War of the Worlds (2005) | อภิมหาสงครามวันล้างโลก | B-
Director: Steven Spielberg
Genres: Adventure / Sci-Fi / Thriller
เรย์ เฟอร์เรียร์ (Tom Cruise) คนงานท่าเรือที่มีภาระหน้าที่ต้องเลี้ยงดูแลลูกในฐานะคุณพ่อไม่สมบูรณ์แบบในช่วงสัปดาห์เพราะภรรยา (Miranda Otto) กับแฟนใหม่ต้องไปทำธุระ ทั้งนี่ลูกสองคนอย่างร็อบบี้ (Justin Chatwin) ลูกชายวัยรุ่นและเรเชลลูกสาวคนเล็ก (Dakota Fanning) ต้องมาอาศัยอยู่ด้วยความกึ่งเต็มใจ ซึ่งในวันนั้นเองที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดพายุฝนที่รุนแรงและปรากฎการณ์แปลกๆอย่างฟ้าผ่าลงที่ซ้ำ หลังจากนั้นเรื่องราวของชีวิตทุกชีวิตต้องเปลี่ยนไปมหาศาลเมื่อบางอย่างที่ดูเป็นเครื่องจักรขนาดใหญ่โผล่ออกมาจากใต้ดินที่สงบเงียบแบบน่าสงน แต่นั้นก็เหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อมันขยับและทำลายชีวิตทุกชีวิตไม่ให้เหลือซาก เรย์จะหนีจากหายนะพร้อมพาลูกๆหนีได้ยังไงเมื่อแท้จริงแล้วมันมีมากกว่าหนึ่งตัวและกำลังจัดการไม่หยุดหย่อนชนิดยังไม่มีใครเทียบเคียงได้
ถ้าจะบอกว่าเป็นหนังหายนะที่่พาไปสัมผัสภึงการเอาตัวรอดก็ถือว่าชัดเจนในแบบสิ้นหวัง เพราะการทำทุกวิถีทางของเรื่องต่างพากันเอาตัวรอดและดูถ้าจะไปได้ดีแต่กลับไม่ได้ช่วยอะไรเลยแต่ยิ่งดูยิ่งทรมานกับการดิ้นรนหนีที่ไม่มีวันจบ สิ่งที่สำคัญคือการใช้สติให้มากและต้องเร็วกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันให้ตื่นตัวเสมอ จะเห็นได้ว่าเรย์มีการใช้สติตลอดไม่พยายามจะใช้อารมณ์ให้มากเพราะเห็นแก่หน้าลูกๆ แต่บางครั้งบางสถานการณ์ต้องบังคับให้ต้องทำอย่างตอนเรย์ที่เอาผ้าปิดตาเรเชลเพราะมีเรื่องบาดหมางกับออลเลน (Tim Robbins) ที่คุมสติไม่อยู่เพราะการเห็นเอเลี่ยนจับมนุษย์ไปสูบเลือดแล้วรำพึงรำพันโวยวายว่า"ต้องไม่ใช้เลือดข้า" ซึ่งเรย์ก็พยายามห้ามให้เสียงเบาๆแล้ว
ในยามลำบากทุกคนต่างต้องการที่ยึดมั่นและความหวังในการพ้นทุกข์ให้หนีรอดออกไปจนดูเหมือนในทุกโอกาสจะเป็นการบอกจุดอ่อนของมนุษย์อย่างไม่จำเป็นจนดูเป็นปัญหาที่เกิดมากกว่าจะแก้ปัญหาให้จบๆไปอย่างสันติ ในเรื่องมีการแย่งรถที่ไม่สนใจใครขอแค่ได้มาเพราะมีจำกัดและขณะนั้นมีคันเดียว ก็ต่างเป็นที่ต้องการต้องตาในหลายคนเนื่องจากเป็นพาหนะเคลื่อนที่ที่ดีที่สุดในการหนีเพราะมันมีประโยชน์อย่างมากเพราะว่าในเรื่องเครื่องใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะใช้ไม่ได้เลยในช่วงแรกซึ่งรวมกับรถด้วย ทำให้ต่างคนต่างเดินหนีกันอย่างเดียวเพราะพาหนะใช้การไม่ได้แต่เรย์มีความคิดที่ลองในการแก้ไขและประสบผลสำเร็จจนรถวิ่งได้ เรย์จัดเป็นตัวละครที่แสดงถึงความไม่สมบูรณ์แบบในชีวิตที่ดูแล้วอาจเก่งและฐานะการอยู่ก็ใช้ได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าลองมองดีจะเห็นว่าในส่วนบางส่วนเรย์เป็นคนเห็นแก่ตัวที่ตั้งตนเป็นศูนย์กลาง แต่เรย์ยังคงแสดงถึงการห่วงใยและรักลูกๆไม่ให้ทิ้งห่างไปไหน
เอฟเฟคทำได้ออกมาดีมากแล้วดูเป็นความหายนะแบบเปิดกว้างเห็นได้ชัดถึงการทำลายล้างที่รุนแรง ทั้งฉากพื้นดินที่ค่อยๆแตกออกจนใส่ไปถึงตึกพังถล่มย่อยยับจนดูน่าระทึกตื่นเต้นผสานกับความน่ากลัวของการไล่ล่าที่วิ่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย มุมกล้องใช้ได้ดีจับภาพเป็นขั้นๆได้ดูอลังการถึงฉากต่างๆที่แผ่ซ่านถึงอันตราย จะว่าการออกแบบเจ้าเอเลี่ยนถือว่ายังดูไม่แปลกตานักเพราะโผล่มาไม่มากจะเน้นที่ตัวเครื่องจักรสามขาไล่ล่าคนที่ดูๆแล้วไม่ค่อยน่ากลัวจนเริ่มแผลงฤทธิ์นี่แหละถึงเรียกว่าน่ากลัวเอามากๆ เพราะความได้เปรียบที่มากมายกว่าชาวโลกจึงเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสที่ยังไม่สามารถจัดการพวกเครื่องจักรได้ และตัวหนังก็เพิ่มความโหดเข้าไปถึงจะดูไม่มีอะไรที่ระคายตาแต่ยังทำให้ผู้ชมกลัวอยู่ดีเนื่องจากการกระทำของพวกเอเลี่ยนจัดว่าเด็ดขาดเอามากและน่ากลัว ไม่ยอมให้อยู่กันสบายๆได้เลยจำต้องระแวงตลอดว่าจะมาแบบไหนและเมื่อไร บอกได้เลยว่าอยู่เฉยๆก็ไม่มีสุขแล้ว
ถ้าว่ากันตามเนื้อเรื่องจุดที่บกพร่องที่จุดคงเป็นช่วงบทสรุปที่โดนตัดไปมากเหมือนจะรีบจบ ถ้าว่ากันตามจริงอาจเป็นหนังยาวที่กินเวลาเกิน 2 ชั่วโมงครึ่งก็ยังได้ เนื้อเรื่องเต็มไปด้วยความหวาดกลัวของตัวละครที่ต่างทุรนทุรายเอาตัวรอด และหลายฉากมักจะดูแฮปปี้แต่ก็สิ้นหวังในทันทีเพราะการปรากฎตัวของเครื่องจักรสามขาที่พ้นแสงไปมากลายเป็นธุลีคงไว้แต่เสื้อผ้าที่ปลิววอนในอากาศ จัดว่าดูน่ากลัวและชวนผวาเพราะเล่นกับจิตใจที่ดูทำร้ายซะเหลือเกินเหมือนฉากเรเชลดูสายน้ำที่สวยงามระยิบระยับที่ผ่านตาแต่ก็พัดพาสิ่งไม่น่าดูตามมาด้วยพร้อมกับดนตรีประกอบที่ผสานบวกเข้าไปจนลืมความสุขหรือปาฏิหาริย์ความหวังที่เกิดขึ้น
จะว่าเนื้อเรื่องช่วงแรกตีเข้าปมปัญหาครอบครัวที่ดูไม่ลงรอยกันเลยทั้งเรย์กับร็อบบี้ที่ต่างเหมือนเล่นสงครามเย็นไม่มีการว่าร้ายหรือลงมือทำกันรุนแรงแต่แสดงออกทางท่าทางที่ดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเรเชลยังคงเป็นเด็กที่ไร้เดียงสาที่เจอปัญหาหรืออะไรที่น่ากลัวก็กรี๊ดแตกตลอดเป็นการช่วยเพิ่มความสับสนและกดดันหนังที่อรรถรสไปตามหนัง Tom Cruise แสดงได้ก็พอโอเคแต่รู้สึกแปลกที่ดันมีลูกเป็นวัยรุ่นทั้งที่หน้าบอกยี่ห้อว่าไม่แก่ขนาดนั้น ก็ว่าเวลาดูดุกับลูกๆก็เหมือนจะรู้สึกแปลกๆไม่ใช่ไม่ได้อารมณ์แต่เป็นดูเหมือนขาดความห่วงใยแบบซึ้งๆไป ตัวหนังที่เริ่มด้วยปมปัญหาครอบครัวโดยมีเอเลี่ยนบุกโลกเข้ามาพัวพันจัดว่าต้องการนำเสนอมุมมองที่แอบซึ้งเอาไว้ตอนท้าย จากคนที่รับผิดชอบน้อยดูไม่เอาถ่านหวังให้สำนึกถึงชีวิตที่ดิ้นรนมาจนตอนสุดท้าย แต่นั้นยังคงไม่มากพอให้จับใจเพราะตอนไคลแม็กซ์ที่รัดรวบเหลือเกิน ถ้าว่าตามธรรมชาติก็แฝงไว้ด้วยการเอาตัวรอดต่างๆที่ถึงแม้เห็นแก่ตัว ก็ยังคงสร้างความกล้าหาญไว้มากมายทั้งทหารที่สู้กันไม่รู้จักหยุดจนท้องฟ้าสีแดงกระหน่ำกันยิงสู้ไม่ถอยถึงจะเป็นรองมาเสมอ เรื่องกำลังใจตัวหนังก็สร้างออกมาเรื่อยๆถึงแม้จะดูสิ้นหวังและกดดันชวนหดหู่ว่าควรทำยังไงดีเพราะทางเลือกมีแค่ทางเดียวในขณะที่ต้องใช้ตัวเลือกที่มากกว่าหนึ่ง