Bloodsport (1988) ขาเจาะเหล็ก

Bloodsport (1988)
ขาเจาะเหล็ก
Director: Newt Arnold
Genres: Action | Biography | Drama | Sport
Grade: C+

คูมิเตะแหล่งรวมนักสู้จากทั่วโลกให้เข้าร่วมแข้งขันใต้ดินเพื่อหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว โดยปราศจากกติกาช่วยเหลือใดๆทั้งสิ้นทำให้ต้องมีผู้เสียชีวิตมาแล้วกับการต่อสู้ที่รุนแรงไร้ความเมตตาปรานี แฟรง ดุกซ์(Jean-Claude Van Damme)นายทหารหนีค่ายเพื่อตามความฝันวัยเด็กที่ต้องการทำให้เสร็จสมบูรณ์นั้นคือการเข้าร่วมแข่งขันสุดอันตราย แต่ทว่าหลังจากที่เข้าร่วมได้ไม่นานการต่อสู้ยิ่งเริ่มชัดเจนมากขึ้นความดุเดือดยิ่งหนักขึ้น แต่ที่น่ากลัวสุดคือความท้าทายจากคนที่มาจากทั่วโลกที่จะแสดงความสามารถที่แตกต่างกันออกไป ต่างคนต่างวิชา และเขาเองต้องตระหนักได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ปรารถนากันแน่ระหว่างความฝันที่จะเข้าร่วมต่อสู้กับเพื่อชื่อเสียงอาจารย์ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นเหมือนภาระที่ต้องแบกไปด้วยกันหลังขึ้นเวที เมื่อได้ร่วมแข่งขันสิ่งเดียวที่ห้ามทำคือการยอมแพ้ที่ต้องชนะให้ได้กับคำมั่นต่อคนที่เชื่อมั่นที่สุดในตัวเขาทั้งพวกพ้องและอาจารย์


ทายสิว่าเป็นเรื่องแจ้งเกิดให้กับใครอย่างเป็นทางการให้รู้จักทุกวันนี้ ถ้านึกไม่ออกลองนั่งดูหนัง Universal Soldier สิครับ แล้วจะรู้ว่าคนที่มีวิชาต่อสู้เก่งๆคือใคร มาถึงขนาดนี้หลายคนน่าจะรู้แล้ว แต่ใครที่ยังไม่รู้จะบอกเลยล่ะกันว่าคนนั้นคือ Jean-Claude Van Damme หรือพระเอกแหกขา 180 องศานั้นแหละ แต่ทำไมต้อง 180 องศาล่ะ? เพราะเขาเป็นนักบัลเลต์ด้วยนะสิเนื่องจากก่อนหน้านี้เคยเรียนมาก่อน  ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของกีฬาแต่ยังรวมถึงวิชาป้องกันตัวต่างๆ ซึ่งยอมรับในแง่หนึ่งเลยว่าไม่ธรรมดาทั้งในเรื่องจริงและการแสดง นอกจากจะมีความสามารถทางด้านตัวอ่อนแล้วยังถือเป็นเอกลักษณ์ประจำที่หาได้ยากสำหรับพระเอกบู๊สักคนที่จะทำได้ ยิ่งเป็นช่วงปี 80S ด้วยแล้วส่วนมากคงไม่พ้น Arnold Schwarzenegger,Sylvester Stallone ที่เอากล้ามและความมันส์เข้มข้นเป็นหลัก ซึ่งปกติในวงการฮอลลีวูดยังคงเป็นเช่นนั้นการตัวเอกนักแสดงที่ต้องมีความเท่และดูมีความสารถพอที่จะเล่นงานตัวร้ายได้อย่างสบายๆโดยมักลงด้วยการใช้อาวุธและทักษะกาตต่อสู้นิดหน่อย อันที่จริงการนำวิธีการต่อสู้ป้องกันตัวมาใช้ในหนังมักจะเข้าเค้าทางหนังจีนมากกว่า

สำหรับคนที่ทำให้วงการฮอลลีวูดหยิบยกพวกมวยหรือวิชาป้องกันตัวมาใช้แบบจริงจังก็คือ Bruce Lee ที่ในชีวิตจริงๆเขาก็เป็นวิชาต่อสู้เหมือนกันและในหนังก็หยิบเอาทักษะนั้นมาใช้ในฉากต่อสู้ที่ทำให้มีความดุเดือดและเข้มข้นกันแบบเจ็บๆไม่ต้องอาศัยความมันส์จากปืนเพราะแค่หมัดและเท้าบวกสมองก็สร้างความมันส์ได้แบบจุใจ


Bloodsport เป็นเรื่องแรกของ Jean-Claude Van Damme ที่เล่นเป็นบทนำในฐานะพระเอกที่ตามรอยการต่อสู้แนว Bruce Lee และผสมกล้ามเนื้อเข้าไป ทำให้นอกจากการต่อสู้อย่างมีทักษะแล้วยังเห็นกล้ามเนื้อโตๆที่ออกแรงเมื่อไรก็เห็นได้ถึงพลังเมื่อนั้น จริงๆแล้วเขาเคยแสดงหนังมาก่อนแต่ยังไม่ดังเป็นตัวประกอบใน Rue barbare (1984),Monaco Forever (1984),Breakin' (1984) หลังจากนั้นเริ่มมีบทบาทมากขึ้นเป็นตัวร้าย(ต้องบอกว่าเป็นคู่แข่งมากกว่า)ในหนังแอ็คชั่นอเมริกัน-ฮ่องกงเรื่อง No Retreat, No Surrender (1985) 

พอมางานนี้สปิริตการแสดงเด่นชัดขึ้นมาทันทีและเข้ากับลักษณ์การต่อสู้ในหนังแอ็คชั่นประเภทแลกหมัด ซึ่งการจัดการในด้านเทคนิคแสดงถือว่าเหมาะเจาะกำลังดี น่าเสียดายที่ความสนุกไม่สามารถดึงความน่าดูได้ยาวนานได้เพราะปัญหาเรื่องส่วนประกอบที่ไม่เร่งเร้าหรือกระตุ้นให้น่าดู อย่างเรื่องมุมกล้องที่บางทีน่าจะหันไปทางอื่นเร็วๆมากกว่าจะค่อยๆขยับให้รู้สึกว่ามันช้าเกินไป ไหนจะเพลงประกอบที่ไม่มีความมันส์ในตัวเลยแม้แต่น้อยชวนให้นึกว่ากำลังดูหนังรักยี่ห้อหนึ่งที่มีเพลงร้องมาช่วยขยายความในใจ ด้วยวิธีแบบนี้ทำให้อดคิดถึงเรื่อง Top Gun (1986)ไม่ได้ที่ส่งเสริมความรักในอีกแง่หนึ่ง และกับเรื่องนี้ความรักก็คงมีให้เห็นระหว่างพระเอกกับนางเอกที่ทีท่าจะไม่น่าใส่เข้ามาเป็นองค์ประกอบเพราะดูดีๆแล้วไม่สำคัญอะไรเลย เนื่องจากหยิบยกความรักมาใช้น้อยไปจะเอาแต่ต่อสู้กันมากกว่า


Bloodsport ทั้งเรื่องไม่มีอะไรเลย เมื่อลองจัดตั้งเป็นพล็อตเรื่องแล้วจะได้ใจความสั้นๆที่ว่าแฟรง ดุกซ์มาแข่งขันคูมิเตะเพื่อเอาชัยชนะกลับมาให้ได้โดยมีอาจารย์เป็นคนสอน ซึ่งระหว่างนั้นก็มีคนตามตัวให้กลับไป จะเห็นได้ว่าส่วนที่เหลือจะมุ่งเน้นกับการต่อสู้เป็นหลักในเรื่องแอ็คชั่น ฉะนั้นเมื่อดูไปเรื่อยๆจนจบเราก็ไม่พบอะไรกับเนื้อหาและเรื่องอ่อนเช่นเคย

ยุค 80S ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าหนังแอ็คชั่นบางเรื่องจะไม่มีอะไรนอกจากเอามันส์เป็นหลัก ซึ่งผลที่ได้น่าจดจำคือความมันส์โดยหลังดูจบก็สรุปเนื้อเรื่องเอาง่ายๆแบบเล่าปากต่อปากได้อย่างสบาย แต่ด้วยปัจจัยอยู่อย่างหนึ่งที่ควรคำนึงพึงระวังคือยุคสมัยของกาลเวลาที่ต้องเริ่มคิดก่อนว่าสมัยก่อนไม่ได้เป็นอย่างเช่นปัจจุบัน กับ Bloodsport เองต้องคิดแบบนั้นด้วยเช่นกัน ในคิวบู๊คงความสดในนักแสดงประกอบที่ต้องการให้สู้แบบตัวต่อตัวกันอย่างชัดแจ้ง ที่สำคัญคือการที่ทั้งเรื่องจะสู้กันมากอาจเป็นความน่าเบื่อของการจำเจได้ที่สู้กันอยู่ท่าเดียว จึงไม่แปลกถ้าฉากต่อสู้จะเก็บกั๊กอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับเทคนิคการต่อสู้ที่แตกต่างและหลายเชื้อชาติที่ปะปนกันไปทั้ง มวยไทย คาราเต้ เทควันโด และอีกมากมายที่ไม่ซ้ำรูปแบบที่ทั้งเคยเห็นและไม่เคยเห็น ทว่าความบู๊ที่สู้กันจริงๆกลับรู้สึกน่าเบื่อเกินไปจากการที่มากรูปแบบด้วยเวลาสั้นๆที่กระชับและง่ายจนไม่รู้สึกรู้สาถึงความดุเดือดที่สู้กันไปยอมใคร ขณะเดียวก็คิดเป็นยุคแอ็คชั่นสมัยนั้นอาจจะมันส์ก็ได้ที่เห็นการต่อสู้หลายรูปแบบที่มากด้วยนักแสดงที่ห่ำหั่นกันหนึ่งต่อหนึ่ง แต่ขออย่างที่บอกเอาไว้คือสั้นไปแปปเดียวจบแล้วคู่หนึ่ง


ถ้าเป็นเรื่องแจ้งเกิดเต็มตัวของ Jean-Claude Van Damme แล้วล่ะก็ลองมาชมเรื่องการแสดงของเขาสิว่าเพราะอะไรถึงดังขึ้นมาได้ ถ้าจะให้ดีต้องย้อนกลับไปตั้งแต่เรื่อง No Retreat, No Surrender (1985) ที่เล่นเป็นคู่ชกที่เกิดเป็นว่าดันเด่นมากกว่าตัวเอกจนลืมไปว่าไม่ใช่พระเอกจริงๆในเรื่อง ซึ่งก็ดังจากเรื่องนั้นจนได้เรื่องนี้เป็นบทนำเป็นพระเอกจริงๆ ความสามารถนี้แหละที่เอาใจจนดังให้กับตัวเองและ Bloodsport เป็นเรื่องที่ดังอีกด้วยในยุคสมัยนั้นจนได้คำชมจากนักวิจารณ์พอชมกับรายได้ที่พอควร เมื่อลองกล่าวถึงด้านของนักแสดงแล้วจะมีอยู่ไม่เท่าไหร่ที่เด่นขึ้นมาและแน่นอนว่าไม่พ้นพระเอกในเรื่อง คือตั้งแตค่ต้นเรื่องจนจบเรื่องหนังแทบไม่ละทิ้งจาก Jean-Claude Van Damme เลย เห็นกันแทบทุกฉากยกเว้นฉากต่อสู้ที่ตัดไปที่ลานประลอง โดยถือว่าการแสดงเป็นที่น่าพอใจมากโดยเฉพาะเวลาถึงคิวบู๊ที่ออกหน้าออกตาได้อย่างกับคนที่คลั่งมาก ทำตาโตแล้วอัดด้วยฝ่ามือ ลองนึกแล้วคงจะเจ็บน่าดูถ้าโดนคนที่ออกแรงขนาดนั้น และสไตล์ของหนังยังให้โอกาสเหมาะๆที่ Jean-Claude Van Damme จะแสดงทักษะกายภาพได้เห็นชัดอีกด้วย เริ่มจากความสามารถการแยกขา 180 องศาที่หลายคนมองนึกแล้วเจ็บน่าดูกับสัดส่วนร่างกายที่สาวๆอาจชอบกันยกใหญ่ เวลาต่อสู้ทำได้ดีพอไม่ได้สู้กับรู้สึกงั้นๆหน้าตาเหมือนยังขุดอารมณ์ไม่เต็มที่ แต่อย่างว่าอารมณ์ของหนังคือแอ็คชั่นต่อสู้ที่ถึงตอนนั้นการแสดงจะจัดเต็ม


(แฟรง ดุกซ์ ตัวจริง)

ย้อนกลับมาที่เนื้อเรื่องจะมีตัวละครอยู่ตัวหนึ่งซึ่งคือพระเอกของเราชื่อแฟรง ดุกซ์ บางทีน่าจะมีคนรู้จักหรือคุ้นหูบ้างเพราะคนๆนี้มีอยู่จริง เริ่มจากที่ว่าแฟรง ดุกซ์หนีทหารเพื่อเข้าทัวร์นาเมนท์การต่อสู้สังเวียนนักสู้ใต้ดินที่ฮ่องกง บางคนฟังแล้วอาจเป็นเรื่องโกหกมั่วนิ่มยังได้ แต่เมื่อรู้ว่ามีอยู่จริงงั้นขอเล่ารายละเอียดซะเล็กน้อย เริ่มจากแฟรง ดุกซ์ฝึกวิชาศิลปะป้องกันที่ได้รับการสืบทอดอย่างยาวนานจากญี่ปุ่น  และด้วยชีวิตที่โลดโผนใน 70S ทำให้ได้เข้าร่วมแข่งขันการต่อสู้ใต้ดินที่ชื่อว่า คูมิเตะ จนได้รับชัยชนะมาครอง ไม่ใช่แค่นั้นเพราะว่ายังมีการตั้งสำนักขึ้นชื่อว่า Dux Ryu Ninjutsu ขึ้นมา แถมเจ้าตัวเองยังไม่เลิกที่จะเข้าแข่งขันต่อสู้จนได้รับการเข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 300 ครั้ง และที่ไม่ธรรมดาเมื่อเขาเองยังอ้างว่าได้รับการว่าจากจากหน่วยงาน DCI (Director of Central Intelligence) หน่วยงานด้านข่าวกรองของรัฐบาลสหรัฐ เพื่อทำงานสายลับในหลายๆ ประเทศทั่วโลก ซึ่งจะจริงหรือไม่คงระบุกันไม่ได้ เมื่อหนังจบจะได้รู้ทันทีว่าเป็นหนังอิงเรื่องจริงของแฟรง ดุกซ์ และเจ้าตัวยังมีเครดิตส่วนเกี่ยวข้องเป็นที่ปรึกษาด้านฉากต่อสู้ในหนัง


กลับมาที่ตัวหนังจริงๆว่า Bloodsport นั้นน่าดูแค่ไหน คงบอกได้ว่าแล้วแต่พิจารณาจะรับชมเพราะปัญหาคือยุคสมัยที่ไม่เข้าใครออกใคร แต่ที่แน่หนังมีข้อเสียตามที่บอกเอาไว้ข้างต้นหลายประการแต่ที่ยังไม่บอกคือการดำเนินเรื่องที่เร็วช้าแค่ไหน และขอบอกว่าไปได้เรื่อยๆ ในตอนแรกหนังไปช้าพอสมควร เนื่องจากยังต้องเก็บรายละเอียดที่มาที่ไปของตัวละครรวมถึงการฝึกวิชาที่ยังมีเหตุผลว่าทำไมคนอเมริกันถึงมีวิชาป้องกันของญี่ปุ่น ช่วงแรกหนังอธิบายถึงแฟรง ดุกซ์ที่อยู่ในค่ายทหารที่ต่อมาทำการหลบหนีเพื่อไปหาอาจารย์ด้วยเหตุผลที่ว่าการแข่งขันและชัยชนะ ไม่ใช่ว่าตอนแรกจะเป็นวิชาป้องกันเพราะยังไม่เคยได้รับการฝึกฝนตรงๆเลยสักครั้ง แม้ในวัยเด็กจะเป็นคู่ซ่อมให้กับลูกอาจารย์มาโดยตลอดแล้วก็ตาม แต่เนื้อเรื่องได้เดินให้ไปในทิศทางศิษย์ขอฝึกวิชาเนื่องแฟรง ดุกซ์เห็นความสำคัญของศักดิ์ศรีที่ต้องสืบทอดต่อไปและคนๆนั้นเสียชีวิตก่อนความฝันอาจารย์จะเป็นจริงทำให้เขาเลือกแข่งขันต่อสู้เพื่ออาจารย์ให้ได้ แล้วเนื้อเรื่องก็คือการฝึกที่ดูๆแล้วเต็มไปด้วยความธรรมดาที่ไม่น่ากระตุ้นเท่าไหร่นัก เว้นแต่ว่าฝึกแยกขาที่กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของ Jean-Claude Van Damme ไปแล้ว หลังจากฝึกเสร็จสิ่งเดียวที่หนังพาไปได้สูงสุดคือการไปเข้าร่วมแข่งขัน แล้วหลังจากนั้นจะเป็นการต่อสู้ที่แล้วแต่จะดุเดือดหรือมันส์ แถมอีกว่ายังมีการเติมเรื่องราวนิดๆเกี่ยวกับการหลบหนีของแฟรง ดุกซ์ที่ต้องมีคนมาตามตัวกลับ และหนังแอบใช้ประโยชน์ในส่วนนี้ในการให้ออกมาตลกน่าขบขัน อย่างตอนที่วิ่งหนีไล่จับแฟรง ดุกซ์ที่วิ่งไปมากันอย่างเหมือนวิ่งไล่จับ อย่างตอนวิ่งขึ้นเรือที่กลายเป็นว่าแฟรง ดุกซ์ชำนาญทางมากกว่าและคนที่ตามต้องตกเรือลงน้ำไปซะงั้น สรุปว่าหนังยังมีความเป็นธรรมชาติได้ดีแต่น่าเสียดายอยากให้ปรับเรื่องมุมกล้องและคิวบู๊ให้ยาวอีกหน่อยก็ถือว่าน่าโอเคแล้ว ส่วนบรรยากาศโดยรอบถือว่าวุ่นวายกับกองเชียร์ใช้ได้


รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)