The Divide (2011) ปิดตายหลุมนิรภัยท้านรก

The Divide (2011) | ปิดตายหลุมนิรภัยท้านรก | B-
Director: Xavier Gens
Genres: Drama | Horror | Sci-Fi | Thriller

ในอนาคตอันใกล้ได้เกิดสงครามนิวเคลียร์ล้างโลกขึ้น และในวันที่นิวยอร์คโดนถล่มเละจนชาวเมืองแตกตื่นก็มีกลุ่มคนหลักทั้ง 9 คนหนีตายลงไปหลบภัยที่ชั้นใต้ถุนอพาร์ทเม้นท์ได้อย่างหวุดหวิดแบบเฉียดฉิว โดยมีบางคนเตรียมการตุนอาหารและสถานที่ไว้พร้อมล่วงหน้าอยู่แล้ว ทว่าถึงพวกเขาจะรอดตายมาได้ แต่ยิ่งนับวันที่ต้องอยู่ที่นั่นอย่างจำทนก็ยิ่งทำให้พวกเขาสติแตกและเผยธาตุแท้ด้านมืดของตนออกมาทีละนิดจนไม่ใช่คนเดิม ทั้งความต้องการที่เกินขอบเขต และขาดวุฒิภาวะผู้นำ จนเป็นการไม่ไว้ใจกัน กลายเป็นศูนย์รวมอำนาจสัญชาตญาณดิบ ที่ต่างคนต่างเอาตัวรอดจนเป็นเรื่องของความไม่ปรองดอง แล้วทุกคนในที่นี่จะทำอะไรต่อไปเมื่อไม่มีใครที่พอจะวางใจได้


The Divide เป็นแนววันสิ้นโลกที่เปิดด้วยความวุ่นวายตื่นตระหนกกับสถานการณ์ที่ผันแปรอย่างรวดเร็วจนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆกันแน่ มีประเด็นคำถามมากมายที่ตั้งขึ้นมากับหนังที่ถ่ายทอดจนหาคำตอบไม่เจอเพราะข้อด้อยที่นำเสนอได้ไม่ทั่วถึงหรือเรียกว่าเน้นหนักไปทางอื่นมากกว่า ทั้งที่ช่วงแรกของการดำเนินไปได้อย่างน่าสนใจและดูมีเอฟเฟคประกอบวินาศกรรมอย่างรุนแรง จนเป็นการเปิดบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู้มาจากไหนอย่างลึกลับบุกถึงห้องหลบภัยหลังการระเบิดไม่กี่วัน ด้วยสภาพที่เปี่ยมความพร้อมเครื่องแต่งกายและอาวุธที่เพียบพร้อมครบครันครบมือ ก่อนที่จะมาจับตัวพักพวกกลุ่มหนึ่งไปทดลอง ซึ่งถือว่าเป็นปริศนาอีกอย่างหนึ่งที่ชวนให้สงสัยว่าทำไมไม่มาช่วยกู้ชีวิตแต่กลับมาทำร้ายซะงั้น กลายเป็นจุดเปลี่ยนความเป็นไปอย่างน่าขึงขัง จนการดำเนินเนื้อเรื่องเริ่มอึดอัดตั้งแต่เหตุการณ์ในฉากนั้น จนเรียกว่าเจอขั้วลบที่เป็นอะไรที่ตรงข้ามมากๆกับขั้วบวกไปเลย เพราะหลังจากนี้ความถล่ำสู่การด่ำดิ่งด้านมืดเริ่มบังเกิดกับห้องปิดตายที่พาไปสู่การเอาชีวิต 


การถ่ายทอดเรื่องราวจัดว่าดูกว้างและทั่วถึงดีในช่วงแรกแต่กับ 15 นาทีให้หลังเป็นอะไรที่จำกัดบริเวณโดยสิ้นเชิง ไม่มีความแปลกใหม่กับภาพที่สวยงามมีแต่มีความหมองมัวที่เกาะกินจิตใจจนความป่าเถื่อนปรากฎในตัว หลักๆจริงจะมีตัวละครทั้งสิ้น 8 คนที่ล้วนมีพฤติกรรมที่จัดว่าเป็นปกติและดีอย่างชัดเจน ถึงไม่ดีสุดแต่ยังเป็นธรรมดาที่อยู่ร่วมกันได้สบายๆ แต่ยิ่งเวลาหนังผ่านไปเรื่อยๆความบ้าบิ่นที่มีในตัวยิ่งเริ่มเปิดออกมากับสถานการณ์ต่างๆที่คั้นกันแบบสุดขั้ว จากทั้งสิ้นที่ดูดีมีสัมพันธ์กลับกลายเป็นคนต่ำช้า ที่ทรามติดยิ่งกว่าดิน และลงเอยอย่างน่าเวทนาเกินจะพิสูจน์ตัวตน เพราะเรื่องราวที่เกิดจะไม่มีความลับกับตัวละครอีกแล้ว

มิกกี้ (Michael Biehn)จัดว่าเป็นเผด็จคุ้มห้องที่มองไกลกว่าที่ผู้ชมคิดไว้มาก ไม่ใช่เพราะเขาเห็นแก่ตัวเกินไปแต่เพราะมองออกทะลุปรุโปร่งถึงความเห็นแก่ตัวของความต้องการไม่สิ้นสุดที่ควานหาอาหารเพื่อประคองชีวิตตัวเอง เป็นที่ตระหนักกันดีว่าเวลาไปไหนไม่ได้สิ่งที่ต้องการในแต่ละวันคือเสบียงที่ทุกคนไม่ได้ติดมาด้วยเลยแต่กับมิกกี้ที่ดูจะเข้มและอาจมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวจนดูมีความนัยบางอย่างซ่อนอยู่นั้นมีอาหารเตรียมไว้อย่างดี และไม่คิดจะแบ่งกับใครง่ายๆเพราะกลัวความกลลาโหลที่จะเกิดขึ้นนั้นคือการแย่งชิง วิกฤตเช่นนี้เมื่อถึงจุดที่รู้ว่าอาหารไม่เพียงพอ ทุกคนก็ต่างแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดยืนนานที่สุด ซึ่งประเด็นนี้จะเป็นตัววัดว่าฐานแท้ของใครเป็นอย่างไรกันบ้าง นั่นคือสิ่งที่มิกกี้ ตระหนักเลือกที่จะให้ทุกคนแสดงฐานแท้ออกมาเพื่อที่จะได้รู้ว่ากลุ่มผู้รอดชีวิตในห้องนี้ ใครที่เป็นตัวอันตราย และ ใครที่เป็นคนดีโดยสันดานบ้าง อีกอย่างก็คือ การที่เราไม่รู้ว่าอาหารเหลือมากแค่ไหนทำให้เราจะเห็นค่าของอาหารทุกมื้อที่เรากินมากขึ้น สังเกตได้จากที่ในหลายฉากที่ตัวละครเริ่มรู้สึกว่าอาหารลดเหลือน้อยลง ด้วยการกินอย่างระวังและเลียแม้แต่ฝากระป๋องถั่วจนไม่เหลืออะไร แต่ถ้าเรารู้ว่าอาหารยังมีอีกมากมายจะยิ่งกินกันอย่างสบายและไม่แคร์ความสำคัญของปริมาณ ดูได้จาก จอร์จ (Milo Ventimiglia) ที่ภายหลังตั้งตนเป็นใหญ่จนเป็นที่น่ารังเกียจของใครหลายคนเพราะความเถื่อนที่ใส่ความจิตตกเข้าไป ทำให้ดูเป็นตัวละครที่สะท้อนมุมมองการเปลี่ยนแปลงไปอีกด้านอย่างถาวร


จิตวิปริตเต็มขั้นที่ตัวหนังใส่มาเริ่มมีธีมที่ดูรุนแรงขึ้นมากจนกลายเป็นอีกมุมหนึ่งของโศกนาฏกรรมภายในหมู่คณะที่โดนบีบจากรอบด้านเป็นภาวะการเสียสติที่เหมือนโดนยัดเหยียดเข้ามาในชีวิตอย่างรุนแรง ทั้งนี้ตัวหนังยังมีการทดสอบถึงเรื่องจิตใจแต่ละคนอย่างไม่เลือกหน้าตามวิกฤติสถานการณ์ที่ร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการจัดการกับศพด้วยการหั่นเป็นชิ้นๆทิ้งลงส้วม, การทรมานจากการสูญเสีย , การเสียสติจากความกลัวรอบด้าน หรือ ความต้องการทางเพศที่ขาดการยับยั้ง จนนำไปสู่การเลิกใช้สมองนำทางแต่หันไปใช้สัญชาตญาณดิบนำทางแทน ซึ่งนั้นเป็นเหตุดังกล่าวว่าทำไมภายหลังตัวละครถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ได้ เพียงเพราะสถาพจิตไม่มั่นคงและพ่ายแพ้ต่อการพิจารณารอบกายจนเป็นจิตใจทรามที่เกิดจากความหดหู่ทั้งสิ้น


ด้านนักแสดงรายที่โดดเด่นก็มี Michael Biehn ที่รับบทเป็นเจ้าของห้องหลบภัยที่ดูน่าสงสัย และ มีลูกบ้าอยู่ในตัวแบบกำลังดี และ Milo Ventimiglia นักแสดงคนดังจากซีรี่ย์ Heroes ที่สลัดภาพหนุ่มมาดดีไปจนหมดสิ้นในหนังเรื่องนี้ ซึ่งว่ากันตามตรงแล้ว Milo ถือว่าทำได้ดีมากๆในการรับบทตัวละครสติแตก พร้อมแสดงอาการทางจิตที่ค่อยๆวิปริตขึ้นเรื่อยๆจนกู่ไม่กลับได้ดีจริงๆ สปริตของนักแสดงจัดว่าเต็มที่กับงานมากจนทำให้สมจริงสมจังเรื่องร่างกายที่ค่อยๆผอมและดูมีสภาพที่จัดว่าโทรมกันแบบสุดๆ ด้วยการยอมลงทุนทำให้ตัวเองผอมทำให้เรื่องอาหารที่ขาดแคลนในเรื่องนำเสนอได้ดูมีชีวิตจริงถึ่งความอดยากในเรื่องปราศจากอาหาร

แม้ “The Divide” จะมีการดำเนินเรื่องส่วนใหญ่ที่อืดอาดยืดยาดไปบ้างตลอดทั้งเรื่องโดยอย่างช่วงกลางๆที่เก็บรายละเอียดของตัวละครซะมากมายจนดูปวดหัวกับความขัดแย้วด้านพฤติกรรมที่ชวนดูแล้วหดหู่ และไม่มีความหวังอะไรเลยนอกจากให้ความรู้สึกที่ตายยากสิ้นหวังกับเรื่องรอบกาย ถ้าคิดว่าจะดูเอาบันเทิงชวนสนุกน่าติดตามแบบไซไฟทั่วไปคงต้องรับประกันความโหดร้ายของเรื่องซะก่อ น่าเสียดายที่สุดท้ายคำถามที่ผู้ชมตั้งขึ้นกับเรื่องราวที่เกิดยังไม่ได้บอกอย่างชัดเจนเพราะหนักที่กลุ่มคน 9 ถึงการใช้ชีวิตที่แสนรำเข็ญ ความตระหนักคืบคลานกับสิ่งเรียนรู้ที่สมควรตีแผ่ให้เข้าใจกันจริงๆจังๆไม่ใช่แต่รับรู้และเลิกปฏิบัติ เป็นดังความวุ่นวายที่เกิดขึ้นคล้ายสงครามที่สุดท้ายแล้วสิ่งที่อันตรายที่สุดคือมนุษย์ด้วยกันเอง ต่อให้เจอเหตุการณ์เลวร้ายแค่ไหน แต่ถ้าสิ่งที่มนุษย์ยกย่องตัวเองว่าประเสริฐ์ขาดอุดมการณ์ความเป็นตัวตนของการใช้เหตุผลจะยิ่งน่ากลัวกว่าทุกสิ่ง ไม่ใช่เพราะการกระทำอันโหดร้ายที่วิปริต แต่เป็นศัตรูด้วยกันที่ไม่มีทางเข้าใจกันได้ และสู้กันเพื่อความเห็นแก่ตัว


ด้านมืดคือจุดอับเล็กที่มีอิทธิพลอย่างรุนแรงและกว้างขวางจนมองว่าเป็นเรื่องเกินเยียวยาและให้อภัยกับการเปลี่ยนแปลงที่ย้อนไปรูปแบบไหนก็ล้วนเป็นความลึกลับของใจคนที่พร้อมจะปฏิบัติออกมาเยี่ยงสัตว์แสดงถึงความเห็นแก่ตัวเพื่อเอาตัวรอด โดยคำนึงว่าตัวเองเท่านั้นที่มีสิทธิ์อยู่ต่อไป หาได้คิดถึงเรื่องอื่นเวลาอื่นไม่ ขอตัวเองมีชีวิตอยู่ก็คุ้มค่ามากกว่าแล้ว กับเรื่องราวของ The Divide จัดว่าเสนอได้คับแคบบีบสันดานของมนุษย์ได้อย่างมีดีกรีจนค่อยๆแสดงความเถื่อนขาดเหตุผล ที่ใช้อารมณ์เป็นเครื่องกำหนดกฎเกณฑ์อย่างน่าเวทนากับพื้นที่อันจำกัดบริเวณและความหดหู่ที่หมองมัวจนดูน่าสลดกับเรื่องราวที่เป็นความมืดในใจในภาวะสุดคับขันที่ใครต่อใครมองด้วยสายตาแง่มืด

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)