Repo Men (2010) | เรโปเม็น หน่วยนรก ล่าผ่าแหลก | B
Director: Miguel Sapochnik
Genres: Action | Sci-Fi | Thriller
เหตุการณ์ในอนาคต ในปี 2025 ที่สามารถผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายอวัยวะเทียมได้ง่ายๆ และทำได้กับแทบทุกส่วนของร่างกาย จนคนป่วยหนักกลับเป็นสภาพคนปกติได้ แต่ต้องแลกกับการจ่ายหนักที่มากด้วยราคา และถ้าจ่ายไม่ไหวบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่นาม The Union จะมีเจ้าหน้าที่ Repo-men ตามเก็บเช็คบิลลูกค้าที่ไม่จ่ายเงินผ่อน โดยการเก็บอวัยวะเหล่านั้นคืนอย่างไม่สนใจความเป็นตายของลูกค้า ประหนึ่งการเอาอะไหล่รถยนต์คืนทั้งที่ไม่คำนึงว่ารถจะวิ่งต่อได้หรือไม่ แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันสุดช็อก เมื่อเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งอย่างแรมมี่ (Jude Law) ต้องเกิดอุบัติเหตุต้องใช้อวัยวะเทียมซะเอง และด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว ทำให้เขาต้องดิ้นรนหาทางออก พร้อมกับบทเรียนที่ต้องเจอกับตัวเองที่ฝังใจ จนต้องการยุติเรื่องราวนั้น คือทำให้มันจบๆไปด้วยอุดมการณ์ของตัวเอง แต่ไม่ง่ายเสมอไปเมื่อต้องเผชิญปัญหาเพื่อนร่วมงานอย่างแจ๊ค (Forest Whitaker) ที่พยายามล่าเขา
ถึงเนื้อเรื่องจะดูไม่น่าติดตามในช่วงกลางๆเรื่อง แต่นั้นมันเป็นเพียงไม่กี่ส่วนเท่านั้น ที่ไม่น่าดูสำหรับบางคนที่รับไม่ค่อยไหวกับฉากแนวฉีกเลือดเนื้อ เพราะเรื่องนี่ไม่หลบฉากหรือเล่นมุมกล้องเท่าไรนักจึงรับความสาดเลือดไปเต็มๆกับแนวแอ็คชั่น ความเป็นแอ็คชั่นยิงกันไม่ได้ดูมากมายนักเพราะการดำเนินเนื้อเรื่องที่แรกๆออกจะกึ่งเป็นหนังเล่า ประมาณทำความเข้าใจรู้สึกตัวละครถึงสภาพจิตใจที่อาจจะดูไร้เหตุผลไปบ้างให้พอดูมีนัยๆ เนื่องจากแรมมี่ที่มีนิสัยอีกอย่างจะเปลี่ยนเป็นอีกอย่างหลังจากโดนใส่ใจเทียมที่เป็นเครื่องจักรแล้วไม่มีปัญญาจ่ายเงิน มันกลายเป็นหนังผสมความเป็นดราม่าค่อนข้างจะลึกซึ้งไปหน่อย แต่ตัวหนังดำเนินได้ผิดทางทำให้ดูไม่รู้สึกรู้สาเท่าไรของการสูญเสีย แต่ที่แน่ๆคือฉากแรมมี่กับเบธ(Alice Braga)ที่อยู่ในห้องที่กำลังจะปลดสิทธิการถูกยึดอวัยวะนั้นดูมีพลังมาก ถึงจะดูแหวะและสยองไปบ้าง แต่นั้นแหละคือช่วงที่ดูมีอุดมการณ์ที่ชัดเจนเปี่ยมด้วยความอดทนที่นักแสดงทำออกมาได้ดีเยี่ยม
ความเป็นไปได้ของอนาคตของเรื่องราวอวัยวะเทียมนั้นมีสิทธิ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน แต่ตัวหนังบ่งบอกของการยึดสิทธิ์คืนได้รุนแรงและขาดศีลธรรมเกินไป ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ต้องทำตามกฎระเบียบอย่างถูกต้องก็ตาม แต่นั้นกลับมองความเป็นความตายของคนดูไร้ค่าทันที เหมือนชีวิตหนึ่งที่ดำรงอยู่เคยตายไปแล้ว แค่คอยวันมีเจ้าหน้าที่มาตามเก็บได้เท่านี้ก็จบ แรมมี่คือตัวละครที่มองย้อนเผชิญความจริงกับตนเองที่เคยกระทำอย่างเจ็บปวดชนิดที่ว่า"ไม่เจอกับตัวเองไม่รู้สึก"ได้อย่างน่าหดหู่เพราะการดำเนินชีวิตที่เริ่มแย่ลง ไม่มีเงินจ่ายพอจนโดนภรรยาทิ้งไปจนไร้แหล่งอาศัยต้องทำเป็นพเนจรไปเรื่อย โดยระหว่างนั้นก็หลีกเลี่ยงการเจอพวก Repo-men ไปด้วย ที่สำคัญคือนายทุนแฟรงค์ (Liev Schreiber)ที่เป็นคล้ายตัวโกงของความตรงข้ามศีลธรรม ที่บีบแรมมี่จนต้องใส่หัวใจเทียมจนได้อย่างน่าทรมาน เป็นนายทุนน่าเลือดมากไม่มีการผ่อนผันอะไรเลยเมื่อครบกำหนดมีแต่สั่งให้ตามเก็บลูกเดียว จนเรียกความชังจากผู้ชมได้พอสมควร และด้านกฎหมายที่เห็นชัดว่าพวก Repo-men นั้นอยู่นอกเหนือกฎหมายห้ามได้อย่างสบายๆ
ดูๆไปเหมือนจะแฝงความเป็นหนังตลกอยู่บ้าง แต่ดูเป็นเสียดสีมากกว่า ทำให้บางครั้งดูเจ็บๆชอบกล เป็นมุขของพวกอเมริกันฉะนั้นบางจะงงหรือแปลกซะหน่อยถ้าจะมองว่าเป็นมุขตลกหนึ่งที่ดูยังไงก็ขำได้ยาก เพราะจะมากับฉากโหดๆที่สอดแทรกเข้ามาจนความแอ็คชั่นนี่เพี้ยนไปเลย สำหรับบางคนดูแล้วขำได้นะแต่กับบางคนคงอาจถึงกับปิดตาบ้างล่ะ เห็นแบบนี่แต่เรื่องนี่เป็นหนังแนวไซไฟอีกด้วย และที่สำคัญเป็นอีกเรื่องที่เจ๋งด้านไอเดียที่โหดขาดศีลธรรมเพราะความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ความเสียสละคือจุดที่โดดเด่นของห้วงความอยู่รอดที่ดูแล้วเปลี่ยนทัศคติไปเลย แต่อย่างที่เคยบอกไปความเป็นแอ็คชั่นดูรุนแรงและบางฉากเห็นอวัยวะกันเต็มตา ถ้าใครรับไม่ได้คงได้เลิกลากับเรื่องนี่แน่นอน พล็อตจัดว่ายังมีช่องว่างอยู่บ้างแต่ตั้งใจทำให้ดูกดดันแบบผสมดราม่า ทำให้บางช่วงดูมีชีวิตชีวาไปหน่อยจนอารมณ์มันเปลี่ยนไปมาเร็วเหลือเกิน
Repo Men เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ให้อารมณ์ผู้ชมให้หลงติดเรื่องราวเป็นอย่างดีจนเรียกว่าไม่มีอะไรน่าสงสัย แต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดได้เพราะตอนจบ นี่สุดยอดมาก เพราะไปทำลายวิวทิวทัศน์หักล้างโดยสิ้นเชิงจนไม่สนใจถึงจิตใจคนดูเลยว่าสิ่งที่ตัวเอกและนางเอกทำมาตั้งแต่ตัดสินจะทำตามแผนนั้นมันลำบากมากแค่ไหน โดยจุดนี้แหละที่แสดงความบิดเบือนได้อย่างชัดเจน แต่ตัวหนังเองยังรักษาเหตุผลเรื่องราวได้อย่างสมดุลและแน่นอน ง่ายๆคือหนังจบแบบนี้ ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เพราะมันเกิดขึ้นไปนานแล้ว สิ่งที่เราเห็นนั้นเป็นสิ่งที่เกิดจากตัวเองนั้นเอง จะบอกได้อีกอย่างคือการดำเนินเรื่องราวเป็นไปตามนอกกฏหนังฮอลลีวู้ดทั่วไปอย่างจัง คือดูมีความสุขมากกับเรื่องนี้ แต่ทำไมล่ะมาดีๆเป็นซะแบบนั้น เป็นหนังที่คิดแล้วคิดอีก ก็เข้าใจทันทีว่าชีวิตคนเรามีหนทางและวิถีชีวิตที่ไร้รูปแบบมีสิทธิ์จะเป็นไปทางอื่นได้ทุกเวลา และไม่แน่นอนเสมอไปว่าจะเป็นอย่างที่คิดจริงๆ