Tokyo Gore Police (2008) | ซามูไรโปลิศ | B+
Director: Yoshihiro Nishimura
Genres: Action | Comedy | Horror | Sci-Fi
นักวิจารณ์ท่านนึงได้กล่าวไว้ว่า"งบที่ใช้ไปกับค่าเลือดปลอมเรื่องนี้น่ากลัวจะพอๆกับค่าน้ำทะเลในเรื่อง Titanic เอา" พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเกี่ยวกับเลือดที่พุ่งเป็นน้ำพุอย่างกับท่อปะปาแตก ไม่รู้ว่างบหมดไปกับอะไรบ้างแต่ที่แน่คือเจ้าเลือดปลอมมันเยอะมาก เยอะจนอยู่สภาพเลือดพุ่งได้เป็นนาทีแบบไร้วี่แววว่าจะเลือดจะหมด นี่มันเว่อร์เกินไปแล้วล่ะมั้ง ใครที่ไหนเลือดมันจะพุ่งมากมายมหาศาลขนาดนั้น ถ้าวัดปริมาณได้คงไหลออกมาเป็นลิตรกันเลยทีเดียว
มาเข้าเรื่องกันที่ว่าญี่ปุ่นในอนาคตอันใกล้เกิดคดีฆาตกรรมสยองขวัญอย่างต่อเนื่องจากฝีมือฆาตกรสุดโหดหลายราย โดยแต่ละรายจะมีลักษณะที่แตกต่างจากคนปกติกันคือเป็นพวกกลายพันธุ์ที่มีจุดเด่นในตัวที่เมื่อไหร่ชิ้นส่วนในตัวหรืออวัยวะส่วนใดขาดไปจะสามารถงอกขึ้นมาใหม่เป็นอาวุธได้ เพราะความร้ายกาจของพวกกลายพันธุ์ที่ฆ่าได้ยากจึงเป็นหน้าที่ของรุกะ (Eihi Shiina) ตำรวจที่ได้รับมอบหมายให้จัดการพวกกลายพันธุ์มาโดยเฉพาะให้สิ้นซาก ด้วยความสามารถของเธอที่จัดการพวกกลายพันธุ์เอาไว้มากมาย ทำให้เป็นที่น่าสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกุญแจประหลาดที่พบในศพพวกกลายพันธุ์ที่พบได้ทุกครั้งหลังจัดการ ซึ่งมีที่มาจากนักวิทยาศาสตร์โรคจิตหลายหนึ่งนามว่าคีย์แมน (Itsuji Itao) ที่สรรหาเหยื่อตามต้องการเพื่อนำทำเป็นพวกกลายพันธุ์ด้วยวิธีใส่กุญแจในร่างเหยื่ออย่างสุดโหดแล้วเปลี่ยนสภาพกลายเป็นอีกคนที่ต้องการทำลายเพียงอย่างเดียว ทำให้รุกะต้องตามล่าหาความจริงเกี่ยวกับบุคคลลึกลับนี้ให้จงได้
ทว่าตัวรุกะเองยังต้องรับศึกภายในที่หนักหนาสาหัสไม่น้อยไปกว่าศึกภายนอกที่ในจิตใจเต็มไปด้วยอารมณ์ของการสูญเสียพ่ออันเป็นที่รักต่อหน้าต่อตา ทำให้เธอจึงอยากกลายเป็นตำรวจเช่นเดียวกับพ่อของเธอ แต่ที่น่าแปลกเมื่อยิ่งสืบสาวเรื่องราวต้นตอที่มาของพวกกลายพันธุ์มากขึ้นเท่าไหร่ยิ่งคล้ายกับรู้ความจริงบางอย่างที่เป็นปริศนาในใจมาโดยตลอด นั้นคือคนที่ฆ่าพ่อของเธอคือใครกันแน่ และทำไมจู่ๆถึงปรากฏพวกกลายพันธุ์ออกมามากมายขนาดนี้ได้
เมื่อความจริงใกล้เปิดเผยมากขึ้นเท่าไหร่อันตายยิ่งใกล้ตัวมากขึ้นเท่านั้น เมื่อในวันหนึ่งรุกะได้เผชิญหน้ากับบุคคลลึกลับคีย์แมน แล้วพลาดท่าถูกฝังกุญแจจนกลายเป็นพวกกลายพันธุ์ งานนี้ทำให้เธอต้องเลือกข้างต่อไปแล้วว่าจะอยู่ฝ่ายไหน ระหว่างพวกกลายพันธุ์ที่เธอพยายามจัดการล้างให้หมดกับฝ่ายตำรวจที่มองพวกกลายพันธุ์เป็นตัวก่อกวนของสังคมที่จำเป็นต้องรีบกำจัดให้หมดไป เมื่อรุกะหมดหนทางชะตากรรมเกี่ยวกับเรื่องการตายของพ่อก็ถูกเปิดเผยออกมา กลายเป็นว่าคนที่ไว้ใจมากที่สุดกลับกลายเป็นคนที่กุมเบื้องหลังการตายของพ่อเธอนี่เอง ทำให้เธอรู้แล้วว่าควรตัดสินใจทำยังไงต่อไปกับชีวิตที่ไม่ใช่คนเต็มตัวในฐานะตำรวจยึดติดคุณธรรม ที่ต่อให้เปลี่ยนไปทั้งตัวแต่ใจรักความถูกต้องยังคงไม่เปลี่ยน และจะไม่ยอมให้อภัยพวกทำผิดให้ลอยนวลได้
ด้วยเทคนิคการเมคอัพไม่ทุนสูง ทำให้ดูเละแบบชวนแหวะ ไม่ถึงกับเหมือนจริงแค่เอาพอหอมปากหอมคอ เติมเลือดลงไปให้เยอะแก่การสะใจ เท่านี้น่าจะพอที่ทำให้เรื่องนี้คัลท์อย่างมหาศาล และจะเข้าขั้นคัลท์เข้าไปอีกกับฉากต่อสู้ที่ลงเอยด้วยการฟาดฟันจนขาดกระเด็นเป็นส่วนๆที่ยามใดมีขาดต้องได้เลือดพุ่งเป็นก็อกน้ำแตกแสดงถึงความไม่มีกฏเกณฑ์ใดๆให้สมจริง นอกจากอารมณ์ส่วนตัวที่ผู้ชมจะมองยังไงก็ช่าง ขอแค่ให้มันออกมาท่วมท้นจิตใจของผู้กำกับด้วยเลือดเต็มหน้าจอ และเพราะเลือดที่สาดพุ่งนั้นมีปริมาณที่มากมายจนบางอย่างถึงกับปิดบังหน้าจอ เนื่องจากเลือดท่วมจอนั้นเอง แต่ที่ขาดความสมจริงเกี่ยวกับเลือดคือมันไม่ข้น คล้ายกับน้ำเปล่าผสมสีลงไปที่ดูดีๆไม่ต่างอะไรกับน้ำเปล่าผสมสีแดงลงไป ทำให้จุดนี้ที่มองผิวเผินดูน่ากลัวชวนแหวะก็หายข้อกังวลไปแบบไม่ชวนอาเจียน แต่ที่น่าวิตกสุดไม่ใช่การเมคอัพที่ผลลัพธ์ออกมาชวนแหวะน่าเกลียด แต่เป็นเนื้อหาที่กล่าวแบบโต้งๆเกี่ยวกับสื่อบ้าง สังคมบ้าง จนคิดกังวลแล้วว่าการมีตำรวจไปนั้นจะมีไปทำไม ในเมื่อความรุนแรงหนักยิ่งขึ้นเพราะฝ่ายตำรวจเป็นคนริเริ่มทำก่อนเอง โดยเฉพาะการไร้ซึ่งกฏข้อบังคับระเบียบผ่อนผันที่ตอนนี้ขาดคำว่าปรานีไปโดยสิ้นเชิง
ความรุนแรงของตัวหนังว่าแรงแล้วยังมีใครมองออกไหมว่า Tokyo Gore Police มีสาระที่น่าโดดจิตโดดใจไม่น้อยเกี่ยวกับสังคมที่ยอมรับเรื่องความรุนแรง อย่างฉากที่ตัดเข้ามากับพวกโฆษณาที่ดูดีๆไม่มีประโยชน์น่าชมเลยสักนิด ยิ่งโฆษณาคัดเตอร์ที่สามารถกรีดข้อมือได้โดยไม่บาดเจ็บแถมบอกด้วยว่าการกรีดคือแฟชั่นอวดลวดลายต่างๆชวนให้ดูน่ารัก หรือจะโฆษณาซามูไรที่ใช้ดาบได้โดยที่ตัวเองไม่ได้รับบาดแผลใดๆ จะบอกว่าเป็นดาบที่เหมือนคัดเตอร์นั้นแหละ
แต่ในแง่ของซามูรไกับวัยรุ่นที่กรีดข้อมือต่างมีประเด็นของตัวเองที่บอกสภาพสังคมอย่างชัดเจน เริ่มจากการฆ่าตัวตายในวัยรุ่นที่พบว่ามักเป็นช่วงสับสนตัดสินฆ่าตัวตายได้ง่ายๆ ขนาดแม้กระทั่งรุกะของเรายังกรีดแขนตัวเองก่อนจะไปจัดการพวกกลายพันธุ์ในช่วงแรกๆ(ขนาดกรีดแขนยังไม่มีการลังเลใดๆ ประมาณว่าไม่ใช่กรีดล่ะ อย่างนั้นเรียกเชือดมากกว่า) อย่างที่รู้ว่ารุกะของเรามีความสับสนใจไม่น้อยเกี่ยวกับการตายของพ่อ ซึ่งเรื่องนี้ขอเอาไว้อย่างหลัง มาต่อเรื่องวัยรุ่นล่ะกันนะ
อย่างที่ทราบกันว่าวัยรุ่นมีการคิดการอ่านที่บางอ่อนไหวได้ง่ายจนถึงขั้นฆ่าตัวตายได้อย่างสบายๆ โฆษณานี่จึงเป็นเหมือนทางเลือกการทดลองตายอย่างหนึ่งสำหรับคนที่ไม่กล้า ทว่าแง่หนึ่งมันก็กลายเป็นเรื่องฮิตได้เกี่ยวกับคัดเตอร์กรีดข้อมือที่ช่วยส่งเสริมให้ลดการตายลง ฟังเหมือนดีเพราะไม่ต้องกรีดข้อมือจริงๆ ถ้าได้ลองคิดในแง่ของซามูไรจะพบว่ามันเป็นการทำเพื่อหลอกลวงมากกว่า ซามูไรเวลาฆ่าตัวตายหรือที่เรียกว่าฮาราคีรีนั้นจะทำการคว้านท้องตัวเองเมื่อพบว่าตัวเองทำงานผิดพลาด หรือเหตุผลที่เกี่ยวกับศักดิ์ศรีเป็นหลัก ซึ่งการกระทำจัดการฆ่าตัวเองนั้นสำหรับซามูไรถือเป็นเรื่องที่น่านับถืออย่างหนึ่ง เพราะเหมือนเป็นการบอกถึงการยอมรับความจริงโดยไม่หลีกหนี และยอมชดใช้ในข้อผิดพลาดนั้นๆ แต่นี่โฆษณาดาบที่เอาไว้หลอกๆฆ่าตัวเองเป็นการบอกแล้วว่านั้นคือการแสแสร้งจอมปลอม อีกนัยหนึ่งกล่าวว่าความรุนแรงเป็นที่ยอมรับกันอย่างซื่อตรงไปซะแล้วที่พบได้ตามสื่อที่แม้แต่เด็กยังมีส่วนร่วมในความรุนแรงครั้งนี้กับโฆษณาตำรวจที่ยิงผู้ร้ายแล้วนำหัวมาเตะเป็นฟุตบอลแทน ประเด็นคือความรุนแรงเช่นนี้อยู่ได้ยังไงโดยไม่มีการต่อต้าน
อันที่จริงเมื่อเกิดเหตุที่ขัดแย้งต่อด้านใดด้านหนึ่งที่มองว่าไร้หลักการที่ถูกต้องแล้วมักจะมีผู้ไม่พอใจเป็นธรรมดา และอาจเกิดกลุ่มต่อต้านขึ้นเพื่อประท้วง ทว่าถึงจะมีเรื่องแบบนั้นมีแต่จะพากันตายมากกว่า เพราะชนชั้นการเบียดเบียนสังคมบอกเอาไว้แล้วว่าที่ญี่ปุ่นตำรวจมีอำนาจทำได้แทบทุกสิ่งโดยไม่มีการแคร์ต่อสื่อ ซึ่งอีกนั้นแหละสื่อกลายเป็นตัวนำพาความรุนแรงจนเป็นเรื่องชินตาไปซะแล้ว เช่นเดียวกับรุกะที่นั่งรถมองตำรวจทำร้ายประชาชนตามริมถนนที่ไม่รู้ว่าผิดจริงหรือไม่
ซึ่งในแง่การแบ่งชนชั้นนี้ได้ถูกมองอีกด้วยว่าพวกกลายพันธุ์เป็นตัวประหลาดของสังคมอย่างรุนแรง ตัวหนังพยายามย้ำนักย้ำหนาเกี่ยวกับพวกผิดมนุษย์ที่ต้องจัดการให้สิ้นซากจนผู้ชมคงคิดเสมอล่ะว่าต้องจัดการให้หมดๆไปในฐานะตัวร้าย แต่หารู้ไม่ว่าที่ร้ายกว่าคือมนุษย์อย่างเราๆที่ฆ่ากันเองอย่างไม่ลังเล นอกจากนี้ประเด็นภัยคุกคามทางเพศยังถูกมองว่าเป็นเรื่องสบายหูสบายตา เช่นที่รุกะโดนจับก้นขณะอยู่ในรถไฟก่อนจะลงโทษด้วยการตัดแขนทั้งสองทิ้ง
นี่แหละความรุนแรง เราใช้มันได้ตลอดเวลาแม้แต่การตัดสินคนผิดที่ไม่ต้องตัดสินด้วยการจำคุก แต่จัดการไปทีเดียวเลยด้วยวิธีที่เรียบง่ายและเร็วกว่า ฉะนั้นจึงมองได้ว่าอำนาจของตำรวจมีมากจนตัดสินชีวิตผู้อื่นได้ และประชาชนต่างกลัวที่จะพบตำรวจ แล้วสุดท้ายผู้พิทักษ์สันติราษฎร์คืออะไรกันแน่ในยุคสมัยนี้
ทว่าสิ่งที่ Tokyo Gore Police ใส่มานั้นกลับถูกมองเพียงผ่านสายตาแบบไม่คิดซะส่วนใหญ่ เนื่องจากสภาพตัวหนังเต็มไปด้วยความรุนแรงแบบลาบเลือด การจะมองว่าเป็นหนังเสียดสีสังคมคงมองได้เพียงความรุนแรงเท่านั้นที่พบได้ ที่มีคือเค้าความเนื้อเรื่องของรุกะกับคีย์แมนที่โยงสัมพันธ์ได้อย่างมีเหตุผล และเนียบเนียนไปกับการผูกเรื่องของการเกิดพวกกลายพันธุ์ คนฆ่าพ่อรุกะ จนกระทั่งตัวตนของคีย์แมนที่ทำไปเพื่อเหตุบางอย่าง ถือว่าอธิบายรูปลักษณ์เหตุการณ์ได้ดี ซ้ำยังทิ้งปมเอาไว้ชวนให้น่าติดตามไม่น้อย พอมองย้อนมาอีกทีนึกสงสารตัวละครอยู่ไม่น้อย โดยอย่างยิ่งรุกะที่เห็นการตายของพ่อต่อหน้า หรือจะตัวตนของคีย์แมนที่พบชะตากรรมเดียวกับรุกะเรื่องพ่อของตัวเอง ซึ่งประเด็นนี้จะยังไงนั้นให้ลองหาชมดูจึงจะเข้าใจได้ง่ายกว่า แต่ประเด็นที่ได้คือการฆ่าต่อเป็นทอดๆที่แสดงถึงการบ่งการเบื้องหน้าเบื้องหลังอันเลวร้ายของระบบที่พบได้ในสังคม เป็นการบอกถึงความดีที่ตายไปเพราะความชั่ว และความชั่วที่เลวยิ่งกว่าได้กำจัดความชั่วอีกที แสดงถึงความไม่สิ้นสุดของความเลวร้ายที่ยิ่งทอดยาวยิ่งสร้างความเลวร้ายที่ยิ่งกว่า ซึ่งนั้นเป็นผลลัพธ์ที่เห็นชัดเจนมากขึ้น จนเป็นเรื่องการล้างแค้นที่ก่อเกิดปัญหาชุดใหญ่ตามมาเป็นลูกโซ่
เริ่มตั้งแต่เหตุผลความต้องการของคีย์แมนว่าทำไมอะไรคือแรงจูงใจสร้างพวกกลายพันธุ์ตลอดจนการตายของพ่อรุกะที่เชื่อมโยงถึงระบบอำนาจตำรวจ ในแง่การผูกเรื่องจัดว่าเข้าท่าเข้าทางให้คำตอบได้ดี แต่จังหวะยังเร็วไปในการเข้าหาสรุปหาคำตอบในบางอย่างไม่ได้ โดยเฉพาะตอนที่คีย์แมนเป็นคนแล้วฆ่าตัวตาย เขาไปเจอกับประตูบานหนึ่งแล้วมีคน(ไม่น่าใช่)ออกมาพร้อมกับท่าทางที่เหมือนกับว่ายังไม่ใช่เวลาตอนนี้ จากนั้นโยนขวดที่บรรจุกุญแจที่สร้างพวกกลายพันธุ์ให้โดยไม่รู้จุดประสงค์ว่าเพื่ออะไรกันแน่ นอกจากเสียว่าอาจต้องการทดลองบางอย่างให้กับมนุษย์โลกที่เริ่มเสื่อมทรามได้พบวิกฤตของตัวเอง เพื่อที่ว่าอาจจะช่วยให้กลับมาดีขึ้นได้บ้างโดยผ่านเจตนารมย์ของคีย์แมนนักวิทยาศาสตร์ ทว่าแทนจะออกมาดีกลับตรงกันข้ามเมื่อคนกลายพันธุ์นั้นไม่ต่างอะไรกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ย่ำแย่ลงไปอีก ทางด้านตัวละครรุกะเองนับว่าปูอดีตเอาไว้ได้น่าสนใจแม้จะเป็นเรื่องผ่านๆไม่น่าสนใจเท่าไหร่ก่อนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์เชื่อมโยง จัดว่าการผูกเรื่องทำได้น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
ข้อเสียดายอย่างเดียวที่คิดว่าหลายคนน่าจะรู้อยู่แก่ใจคือความรุนแรงที่คัลท์จนเลือดสาดกระเด็นไปทั่วฉากที่พบได้บ่อยมากจนผู้ชมเอียนสีแดงคงไม่ผิด ยิ่งใช้ความรุนแรงชวนแหวะมากเท่าไหร่ความรู้สึกที่ได้รับจากเนื้อหายิ่งน้อยตามลงไป เพราะภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อหน้านั้นเต็มไปด้วยความสะใจละเลงเลือดเสียส่วนใหญ่จนผู้ชมติดตาในความคัลท์เหล่านี้จนอาจลืมไปแล้วกับสาระที่ยัดเข้ามาอย่างทะนุถนอมที่กัดจิกสภาพสังคมในอนาคตด้วยอำนาจตำรวจ การคุกคาม หรือกระทั่งความรุนแรงทางสื่อที่ไม่มีการจัดเรตติ้ง และอีกอย่างที่ผู้ชมได้รับคือความบันเทิงการดำเนินเรื่องอย่างต่อเนื่องที่พบหลายสิ่งหลายอย่างที่แปลกประหลาด อย่างฉากเข้าบาร์ที่พบการแต่งกายที่แปลกแนว หรือพวกกลายพันธุ์ที่นำเสนอในรูปแบบขายตัวกับรูปลักษณ์ชวนประหลาด เป็นไปได้ว่ารสนิยมของสังคมตอนนี้เริ่มเพี้ยนไปหมดแล้วแถมยังเป็นที่ยอมรับในหมู่สังคมได้ด้วย แม้จะไม่ทั่วถึงแต่การยอมรับในโลกใต้ดินก็พอจะบอกได้ว่ามันชัดเจนต่อสภาพญี่ปุ่นในตอนนี้ที่เลวร้ายขึ้นทุกขณะ
Tokyo Gore Police ผลงานลาบเลือดที่เอาเลือดเทมาเป็นฝนตกชวนให้น่าสะอิดสะเอียนพออยู่บ้าง แต่นั้นไม่ยิ่งไปกว่าการเมคอัพวิธีเก่าๆที่สร้างได้อย่างน่าพอใจกับความเนียบเนียนพร้อมกับไอเดีย อย่างฉากผู้หญิงขาจระเข้ที่มองยังไงก็แนวไปอีกแบบ ถึงแม้เทคนิคจะเก๊าเก่าจนสมัยนี้หาแทบไม่ได้ แต่กระนั้นยังไม่ลืมการเอา CGI เข้ามาร่วมในฉากต่อสู้ท้ายเรื่องที่ทำได้อิ่มปากใช้ได้ แถมยังให้แง่คิดในมุมมองเกี่ยวกับเครื่องมือการฆ่าที่อาจไม่ใช่เครื่องจักร แต่เป็นคนที่กลายเป็นสุนัขรับใช้ แสดงถึงการยืมใช้ฆ่าคนเชิงเปรียบเทียบในแง่ของอาวุธ ที่พบได้อย่างฉากอาวุธปืนที่ใช้มือเป็นกระสุนอันหมายถึงการใช้มือคนยืมฆ่าที่สุดท้ายมือที่ว่าจะย้อนเข้าหาตัวเอง หรือจะทาสรับใช้ติดอาวุธทั้งแขนขา ทั้งนี้มองได้ดีสุดคือฉากต่างๆที่พอดูลงทุนทำเรื่องทำราวให้มีโลเคชั่นอยู่บ้าง ไม่ได้เล่นกับสถานที่เดิมๆหรือปิดตายเท่านั้น ส่วนความต่อเนื่องดำเนินได้เข้าใจไม่อืดชวนยืดยาด ความสนุกถูกจัดเข้ามาเป็นระยะๆในความแปลกกับความมันส์ระหว่างต่อสู้แบบเลือดพุ่ง น่าติอย่างเดียวอาจเป็นความคัลท์ที่ท่วมท้นเหลือเกิน โดยเฉพาะความตั้งใจในปริมาณเลือดด้วยแล้วยิ่งเป็นที่น่าติดตาผู้ชมที่มองในแง่เดียวคือความบันเทิงแทนที่จะมองเนื้อหาเจาะลึกในแง่สาระเชิงเสียดสีเข้าไว้ เมื่อมองความบันเทิงมากกว่า โอกาสที่จะถูกมองว่าสนุกในแง่เนื้อหาจะเปลี่ยนเป็นความสนุกในแง่คัลท์แทน คิดว่าตรงนี้แหละที่หนังใช้ความคัลท์มากเกินไปจนปิดบังเนื้อหาของตัวหนังเอาไว้จนเรามองไม่ออกว่าเรื่องนี้มีดีในการกัดจิกสังคมได้อย่างสบายๆ แต่ถือว่าเป็นหนังที่ใช้เทคนิคเก่าๆได้ลื่นไหลดี แถมยังน่าติดตามตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่าจะมองเป็นความรุนแรงอย่างเดียวซะส่วนใหญ่ก็ตามที