We Were Soldiers (2002) | เรียกข้าว่า วีรบุรุษ | A
Director: Randall Wallace
Genres: Action | Drama | History | War
สร้างจากเรื่องจริงทั้งเกียรติยศของพวกพ้องที่ต้องรับภาระหน้าที่ในสงครามเวียดนามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ กับเรื่องครอบครัวที่ต้องจากมาทำสงครามที่เปี่ยมด้วยชีวิตที่แขวนบนความเป็นตายในห่ากระสุน เมื่อทหารอเมริกันต้องเคลื่อนทัพเข้าไปยังหุบเขามรณะที่นำโดยพันโทแฮโรลด์ มัวร์ (Mel Gibson)ผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารม้า แต่สถานการณ์คือเรื่องที่บีบคั้นที่สุดเมื่อเหล่าทหารและเขาต้องก้าวเท้าลงใจกลางที่ถูกรอบล้อมด้วยทหารเวียดกง 4000 นาย ขณะที่อเมริกันมีเพียง 400 นาย เวลาและความคิดคือเรื่องสำคัญความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่กับสงครามนี้ถ้าพลาดอาจหมายถึงทุกสิ่งต้องหายไป แฮโรลด์ มัวร์กับเพื่อนเหล่าทหารจะกลับไปหาครอบครัวอันที่รักได้หรือไม่กับสงครามบ้าระห่ำห่ามกลางดงกระสุนเช่นนี้ จะมีแต่ต้องภาวนาและความกล้าหาญเท่านั้นที่พอช่วยได้
“เรากำลังเคลื่อนทัพเข้าไปยังหุบเขามรณะ พวกคุณจะต้องคอยดูแลคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า ซึ่งขณะเดียวกันเขาก็จะคอยดูแลคุณด้วย พวกคุณจะต้องไม่ใส่ใจว่าเขาจะมีสีผิวอะไร หรือจะเอ่ยพระนามของพระเจ้าว่าอย่างไร เรากำลังเดินสู่สมรภูมิเพื่อทำศึกกับศัตรูที่มีความมุ่งมั่นและอดทนเป็นเลิศ ผมรับปากไม่ได้ ว่าจะพาทุกคนรอดตายกลับมา แต่ผมสาบานว่า เมื่อเราก้าวเข้าสู่สนามรบ ผมจะเป็นคนแรกที่เหยียบเท้าลงบนสมรภูมิ และจะเป็นคนสุดท้าย ที่จะก้าวออกมา และผมจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เราจะกลับบ้านด้วยกัน ไม่ว่าเป็น…หรือตาย”
นี่คือประโยคบอกกล่าวก่อนจะไปรบที่เวียดนามอย่างไม่รู้จุดหมายที่แน่ชัดว่าเพื่ออะไรกับสงครามที่มีแต่สูญเสีย แสดงถึงความรักพวกพ้องที่ห้ามทิ้งใครไว้เบื้องหลังอย่างเด็ดขาดเพราะทุดคนต้องเผชิญร่วมทางไปด้วยกัน ถึงจะแพ้อย่างน่าอายหรือชนะอย่างศักดิ์ศรีทุกคนที่เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกันต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ทุกชีวิต เพราะทุกคนคือผู้ร่วมรบที่สนับสนุนให้เราสู้ได้อย่างไม่ท้อถอย นี่คือประโยคที่เด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ในอุดมการณ์รักชาติที่ต้องมีพวกพ้องมาก่อนเพราะความสำคัญที่เรียกว่าเพื่อนร่วมรบ ได้อย่างตระหนักในความสามัคคีและเชื่อใจ ซึ่งเป็นอะไรที่สะท้อนจิตใจอย่างมากเพราะแต่ละสงครามเราไม่อาจช่วยใครได้เพียงแค่เดินไปหายังลำบากในดงกระสุน กับเรื่องนี่แสดงถึงการไม่ทิ้งกันและความย่อท้อที่จะถอยให้กับเรื่องพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย ถึงแม้จะสื่อออกมาไม่ชัดเจนมากนัก แต่มีหลายฉากที่ไม่ทิ้งใครแล้วยังพร้อมจะช่วยพลทหารด้วยกันเสมอแม้ในยามวิกฤติก็ตาม
ประเด็นเรื่องครอบครัวคือจุดที่ยิ่งใหญ่ที่สะเทือนใจที่สุดอีกอย่างในภาวะการเกิดสงคราม สิ่งหนึ่งที่ผู้อยู่บ้านปรารถนาและภาวนามาตลอดคือเสียงกริ่งจากผู้เป็นอันที่รัก หากแต่ใช่ผู้ส่งจดหมายแต่เนื้อหาเต็มไปด้วยคำสรรเสริญอย่างกล้าหาญดุจลูกผู้ชายที่เป็นวีรบุรษที่เกิดในสงคราม ถือว่าการยกประเด็นนี้เป็นอะไรที่ดูแล้วสะท้อนถึงคนในบ้านอย่างชัดเจน ในบทจูลี่ ภรรยาของแฮโรลด์(Madeleine Stowe) ในเรื่องเป็นภรรยาที่รักษาความเป็นเพื่อนบ้านได้อย่างดี สามารถถ่ายทอดความรู้สึกของการเสียคนที่รักให้เข้าใจว่าเจ็บช้ำแค่ไหนได้อย่างสุดซึ้ง
ที่สำคัญจูลี่ยังขอแบกหน้าที่รับความรับผิดชอบการรับจดหมายให้เพื่อนบ้าน ที่มีแต่"ข่าวร้าย" จากสนามรบไปมอบให้กับครอบครัวเหล่าทหาร ที่มีแต่น้ำตาและการสูญเสียเพื่อเกียรติของชาติ เป็นช่วงเวลาที่หนักแน่นมากกับฉากส่งจดหมายให้เพื่อนบ้านและพร้อมจะปลอบใจด้วยการกอดและบอกกับตัวเองใจว่า"ไม่เป็นไร" เต็มไปด้วยฉากเรียกน้ำตาที่มีความหมาย ที่ถึงแม้สงครามจะเป็นเรื่องไร้สาระ แต่การพรากจากคนรักเป็นเรื่องที่รับไม่ได้เลย ที่แม้จะเตรียมทำใจมาก่อนแล้วก็ตามบาร์บาร์ล่า (Keri Russell) เป็นตัวละครที่วางหมากการเป็นแม่คนได้อย่างสมบูรณ์ มีแต่ความห่วงใยและพยายามอดใจไม่ให้ตัวเองต้องอ่อนไหว ถึงแม้ความจริงจะรุ้มเร้าก็ยากจะฝืนใจให้ตรงข้ามความรู้สึก นี่เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ตัวหนังต้องการบอกว่าสงครามมีการแต่เรื่องการสูญเสีย ไม่ได้มุ่งหวังในตอนจบถึงเรื่องชัยชนะหรือพ่ายแพ้แต่อย่างใด
เรื่องบทบาทการวางตัวละครก็ดูเหมาะสมจนเรียกว่ามีพลังในตัวกับหนังที่หนักแน่นเช่นนี้ อย่าง ร้อยตรีแจ็ค จ็อกเกน (Chris Klein) ที่ต้องรับบทพลทหทารที่กลายเป็นพ่อคนที่หวังเสร็จจากสงครามไปเจอหน้าลูก ที่อาจจะดูมีความคิดที่ขาดประสบการณ์แต่เป็นผู้ไม่ทิ้งเพื่อนไว้เบื้องหลังได้อย่างองอาจ หรือจะแอล แกลโลเวย์ (Barry Pepper)ช่างถ่ายรูปที่พัวพันมาหาเหตุการณ์สงครามเพื่อบันทึกภาพ แต่สถานการณ์จำบังคับภายหลังต้องรับหน้าที่กลายเป็นทหารจำเป็นแล้ว ยังรับความเจ็บปวดจากสงครามได้อย่างน่าสะเทือนใจ ถึงแม้จะไม่ใช่ทหารคนหนึ่งแต่เป็นผู้ร่วมรบคนหนึ่ง ตัวหนังเล่าเรื่องราวผ่านโจได้อย่างดีถึงความเป็นเบื้องหลังสงคราม ที่อาจจะไม่นานพอชมมากมาย แต่ดูแล้วเข้าใจเลยว่าสงครามมีอะไรที่น่าสลดใจมากที่สุด ทั้งการสูญเสีย และความไร้เหตุผลของมนุษยทำสงครามกัน เนื้อเรื่องในช่วงแรกเปิดด้วยความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสที่โดนทหารเวียดกงดักรอซุ่มโจมตีอย่างน่าเวทนา แล้วพักเรื่องตีเข้าฉากการฝึกซ้อมและความผูกผันของครอบครัว ซึ่งช่วงนี้จะเป็นการพักเรื่องเพราะหลังจากนั้นตัวหนังจะต่อยาวจนจบกันแบบสงครามม้วนเดียวจบ แทบไม่ได้พักกันเลย
ดนตรีประกอบโดย Nick Glennie-Smith ที่รับฟังแล้วชวนกดดันและหดหู่ในสงครามเป็นอย่างดี แล้วฟังดูเร้าอารมณ์รักชาติพอสมควร ทั้งงานด้านเอฟเฟคจัดว่าระเบิดกันตู้มต้ามได้เยี่ยมมาก ถ้าสังเกตให้ดีตัวหนังจะดำเสนอในช็อตมุมกว้างๆทำให้เห็นฉากต่างๆทั้งระเบิดแบบเต็มตาและการเดินวิ่งไล่ยิงกันที่เห็นได้ในหลายๆคนทำให้เป็นสมรภูมิที่ดูแล้วกว้างขวาง ไม่ได้เล็กที่เน้นเจาะจง เพราะสนใจในสถานการณ์ทำให้เปี่ยมด้วยคุณภาพของการถ่ายทอดได้อย่างดี ทั้งนี้มีอยู่หลายฉากที่ทำเป็นภาพ Slow แสดงถึงความรู้สึกที่เคลื่อนไปอย่างช้าๆ แต่ในเวลาสงครามจริงกลับช้ายิ่งกว่า เพราะมีหลายคนที่โปรดให้ยุติโดยเร็ว ด้านเนื้อเรื่องนำเสนอได้ดี ถึงแม้จะหนักที่เรื่องราวอเมริกันอย่างเดียวซะมาก กระนั้นยังคงนำเสนอทางด้านเวียดนามบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยากทำสงครามกันเลย มีวิถีชีวิตที่อยู่ดำรงแบบคนธรรมดา มีครอบครัวที่อยากดูแล แต่พอมาทำสงครามจะมีก็แต่ความเด็ดเดี่ยวว่าต้องรอดกลับไปบ้านเหมือนกัน น่าเสียดายที่ด้านเนื้อเรื่องไม่ได้บอกรายละเอียดที่มาสงครามสักเท่าไหร่ ถ้าอยากรู้ข้อมูลคงต้องไปศึกษาต่อกันเอง แต่หนังนี้นำเสนอเหตุการณ์มาแค่บางส่วนของเรื่องราวจริงเท่านั้น
We Were Soldiers สร้างจากหนังสือชื่อ We Were Soldiers Once…And Young เขียนโดย Joe L. Galloway และ Lt. General Hal Moore ที่เล่าเรื่องราวของศึกเวียดนามในครั้งนั้นไว้ เพียงแต่ในหนัง ได้ตัดตอนเฉพาะบทบาทการรบของ พันโท มัวร์(ยศในขณะนั้น) ที่นำทหารเข้าสู่สมรภูมิ La Drang Valley เมื่อปี คศ. 1965
We were Soldiers เป็นหนังที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่วีรกรรมของเหล่าทหารหาญที่สละชีพในศึกครั้งนั้น นอกจากนี้ยังเชิดชูในเลือดรักชาติของทหารทั้งสองฝ่าย ตลอดจนนำเสนอวีรกรรมและการเสียสละของชายหญิงทั้งที่อยู่ในแนวหน้าและแนวหลัง