Timeline (2003) ข้ามมิติเวลา ฝ่าวิกฤติอันตราย

Timeline (2003) | ข้ามมิติเวลา ฝ่าวิกฤติอันตราย | C
Director: Richard Donner
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi | War

ศาสตราจารย์ จอห์นสตัน(Billy Connolly)และทีมศึกษาโบราณคดีต่างให้ความสำคัญในการศึกษาซากปราสาทศตวรรษที่ 14อย่างเคร่งงวด แต่ศาสตราจารย์ จอห์นสตันกลับสงสัยในตัวผู้ให้ทุนในการขุดค้นซึ่งก็คือบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล เทคโนโลยี คอร์ปอเรชั่น และเจ้าของบริษัท โรเบิร์ต โดนิเกอร์(David Thewlis) ศาสตราจารย์จอห์นสตันจึงเดินทางสู่สำนักงานใหญ่เพื่อถามคำถามบางประการ ระหว่างที่ศาสตราจารย์ไม่อยู่ เหล่านักศึกษาค้นพบห้องที่ถูกปิดตาย อังเดร มาเร็ก(Gerard Butler)และ เคต(Frances O'Connor)เดินเข้าไปในห้อง พวกเขาค้นพบสิ่งที่น่าตื่นตะลึงสองอย่าง นั่นก็คือเลนตาที่ไม่น่าจะมีได้ในสมัยนั้นและไม่น่ามีใครมาที่นี้ได้ก่อน และที่น่าแปลกใจและตะลึงไปกว่านั้นก็คือ ข้อความขอความช่วยเหลือที่เขียนด้วยมือ ลงวันที่ 2 เมษายน ปี 1357 จากศาสตราจารย์จอห์นสตัน ที่วัดกันแล้วมันเหมือนทุกประการ จะเป็นไปได้ไงกับเรื่องราวที่เกิดไปนานแล้วไม่ต่ำกว่า 400 ปี เพื่อไขปริศนานี้ให้ได้ จึงมุ่งหน้าไปยังสำนักงานใหญ่ ที่ซึ่งพวกเขาต้องตื่นตะลึงเมื่อได้รู้เรื่องสิ่งประดิษฐ์ของโดนิเกอร์ ซึ่งเป็นเครื่องกลที่สามารถส่งวัตถุสามมิติผ่านกาลเวลาได้ และนั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมศาสตราจารย์ จอห์นสตันถึงหายตัวไป ทำให้คริส(Paul Walker)ที่เป็นลูกชายศาสตราจารย์ จอห์นสตัน และพวกพ้องต้องย้อนเวลากลับไปช่วยเหลือให้กลับมาให้ได้ แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือการย้อนเวลาไปที่ไม่รู้ว่าเป็นช่วงเกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส แล้วจะกลับสู่ศตวรรษที่ 21ได้อย่างมีชีวิตรอดได้หรือไม่


พล็อตเรื่องค่อนข้างมีความสนใจหลายอย่างตรงที่เป็นเนื้อเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์แต่มีการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ได้ตั้งใจ คือจะไปช่วยศจ.จอห์นสตันที่ติดในช่วงศตวรรษที่ 14 แต่กลับไปปรับเปลี่ยนประวัติศาสตร์ด้วยการไปที่อังเดรไปช่วยเลดี้แคร์(Anna Friel)ที่ตามหลักประวัติศาสตร์แล้วเลดี้แคร์ต้องตายและเป็นการทำให้เหล่าทหารฝรั่งเศสเกิดฮึกเหิมสู้กับทหารอังกฤษจนชนะ

แต่ประเด็นคือตัวแปรที่กำหนดสงครามถูกเปลี่ยนไป ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการส่งผลต่ออนาคตด้วย ทำให้เรื่องราวต้องดำเนินไปอย่างเข้มข้นและหาทางแก้ไขไม่ให้เกิดรอยแตกระหว่างประวัติศาสตร์ที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิมให้เป็นเหมือนเช่นที่เคยเป็น ถ้าเอาเข้าจริงเนื้อเรื่องทั้งหมดที่ดำเนินมาถ้าจับต้นชนปลายจะค้นพบได้ในทันทีว่าเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย เพราะว่าตัวหนังได้บอกตอนจบเอาไว้แล้วเพียงทำเป็นให้ดูน่าสนใจก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเป็นการหายตัวของศจ.จอห์นสตันที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเขาได้หายตัวไปจากปัจจุบันแต่เป็นอดีต แล้วตีเนื้อเรื่องให้เชื่อมโยงกันซึ่งเป็นจุดที่เก็บรายละเอียดได้ดีเพราะตัวหนังไม่ได้ทิ้งทุกอย่างให้เป็นปริศนาหรือเกิดคำถาม


ก่อนจะพบว่ามีการย้อนเวลาไปศตวรรษที่ 14 ได้ต้องเริ่มปรับเค้าโครงเนื้อเรื่องด้วยการให้เจอแล่นตาและจดหมายสาส์นในสถานที่โบราณ ซึ่งผลออกมาคือเป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าเป็นเลนแว่นตาของศจ.จอห์นสตัน เนื่องจากเมื่อเอาแล่นตาของจริงกับอดีตมาเปรียบเทียบกันแล้วมันตรงกันทุกจุดและเนื้อหาข้างในกระดาษที่บ่งบอกขอความช่วยเหลือซึ่งไม่เป็นไปได้เพราะนั้นเป็นรายมือของศจ.จอห์นสตัน ตรงจุดนี้ที่ตัวหนังใช้ประเด็นได้ดีและเป็นข้อถกเถียงไปมาได้น่าตื่นเต้นถึงความเป็นไปได้และไม่น่าเป็นไปได้ จนเป็นการเชื่อมโยงถึงการย้อนเวลาว่าศจ.จอห์นสตันติดอยู่ในอดีตและเป็นศตวรรษที่ 14 ช่วงที่เกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสซะด้วย แต่ประเด็นจริงคือศจ.จอห์นสตันส่งขอความช่วยเหลือด้วยจดหมายเท่านั้นโดยมันจะไปปรากฎในอดีต แต่ปัญหาคือเรื่องเลนตาที่ไม่รู้โผล่มาได้ไงนั้นแหละที่น่าสงสัย

แต่ที่บอกคือความน่าสนใจของเลนตาถูกทำให้เป็นเรื่องง่ายเกินไป ถ้าจับประเด็นแต่ละจุดจะพบว่าการเปลี่ยนแปลงในอดีตไม่ได้มีผลอะไรกับอนาคตเลย จริงอยู่ที่ตัวหนังมีการเล่นกับเวลาที่ย้อนอดีตได้และเปลี่ยนแปลงมันโดยบังเอิญแต่ในอนาคตจะพบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ อย่างเลดี้แคร์ที่ควรตายไปตามที่ตัวหนังระบุตามประวัติศาสตร์ แต่แท้จริงไม่ได้ตายและปรากฎหลักฐานต่อหน้าแล้วด้วยว่าประวัติไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ซึ่งน่าจะเป็นการจับผิดหนังที่ใช้กฎของเวลาได้ผิด เว้นแต่ว่าเนื้อเรื่องที่เกิดเป็นเรื่องที่สมควรเกิดขึ้นอยู่แล้ว อังเดรค้นพบสุสานคู่รักที่ไม่มีความแน่ชัดว่าเป็นใคร ก่อนจะไปย้อนอดีตแล้วค้นพบว่าคือตนเองกับเลดี้แคร์ในอดีต ซึ่งในปัจจุบันก่อนย้อนเวลาอังเดรไม่ได้อยู่ในอดีตแต่เป็นอนาคตทำให้เกิดความผิดพลาดที่ว่าไม่ควรมีสุสานก่อนย้อนเวลา แต่ควรมีหลังย้อนเวลา ถึงตัวหนังมีความผิดพลาดอยู่บ้างทำให้บางทีก็สร้างความงงกับผู้ชมได้เหมือนกัน แต่ทางกลับกันตัวหนังทำออกมาได้กลมกลืนและเรียบเรียงเนื้อเรื่องได้ดีจนเป็นเรื่องไม่น่าแปลกจนเหมือนเซอร์ไพรส์แบบนิ่มๆ


Timeline มีปัญหาในอเมริกาเพราะเป็นหนังเจ๊ง จึงดูเหมือนหนังธรรมดาทั่วไป แต่ในความจริงกลับดูสนุกและเพลิดเพลินได้อย่างดี จริงอยู่ที่ว่าเป็นหนังไซไฟต้องใช้เอฟเฟคมาใช้แต่เมื่อดูไปจนจบจะพบว่าแทบไม่มีเอฟเฟคอะไรมากมายมาประกอบคือใช้ความจริงเข้ามากกว่า ทำให้ศตวรรษที่ 14 เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงทั้งฉากและสงคราม เรื่องก็เลยมีความตื่นเต้นที่ตัวละครอย่างมากเพราะมาตัวเปล่ากับของไฮเทคอย่างเดียวคือจี้กลับเวลาศตวรรษที่ 21 ก็เลยใช้สมองและไหวพริบมากกว่า

การเดินเรื่องพอทำตื่นเต้นได้ดี ไม่ค่อยมีอืดไปเรื่อยๆไม่หยุด แต่หนังบอกว่าเป็นสงครามครั้งใหญ่แต่ตัวหนังทำเล็กไปหน่อย ไปโฟกัสแค่จุดๆเดียวก็เลยเหมือนไม่มีคนเท่าไร แต่พวกฉากต่อสู้กันนี่จัดว่าสนุกใช้ได้ ระเบิดกันทีก็ตุ้มต้ามใช้ได้ สไตล์หนังใช้อาวุธดาบฟันกันสนุกดี ที่สนุกจริงคงไม่พ้นเรื่องการให้เวลาเพราะการย้อนอดีตแล้วจะกลับมาได้จะมีเวลากำหนด 8 ชั่วโมง ซึ่งนั้นแหละประเด็นของการที่ตัวหนังไม่อืดแต่ดำเนินไปตลอด แสดงถึงความกดดันที่โดนเวลาบีบให้คิดให้ไหว


ด้านนักแสดงแต่ละคนดูมีอารมณ์ดี ส่วน David Thewlis แสดงดูใช้ได้เลยโดยแอบเป็นตัวโกงหน่อยที่เป็นคนเห็นแก่ตัว แล้วตัวหนังกำจัดคนแบบนี้ด้วยกรรมตามสนอง ซึ่งมันเป็นอะไรที่ผ่อนคลายผู้ชมให้หมดข้อกังขาอีกด้วย Gerard Butler แสดงได้เหมาะกับบทดี แลเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาตัวเองได้อย่างแน่วแน่ และตอนจบซึ่งเหมาะกับบุคคลิของเขาแล้ว Timeline สร้างจากนิยายของ Michael Crichton แห่ง Jurassic Park

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)