The Eight Immortals Restaurant: The Untold Story (1993) | ซาลาเปาเนื้อคน | B
Director: Danny Lee, Herman Yau
Genres: Comedy | Crime | Horror
คำเตือน : การรับชมหนังเรื่องนี้ต้องแน่ใจก่อนว่าจะยอมงดรับประทานซาลาเปาไปจนกว่าจะลืมเรื่องนี้ ทำไมนะเหรอ ลองดูเรื่องนี้ให้จบแล้วถามตัวเองว่าซาลาเปาที่ตัวเองกำลังจะกินทำมาจากไส้อะไร เราเตือนคุณแล้ว
หนังเรื่องนี้มีหลายอย่างที่ทำได้สุดโต่งอย่างมากตามสไตล์หนังเกรดสามของฮ่องกงจนดังเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ และเมื่อเรื่องนี้ดังผลที่ตามมาคือการงดรับประทานอาหารประเภทไส้เนื้อ โดยเฉพาะซาลาเปาที่ทำให้คนฮ่องกงหยุดกินไปเป็นเดือน ส่วนหนึ่งเพราะเรื่องนี้สร้างมาจากเค้าโครงเรื่องจริงโอกาสที่จะสมจริงจึงมีมาก แต่จะมากแค่ไหนก็ไม่เท่าการถ่ายทอดความอร่อยของเนื้อซาลาเปาที่เข้าปากสัมผัสลิ้นด้วยความเอร็ดอร่อยแบบไม่เคยลองชิมที่ไหนมาก่อน ซึ่งผู้ชมจะเป็นคนเห็นวิธีทำไส้เนื้ออย่างโจ่งแจ้ง คัดเนื้อมาอย่างดี แล่เฉพาะที่ต้องการ และเนื้อเหล่านั้นไม่ได้มาจากที่ไหนเลยนอกจากมนุษย์นี่แหละที่กำลังเคี้ยวอยู่ จัดว่านอกจากจะโหดในแง่ของเนื้อเรื่องแล้วยังจัดว่าเหี้ยมอย่างมากเมื่อรู้ว่าคนที่ทำนั้นไม่ธรรมดาเอาเสียเลย เริ่มเรื่องราวจากหว่องจี๋หาง (Anthony Wong Chau-Sang) หลบหนีมาอยู่มาเก๊าที่ร้านแปดเซียนเพื่ออำพรางตัวเองจากคดีฆาตกรรมวางเพลิง ด้วยความที่อารมณ์ร้อนเลือดขึ้นหน้าบ่อยครั้งทำให้แลเป็นคนดุ การพูดการจาห้าว ไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง และยังต้องการในสิ่งที่ตัวเองต้องเอามาให้ได้ หว่องจี๋หางทำงานเป็นลูกจ้างภายในร้านมาได้สักระยะจนสามารถเล่นไพ่นกกระจอกได้อย่างร่ำรวยด้วยการโกง จนเจ้าของร้านจับพิรุธได้และไม่ยอมใช้หนี้ในส่วนที่เสียไป ทำให้หว่องจี๋หางเสนอเงื่อนไขว่าถ้ายอมยกร้านให้จะหายกัน แต่กลายเป็นว่ากลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายโมโหซะแทนเพราะคิดว่าตั้งใจมาทำงานที่นี้เพื่อยุบร้านเป็นของตัวเองมากกว่า เมื่อเกิดทะเลาะใช้กำลังกันทำให้หว่องจี๋หางอารมณ์เดือดพล่านฆ่าเจ้าของร้านหมดทั้งครอบครัว แต่ปัญหาก็เริ่มขึ้นเกี่ยวกับศพที่กองอยู่ตรงหน้าว่าควรจะทำยังไง หว่องจี๋หางเกิดไอเดียเมื่อที่นี้ขายซาลาเปาล่ะก็ลองเอามาทำไส้เนื้อดูล่ะกัน ถึงยังไงไม่มีใครสนใจอยู่แล้วว่าอันไหนไส้หมูไส้คน!!! แต่ที่แน่คือหลังจากขายมันทำให้ได้กำไรดีและหลายคนชอบซาลาเปาไส้เนื้อกันมากจนหว่องจี๋หางต้องคิดหาวิธีทำให้ได้รสชาติแบบนี้ให้อร่อยเสมอไป แม้จะกลับมาใช้เนื้อหมูแต่มันก็ธรรมดาเหมือนเดิม ดังนั้นการล่าเหยื่อเอาเนื้อจึงเริ่มขึ้น
The Untold Story มีความเรตติ้งในระดับเกรดสามที่ว่าด้วยความรุนแรง เพศอย่างหนัก หรือเท่ากับว่าห้ามขาย ห้ามซื้อ และห้ามดูกับผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งในบางประเทศรับรองว่าต้องมีแบนกันบ้างล่ะ ในระหว่างที่เรื่องนี้กำลังฉายมีคนดูเป็นลมช๊อกคาโรงมาแล้วจึงรับประกันได้เลยว่าเป็นหนังที่เข้าข่ายต้องห้ามชัดๆ ทั้งนี้ยังรวมไปถึงการเสียดสีการทำงานของตำรวจที่ขาดระเบียบอย่างจริงจังที่ทำทีเป็นเรื่องเล่นไร้ความตั้งใจอีกด้วย จึงเรียกได้ว่านอกจากจะเหี้ยมโหดในการดัดแปลงแล้วยังใช้เนื้อหาได้ถูกช่วงจนทำให้มีเรื่องราวที่น่าสนใจ ถ้ากล่าวโดยรวมแล้วตัวหนังเหมือนจะพยายามเล่าทิศทางระหว่างสองภาค คือตัวฆาตกรกับเหล่าตำรวจ ในด้านตัวฆาตกรผู้ชมต่างเห็นมาตั้งแต่ต้นเรื่องจากการกระทำอันแสนเลือดเย็นที่เผาคนได้ทั้งเป็นจากการกระทำของหว่องจี๋หางที่จะเอาเงินจากการค้างค่าพนัน พฤติกรรมแบบนี้ถ้ากันแบบค่อยทีค่อยไปอาจจะเป็นการยุติที่ดีในท้ายที่สุด แต่ว่าไม่เลยสำหรับคนประเภทใจร้อนอย่างหว่องจี๋หางที่ทำไปแบบไม่หยั่งคิดหยั่งทำมุ่งแต่ตามใจอารมณ์เป็นหลัก ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตัวละครหว่องจี๋หางจึงมีมิติแค่ด้านเดียว
ในขณะที่ปมประเด็นต่างๆล้วนว่ากันโดยง่ายดายอย่างการทำไมต้องอยากรีบเอาเงินมากนักหรือจะการเล่นไพ่นกกระจอกโกง สุดท้ายมิติด้านเดียวที่ผู้ชมมองเห็นคือวามโหดเหี้ยม ที่ทั้งดุร้ายจากคำพูดคำจาตลอดจนการกระทำที่ไม่ไว้หน้าเพศตรงข้าม จัดว่าเป็นตัวละครที่โหดร้ายตั้งแต่บุคลิกหน้าตาตลอดจนก้นบึ้งของจิตใจ แต่ถึงงั้นการจะทำให้หว่องจี๋หางกลายเป็นที่น่าจดจำสำหรับผู้ชมได้คือนักแสดง Anthony Wong Chau-Sang ที่เล่นได้อย่างสมจริงสมจัง เก็บรายละเอียดใบหน้าได้อย่างหมดจดจนเชื่อว่าเขาคนนี้มีตัวตนแบบนั้นจริงๆ ด้วยการแสดงสีหน้าระหว่างเชือดแล่เนื้อเป็นบทบาทที่ยอมรับว่าน่ากลัวจนถึงเถ้ากระดูกทีเดียว จนไม่แปลกใจเลยว่าจะได้รางวัลนักแสดงนำชายจากประเทศตัวเองติดไม้ติดมือมาด้วย
ไม่ใช่คนร้ายที่ทำตัวเลวเพราะคนดีที่ยังแยกแยะความเมตตาไม่เป็นก็ร้ายพอกัน ด้านหว่องจี๋หางเราอาจจะเห็นความโหดร้ายมามากพอตัวที่ตัวหนังพยายามดำเนินเรื่องแบบไม่รีบร้อน แต่หาเรื่องให้หว่องจี๋หางเกิดอารมณ์เกลียดคนจนอยากกำจัดทั้งๆที่เรื่องนั้นต่างเป็นเรื่องเล็กน้อย และสุดท้ายวิธีการก็ไม่ใช่อะไรนอกจากจับมาทำไส้เนื้อซาลาเปาที่กลายเป็นของเด็ดประจำเรื่อง แม้ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวหว่องจี๋หางมีอยู่น้อยมาก ที่รู้ได้คือการทำไปเพราะอารมณ์ของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ทีแรกอาจจะใช้อารมณ์เพราะควบคุมตัวเองไม่ได้จากความโมโห ทว่าภายหลังมันกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองเพียงเพราะอยากปกปิดหลักฐาน ด้วยความฉลาดแบบแฝงการค้าของหว่องจี๋หางทำให้ซาลาเปาขายดีเพราะรสชาติ ดังนั้นการกระทำในช่วงแรกกับช่วงหลังมีความแตกต่างกันมากที่ถึงแม้จะลงเอยเหมือนกันก็ตาม ตอนนี้ที่รู้ได้อย่างหนึ่งคือการเสพติดความสุขที่ได้กำไรจากการฆ่าที่ไม่จำเป็นต้องไปซื้อเนื้อหมู ด้วยเนื้อคนนี่แหละที่ลงทุนฆ่าอย่างเดียวก็ได้กำไรกอบโกยแล้ว แต่ที่น่าสนใจคือการทำเนื้อซาลาเปาในแต่ละครั้งมีความโดดเด่นในเหตุผลที่แตกต่างกันซึ่งตรงนี้น่าจะเข้าใจกันดี อย่างการฆ่าลูกจ้างมาใหม่เพราะปากพลอยจากการมาเห็นเล่นโกงไพ่นกกระจอก หรือการกำจัดลูกจ้างเก็บเงินที่เห็นท่าไม่ดีเพราะตำรวจที่เข้ามาซอกแซกในร้านจนกลัวว่าอาจจะติดร่างแหไปด้วย เลยอยากจะขอลาจากร้านด้วยเหตุผลว่าแม่ตัวเองป่วย ส่วนจะจริงหรือไม่นั้นในความคิดของหว่องจี๋หางมีเพียงอย่างเดียวคือต้องกำจัดเพื่อกันการปากโปรงที่อาจจะทำความลำบากภายหลังได้ แล้วการกระทำของหว่องจี๋หางจะทำไปเพื่อเพราะต้องการกลบเกลื่อนหรืออยากทำเพื่อเขามีความสุขที่ได้ทำกันแน่
มาทางด้านกลุ่มตำรวจที่ทำงานแบบไม่จริงจังเดี๋ยวเล่นเดี๋ยวจริงจนผู้ชมรู้สึกปรับอารมณ์ไม่ถูกเมื่อถูกไปเทียบเคียงกับหว่องจี๋หางที่ทำหน้าโหดไร้อารมณ์ตลกขบขันอย่างที่พวกตำรวจมี ตัวหนังดำเนินเนื้อเรื่องกันอย่างชัดเจนว่าใครคือผู้ร้ายตั้งแต่ต้นเรื่อง แต่เราไม่อาจรับรู้ได้ว่าเขาเคยกระทำอะไรลงไปบ้างในช่วงแรกก่อนมาเป็นเจ้าของร้านเนื่องจากมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับเจ้าของเดิมด้วยว่าหายไปไหน สิ่งที่แน่นอนอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเนื้อเรื่องคือการพยายามหาคนกระทำผิดจากช่วงแรกๆของหนังที่เปิดให้เห็นเด็กเล่นทรายริมทะเลแล้วไปเจอถุงที่บรรจุแขนขาจนกลายเป็นหน้าที่ของฝ่ายตำรวจที่สืบสาวจนไปสงสัยร้ายแปดเซียนที่ค้นพบว่ามีเป็นเจ้าของร้าน แต่ถึงงั้นหว่องจี๋หางยังคงปฏิเสธถูกข้อกล่าวหาที่กำลังเลี่ยงมาที่ตัวที่ไม่รู้ว่าเจ้าของร้านคนก่อนหายไป แต่กระนั้นกลับมีจดหมายทางญาติของเจ้าของส่งมาถึงมือตำรวจที่เป็นเบาะแสอย่างหนึ่งว่าหายตัวไป ทว่าจดหมายที่ส่งมานั้นในช่วงแรกกลับถูกเมินจากลูกน้องด้วยความที่เป็นคดีเล็กน้อย แต่โชคดีที่สารวัตรยังเป็นคนรักหน้าที่ตัวเองอย่างดีจึงให้ลูกน้องทำต่อไปซึ่งก็โยงเข้าหาร้านแปดเซียนเช่นกัน ทำให้จึงได้เค้าความการหายตัวไปอย่างลึกลับแล้วว่าอาจไม่มีชีวิตแล้วก็เป็นได้ ด้วยทักษะการทำงานของตำรวจปราบปรามที่เหมือนเด็กใหม่ทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ถึงอีกโลกหนึ่งที่มีความเป็นกันเอง สนุกเฮฮา ทะเล้นหรรษา ด้วยอารมณ์เช่นนี้ช่วยผ่อนคลายความสยองไปได้บ้าง แต่กระนั้นมันทำให้ตำรวจขาดความจริงจังการทำงานเกินไป ทั้งยังทำงานแบบใช้โน้นใช้นี้คนอื่นเพื่อหวังเอาหน้าเอาตาอีก ที่ยังดีคือเป็นการทำงานด้วยความตั้งใจแบบไม่แก่งแย่งจนเกินไปแค่หวังเอาสนุกเสียมากกว่าก่อนช่วงท้ายของเรื่องที่ฝ่ายตำรวจหันมาจริงจังกับหน้าที่ของตัวเองจนผิดหน้าผิดตาในช่วงแรกๆของหนังคล้ายกับว่าเบื้องหลังทำงานแบบไม่เครียดไม่จริงจังแต่ขอให้มีผลงาน ในขณะที่เบื้องหน้าตั้งใจทำเต็มที่ให้มองว่าเป็นตำรวจรักษาระเบียบ แต่กระนั้นหลังจากจับกุมหว่องจี๋หางมาได้ก็ใช่ว่าจะจับดำเนินคดีได้เต็มที่ เพราะอย่างแรกคือหว่องจี๋หางไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนกระทำผิดทั้งสิ้นแม้จะมีหลักฐานมัดตัวจากเอกสารของผู้สูญหายแล้วก็ตาม
ทำให้ฝ่ายตำรวจทำทุกวิธีทางเพื่อให้ปริปากยอมรับพร้อมบอกว่าคนอื่นๆหายไปไหนจนต้องลงไม้ลงมือซ้อมอัดเพื่อให้พูด ด้วยความที่หว่องจี๋หางเป็นคนเอาแต่ได้จึงอาศัยโอกาสหนีไปให้นักข่าวภายนอกได้เห็นแล้วเกิดเรื่องข่าวพาดหัวตำรวจซ้อมผู้ต้องหาให้ยอมรับว่าผิด จุดนี้กลายเป็นแง่ประเด็นอย่างหนึ่งเกี่ยวกับสังคมที่แพร่หลายในหมู่ตำรวจที่หวังจะรีบปิดคดีโดยเร็ว จึงไม่แตกต่างอะไรเลยว่าการที่จะบอกว่าตำรวจคือผู้รักษาความยุติธรรมเป็นเพียงโลโก้ตีหน้าบอกประชาชนเท่านั้น บางครั้งการทำหน้าที่ของประชาชนคือการรับฟังตำรวจที่รักษากฎหมายแต่จะทำยังไงถ้ากฏหมายหันมาเล่นงานประชาชนซะเอง หรือจะบอกว่าคล้ายๆกับวิธีของศาลเตี้ยที่ไม่จำเป็นต้องไตร่ตรองรายละเอียดให้มาก แค่รู้ว่าทำผิดก็จัดการให้สิ้นซาก เช่นตำรวจในหนังเรื่องนี้ที่พยายามจัดการหว่องจี๋หางจนไม่พ้นแม้แต่การให้นางพยาบาลที่ถูกทำร้ายมาเอาคืนโดยไม่สนใจว่ามันเป็นเรื่องผิด แต่มันสมควรแล้วที่จะโดนแบบนี้ ซึ่งรวมไปถึงการผิดจรรยาบรรณของหมอเองที่ต้องรักษาผู้ป่วยให้หายดีแต่เลือกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกตำรวจจัดการด้วยวิธีทรมาน สุดท้ายแล้วการกระทำของตำรวจมันสมควรมากแค่ไหนจึงจะเรียกว่าถูกต้องและยุติธรรมมากที่สุด บางทีอาจเป็นเพราะทัศนคติของคนด้วยกันเองที่จ้องมองหาสิ่งแปลกปลอมอย่างผู้ร้ายที่กระทำผิดก็เป็นได้
ด้วยการดำเนินเรื่องเชิงเสียดสีแบบถูไถเช่นนี้ทำให้ผู้ชมมองเห็นรายละเอียดหนาบางของวิธีเบื้องหลังของตำรวจที่ทำงานปิดคดีโดยเร็ว แต่ที่น่าสนใจคือการปล่อยให้หว่องจี๋หางฝากเข้าเรือนจำที่มีญาติของผู้ตายอาศัยอยู่ด้วย แล้วผลออกมาคือหว่องจี๋หางถูกกระทำความรุนแรงอยู่ฝ่ายเดียวจนปางตาย ในขณะที่ผู้คุมเองที่นั่งอยู่หน้ากรงยังปล่อยปละไม่สนใจคล้ายกำลังบอกว่า"สมควรแล้วนี่" สำหรับผู้ชมอาจจะคิดเช่นนั้นด้วยก็เป็นได้เพราะการกระทำอันป่าเถื่อนวิปริตเช่นนี้มันเกินเหยียวยาจะให้อภัยแล้วจริงๆ พอมานั่งคิดอีกทีก็พบว่าความยุติธรรมควรจะเอาอะไรมาชั่งน้ำหนักกันดี หรือว่าการปล่อยให้คนชั่วโดนแบบนั้นมันสมควรอยู่แล้วที่ต้องเป็นฝ่ายโดนซะบ้าง
บางทีถ้าผู้ชมกำลังคิดถึงประเด็นตรงนี้อาจจะมองได้เลยว่าไม่ว่าจะมีความเป็นคนแค่ไหนสุดท้ายยังคงทำอะไรได้หลายๆอย่างเพื่อตัวเองเสมอ สุดท้ายแล้วศัตรูที่น่ากลัวมากที่สุดไม่สิ่งใดเลยนอกจากมนุษย์ด้วยกันเองที่สามารถเลือกทำอะไรก็ได้ยิ่งกว่าสัตว์ อย่างการกินพวกเดียวกันเองเช่นเรื่องนี้ แม้จะเข้าใจว่าไม่ได้ตั้งใจจะกินเมื่อรู้ว่าเป็นเนื้ออะไรก็ไม่ได้หมายความว่าเวลาอดยากจะห้ามไม่ลง เหมือนกับหว่องจี๋หางที่ขาดเงินไม่ได้จนใช้อารมณ์ครอบงำตัวเอง
การรับรู้เนื้อเรื่องเกี่ยวกับซาลาเปาที่ทำมาจากไส้อะไรยังไม่สยองเท่ากับการเห็นเบื้องหลังที่มาของไส้เนื้อเหล่านั้นที่ผ่านการกระทำรุนแรงเช่นสัตว์ด้วยวิธีโบราณที่เรียกว่าต้องตีให้ตาย ซึ่งมันเป็นการกระทำที่เข้าขั้นโรคจิตผิดมนุษย์มนามากยิ่งได้นักแสดงมากฝีมือ Anthony Wong Chau-Sang ยิ่งการันตีไปเลยว่าจะทำให้ทุกคนเห็นแล้วชิงชังไปตลอดกาลได้ ด้วยมุมกล้องที่จับเฉพาะในส่วนของใบหน้าที่กำลังเห็นว่าเขากำลังผ่า สับ แล่เนื้อจากบนโต๊ะอย่างดุดัน ไม่ลังเล คล้ายทำงานหนักๆกับเนื้อที่ต้องลงแรงเฉือนเนื้อให้ขาด ฉากนี้จึงนับว่าน่ากลัวอย่างมาก พอไม่ทันไรก็หยิบเครื่องในออกมาแบบสดๆทั้งตับไตไส้พุงออกมาต้ม โดยทุกคนจะเห็นกันเต็มๆเลยว่าถืออะไรลงหม้อ เท่านั้นยังพอกลับไปพลิกร่างเหยื่อเลือกเนื้อที่คิดว่านิ่มจากก้นที่แล่ออกมาเกินคำบรรยาย แต่ฉากที่นับว่ารุนแรงจนเข้าขั้นว่าอันตรายจริงๆคือฉากทารุณฆ่าผู้หญิงจากการใช้กำลังแบบโหดเหลือเชื่อตลอดจนกระทำข่มขืนเปลืองผ้าส่วนบนยันส่วนล่างแบบไร้ยางอายใดๆทั้งสิ้น ทว่าหลังจากฉากข่มขืนคือเวลาที่เลวร้ายที่สุดจนน่าสะดุ้งของเรื่องนี้ที่หยิบตะเกียบมาหนึ่งกำมือแล้วแทงเข้าไปในอวัยวะเพศอย่างรุนแรงจนเลือดไหลออกมา กระนั้นยังมีอีกฉากที่รุนแรงจนเข้าขั้นว่าอันตรายอย่างหนักที่เกิดเป็นว่ามีการตายของเด็กแบบอย่างสุดโหด มีการฆ่าเด็กแบบเรียงคิวแบบยกครอบครัว ด้วยวิธีการฆ่าเด็กที่ตั้งใจถ่ายมุมหวาดเสียวจนเกินจับตามอง จากการหยิบมีดมาปาดคอรวมถึงอุ้มเด็กขึ้นโต๊ะก่อนจะบรรจงเล็งฟันเข้าไปที่คอแบบไม่พลาดจนคอหลุดกระเด็นพร้อมเลือดที่ไหลออกมา การกระทำที่รุนแรงเช่นนีคล้ายเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะการทำร้ายผู้หญิงที่มักพบเจอในสังคมเป็นประจำ หรือจะการฆ่ายกครัวที่แล้วแต่สาเหตุว่าจะเป็นอะไร ที่แน่นอนคือการทำบรรยายากาศให้ออกมาดิบเช่นนี้มันชวนให้รู้สึกแย่อย่างมากที่เห็นฉากอย่างว่าจนนึกแหวะและขยาดซาลาเปาเมื่อรู้ที่มาของเนื้อหอมๆเช่นนี้
The Eight Immortals Restaurant: The Untold Story จัดว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อันตรายต่อผู้ชมทุกเพศทุกวัยด้วยเนื้อหาที่ชวนแหวะ รุนแรง และแสดงถึงภัยสังคมรอบตัว ด้วยความสมจริงในบางฉากทำให้การชำแหละเป็นไปแบบชวนอาเจียนบรรยากาศชวนรู้สึกมืดบอดเหมือนเจอทางตัน การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่ชวนน่าเบื่อ และยังมีมุขตลกกับกลุ่มตำรวจที่ต่างทะเล้นในเวลาอยู่ในกรม แม้ว่าการจะมีช่วงสบายๆอยู่บ้างแต่อดอึดอัดไม่ได้เวลาเปลี่ยนไปเข้าหาเรื่องที่ร้านแปดเซียนที่เห็นหน้า Anthony Wong Chau-Sang ทีไรมันเหมือนตัวเองกำลังเจอคนหลุดมาจากนรกยังไงไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆอย่างหนึ่งเวลาชมเรื่องนี้การรับประทานซาลาเปาระหว่างชมอาจทำให้ตัวเองอดมองซาลาเปาที่ตัวเองถือไม่ได้ว่ามันทำมาจากเนื้ออะไร พอคิดเช่นนั้นทำให้ตัวเองลงไปกับหนังด้วยอารมณ์กำลังอินที่แบบว่าเนื้อคนใช่ไหม ถึงไม่ใช่มันก็แย่มากๆเวลาเห็นซาลาเปาไส้เนื้อจนงดอดไปเลยดีกว่าเพื่อลืมๆมันไป