The Rock (1996) | เดอะร็อค ยึดนรกป้อมทมิฬ | A+
Director: Michael Bay
Genres: Action | Adventure | Thriller
นายทหารชาวสหรัฐคนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า นายพลจัตวากองทัพบก ฟรานซิส เอ็กซ์ ฮัมเมล(Ed Harris)ผู้ซึ่งผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน มีแผนการที่จะก่อการร้ายได้รวบรวมพรรคพวกเรียกร้องสิทธิผลประโยชน์ทางการทหาร โดยจับตัวประกัน 81 คนและเข้ายึดคุกอัลคาทราส โดยแผนการครั้งนี้ทำเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมจากกองทัพสหรัฐ เพราะว่าในทุกครั้งที่เขาออกรบ ต้องสูญเสียทหารลูกน้องไปมากมาย โดยที่ไม่ได้อะไรตอบแทนเลย ซึ่งเขาจะใช้จรวดยิงซานฟรานซิสโกที่บรรจุก๊าซซาริน เป็นก๊าซพิษมีอานุภาพการย่อยสลาย ในการข่มขู่เพื่อเรียกนำเงินจากที่ต้องการ
เจ้าหน้าที่ FBI กู๊ดสปีด(Nicolas Cage)ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาวุธเคมีได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เข้าไปจัดการกับเรื่องนี้ โดยอาศัยความช่วยเหลือจากอดีตสายลับอังกฤษเมสัน(Sean Connery)ที่เคยแหกคุกอัลคาทราชได้ในดีต ทั้งสองร่วมต้องร่วมมือกันมุ่งหน้าสู่ป้อมนรกนี้เพื่อปราบปรามและปลดหัวรบอาวุธร้ายให้ทัน ก่อนที่ทั้งเมืองจะถูกถล่มภายในพริบตา
The Rock คือหนังเรียกร้องเกียรติเหล่าทหารที่ได้รบแล้วถูกทิ้งและลืมไร้ซึ่งศักดิ์ศรีเกียรติยศยศเอาไว้ไม่มีค่าบำเหน็จหรืออะไรแม้แต่ความทรงจำนอกจากคนที่รู้จริงเท่านั้น และนั้นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมวีรบุรุษถึงกลายเป็นผู้ก่อการร้ายได้ ไม่ใช่เพราะความอยากให้เห็นถึงความวุ่นวายแต่ขอการเรียกร้องที่ต้องการไว้หน้ากับผู้ที่ตนรักและพยายามช่วยแต่ทำไม่ได้ ให้คุ้มค้าแก่การพลีชีพเพื่อชาติ
เนื้อหาของหนังมีความชัดเจนที่มีสาเหตุของการหาความตั้งใจและจริงจังที่ต้องการไว้ซึ่งเหล่าทหารในสนามรบ การเสียดสีรัฐบาลที่ไม่ยอมไว้หน้าทหารที่ยอมสละตนเพื่อชาติ จนเป็นการที่กลุ่มหนึ่งจะตั้งตนเพื่อข่มขู่ถึงความถูกต้องที่สมควรได้รับ แต่บางทีความถูกต้องยังไม่อาจได้รับความยุติธรรมที่มากเกินไปจนเป็นความดีความเสียที่เกิดขึ้นเป็นการแลกเปลี่ยนที่ผิดถึงข้อได้ข้อเสียของเรื่องราวซะเอง
เกียรติของทหารคือบทความที่เรียกร้องความสนใจและน่าดึงดูดได้อย่างเร้าอารมณ์ ทั้งการสนทนาที่ห่ำหั่นมีความกดดันที่ตึงเครียดในภาวะกดดันอย่างไม่ยอมใครเป็นนาทีลุ้นก่อนจะระดมยิงกันอย่างเป็นตายที่ระอุความสะเทือนใจและกล้าหาญที่อัดแน่นความเสียสละในพวกพ้องที่ไม่ยอมทิ้งใคร ฉากแอ็คชั่นจัดว่าดุดันแล้วยังมีบทสนทนาที่กินกันไม่ลงและไม่ยอมใครที่จัดว่าแน่วแน่ที่สุด ซึ่งแทนที่จะเป็นหนังระห่ำในความมันส์ที่แอ็คชั่นเป็นหลักกลับเป็นมากกว่าความรู้สึกที่มากกว่าหนังบู๊ทั่วไปคือการใส่อารมณ์ของตัวละครที่หนักแน่นและดูเร้าอารมณ์จนเรียกว่าสะเทือนใจมากกว่าจะมาเห็นการยิงกระหน่ำ ทั้งยังเพลงประกอบที่บอกได้ถึงศักดิ์ศรีที่ปะปนมากับการเล่าอารมณ์ของเรื่องเสียสละและเชิดชู บวกกับมุมมองการถ่ายทอดตัวหนังที่มามุมสื่ออารมณ์จนเรียกความรู้สึกก้นบึ้งผู้ชมอย่างล้นหลามชนิดที่ว่ามีอะไรมากกว่าที่หนังแอ็คชั่นเป็นกัน
นายพลจัตวา ฟรานซิส เอ็กซ์ ซามูเอล คือคนที่อัดอั้นความกดดันเกี่ยวกับการเสียลูกน้องไว้มากมายแต่ถึงคราวที่ความจริงควรได้การตีโต้เมื่อเขารับไม่ได้การเป็นพวกไร้ประโยชน์ ทั้งที่การทิ้งลูกน้องไว้เบื้องหลังเป็นความเจ็บปวดที่สาหัสภายในใจมากพอแล้ว แต่พวกเขาเหล่านั้นเป็นเหมือนอากาศที่ลมพัดหายไปไม่มีเกียรติหรือตราหรือเหรียญหรือแม้กระทั่งค่าบำเหน็จที่สมควรได้รับ ทำให้เกิดการต่อต้านที่เกิดขึ้นเป็นสงครามภายในที่สร้างความกดดันจากจรวดที่มีอำนาจทำลายล้างที่ต้องการพิสูจน์ถึงความจริงที่ควรตระหนักว่าพวกเขาไม่ควรตายเปล่า แต่กระนั้นการกระทำของนายพลเหมือนจะเป็นที่ถูกใจและตรงประสงค์ที่กลุ่มลูกน้องต้องการด้วยการใช้จรวดขมขู่เพื่อเรียกเงินเข้าบัญชีเพื่อนำไปแจกจ่ายกับทหารลูกน้องที่เสียไป ซึ่งในช่วงหลังจะเห็นว่าคนที่น่านับถือที่สุดคือนายพลที่ความจริงแล้วไม่ต้องการเกิดผลเสียและอันตรายใดๆเพียงแค่เรียกร้องความสนใจ แต่กับบางคนในทีมมีพวกบ้าสงครามที่ต้องการยิงจรวดและค่าจ้างของตนมากกว่าจะมาเรียกร้องความสนใจ ซึ่งนั้นเป็นจุดหักเหว่าใครมีความต้องการอะไรจริงๆแอบแฝง
ด้วยสัตย์คำปฏิญาณของเหล่าทหารเป็นไปอย่างดุเดือดและจัดจ้านที่สุดเมื่อนายพลจัตวา ฟรานซิส ต้องมากล่อมเกลี้ยเหล่าทหารนาวิกโยธินที่บุกเข้ามาในเดอะร็อค ถึงแม้ในความแอ็คชั้นจะดูไม่เต็มตาแต่ด้วยบทสนทนาที่ถกเถียงไปมาที่ใส่คำสัตย์มาใช้ ทำให้เป็นเรื่องที่ไม่มีการอ่อนน้อมทั้งที่ฝ่ายที่อยู่สูงกว่าคือนายพลจัตวา ฟรานซิสที่หาวิธีพยายามจะเลี่ยงการปะทะเพราะความเห็นใจในการเป็นทหารด้วยกัน แต่กลับเหล่านาวิกโยธินแล้วเลือกจะต่อต้านและไม่ยินยอมเข้าข้างจนเป็นบทสนทนาที่ประกอบความรักชาติว่าจะกำจัดศัตรูทั้งภายนอกและภายใน ก่อนจะเกิดโศกนาฏกรรมที่เรียกความหดหู่ทางใจเป็นความสะเทือนใจที่ทหารรักชาติต้องมายิงกันเองเพียงเพราะการยึดมั่นในอุดมการณ์ที่แตกต่าง
The Rock ลงทุนงบประมาณไป 75 ล้านดอลล่าสหรัฐ ซึ่งถ้าจับประเด็นตัวหนังทั้งฉากและการแสดงต่างๆจะพอรู้ว่าไม่ได้ลงทุนเกิดคาด แต่มีรายรับทั่วโลก 335 ล้านดอลล่าสหรัฐ ซึ่งจัดว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมาก และที่แน่นอนที่สุดคือการรับชมเรื่องนี้กลับคุ้มไม่แพ้กัน
เมสันเป็นตัวละครที่นอกจากจะมีการจับต้นชนปลายความลับที่กลมกลืนกับหนัง 007 แล้วยังมีเนื้อหาที่ว่าเขาเป็นสายลับจากอังกฤษที่ตัวหนังมีบทสนทนาหนึ่งที่กู้ดสปีดถามเมสันว่า"ลุงไปฝึกมาจากไหน" เมสันจึงบอกไปว่า"ฝึกมาจาก 007" ซึ่งน่าจะเป็นล้อเลียนหนัง 007 อย่างหนึ่งเพราะเมสันที่รับบทโดย Sean Connery ก็เคยรับเล่นเป็นสายลับ 007 มาก่อน ตั้งแต่ภาคแรกที่มีชื่อว่า Dr. No (1962) ตลอดจน Diamonds Are Forever (1971) ที่เป็นภาคที่ 7 แต่ในภาคที่ 6 คนที่รับรับบทเป็น 007 คือ George Lazenby
หนังทำได้สุดยอดถึงความอิ่มที่กำลังเหมาะกับการรับชมที่มีฉากแอ็คชั่นที่ดูสนุกและบู๊อย่างเต็มกำลัง ที่มีความประทับใจในหลายๆด้านที่ปะปนมากับการเร้าอารมณ์ผู้ชมทั้งการใช้ฉากหรือมุมมองที่แผ่ซ่านถึงการถ่ายทอดให้ผู้ชมรู้สึกได้อย่างดี โดยส่วนตัวฉากที่ประทับและดูน่าทำออกได้เยี่ยมและรู้สึกถึงตัวหนังคือฉากกู้ดสปีดจุดพลุไฟเขียวเพื่อบอกว่าภารกิจสำเร็จขณะที่เครื่องบินจะมาทิ้งระเบิด ซึ่งช่วงนั้นมีแต่ความเหนื่อยและลุ้นอยู่กับว่าจะทำยังไงถ้าห้ามการทิ้งระเบิดไม่ทัน ต้องบอกว่าการใช้อารมณ์มีส่วนร่วมกับตัวหนังให้เกิดความเศร้าของตัวละครต้องยกให้กับ Michael Bay ที่สร้างและชวนรู้สึกในความมันส์ที่นำเรื่องรักมาให้เกิดความน่าสนใจและติดตามจนต้องกลับมาดูอีกรอบกับ The Rock