๆ ด้วยคอมพิวเตอร์ กราฟฟิค 3D อย่างยอดเยี่ยมที่เหมือนจริง และสิ่งที่เรียกว่าเป็นประเด็นของหนังเรื่องนี่คือพล็อตเนื้อเรื่องที่ถูกสร้างให้เป็นหนังตลกที่เสียดสีการเมือง สงคราม และผู้นำประเทศทั่วโลก แบบเจ็บทรวงลึกกันเลยทีเดียว เนื้อเรื่องที่ว่านาซีหลบไปอยู่บนดวงจันทร์ในมุมมืดนับว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะพล็อตเรื่องแบบนี่เป็นเรื่องที่แปลกและดูล้ำจินตนาการ ก็ใครจะไปคิดว่ามุมมืดที่ไม่มีอะไรจะเป็นแหล่งของนาซี ด้วยสถานการณ์อันน่าเหลือเชื่อและเวอร์มากๆจนไม่มีความเป็นสมเหตุสมผลในด้านความจริงเอาซะเลย ทั้งที่อาศัยบนดวงจันทร์เป็นเวลายาวนานแต่วัฒนธรรมของเหล่านาซีไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงยังคงสภาพการแต่งกายและวิถีชีวิตแบบปี 1940s

ทั้งนี้รวมถึงการที่พวกนาซีมียานอวกาศที่หลากหลายจนเป็นที่น่าแปลกใจว่าอุปกรณ์ต่างๆยังคงเป็นของตกยุค ทั้งโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ที่ดูอย่างไงก็ไม่น่าจะมาไกลขนาดนี้ได้ แต่ใครจะคิดมากล่ะครับถ้าบอกว่าเป็นหนังจินตนาการที่อัดแน่นบุคคลิกมุขขบขันที่เอาฮา พร้อมทั้งถ่ายทอดออกมาในลักษณะเบาสมอง ที่เล่นทีจริง เรื่องที่น่าจะเคร่งเครียดกลับตาลปัตรกลายเป็นเรื่องผิดที่ผิดทางเอาแบบหักมุมในแอบดูฮาเวอร์ ทั้งที่เป็นหนังที่สงครามโลกที่ดูจะโหดร้ายกลับดูผ่อนคลาย และหลีกหนีแง่มุมอันขึงขัง ซีเรียสอันจริงจังของสงครามที่เข้มข้น



จะว่าไปแล้วเป็นหนังตลกที่ใส่ความเกินจริงมากไปหน่อยจนดูไม่ค่อยจะลงตัวเพราะความผิดเพี้ยนที่ไม่เอาจริงเอาจังกับตัวละครก็มีความเพี้ยนในตัวและไม่มีเสน่ห์ที่น่าชื่นชม ถึงแม้จะเริ่มด้วยความง่ายๆที่ว่าจะมาแก้แค้นก็ไม่ใช่ปัญหาแบบหนังทั่วไป เนื่องจากเนื้อเรื่องไม่ค่อยมีที่มาที่ไปและไม่ให้รายละเอียดกับผู้ชมสักเท่าไหร่ ฉากแอ็คชั่นอันน่าตื่นเต้น ซึ่งคาดว่าจะเป็นจุดขายของเรื่องนี้ ก็ทำได้แค่เพียงยิงกันไปยิงกันมา ไม่มีรู้กลยุทธ์อะไรให้รู้สึกตื่นเต้นและลุ้นไปกับมันได้นอกจากจะคงเส้นคงวาประทับใจด้านเอฟเฟคที่ดูล้นลาม ถึงแม้จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว และค่อนข้างรวบรัด ดูปล่อยผ่านๆไปทั้งที่น่าจะมันส์กว่านี่แท้ๆเพราะไปใส่ใจตัวละครมากกว่าจนไม่มีอะไรที่พาถึงความสุดยอดได้ ออกจากบทบาทที่ตัวละครทำออกมาได้จัดจ้านทั้งเนื้อเรื่องที่คมเฉือนการเมืองอย่างผู้นำประเทศที่ถกเถียงกันชนิดพูดเป็นเล่นทั้งที่ซีเรียสมากกว่าและควรจะจริงจังกับเรื่องที่น่าจะสมควร เช่น ประเด็นเสียดสีการกระทำขององค์กรและประเทศผู้นำของโลกที่มักจะพูดอย่างทำอย่าง, ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าภาพรวมของสังคมโลก, การไม่รักษาสัจจะทั้งที่ตัวเองเป็นผู้ร่างกฎเกณฑ์ขึ้นมาเอง, เรื่องการเหยียดผิวที่ตั้งใจทำแบบใช้ประโยชน์ และการตั้งความลับไม่เปิดเผยจนกลายเป็นหนังหักมุมแบบสุดๆในไคลแมกซ์ที่แสดงเห็นความเห็นแก่ตัวที่ดูแล้วต้องร้องโอ้ย ในความเสียดสีถึงชนชั้นการเมืองที่ย่ำแย่แบบไร้ยางอาย ซึ่งใครจะคิดล่ะว่าจบแบบนี้เลยเหรอ


ถ้าบอกว่าเรื่องนี่สนุกคงต้องบอกว่าเป็นหนังที่ก่ำกึ้งระหว่างสองชั้นทั้งดีและเลวร้าย ถ้าพิจารณาด้วยรวมแล้วถือว่าเป็นหนังที่ไม่ได้อืดอะไรมากเพราะเล่นเรื่องตลอดเวลาและแอบเอาฮาเป็นช่วงๆ จะเอาแอ็คชั่นกับเรื่องนี่คงไม่น่าประทับใจนอกจากประเด็นความเจ็บจากการกระทบกระทั่งแบบสุดขั้วที่พาเสียดสีกันแบบโต้งๆ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)