How I Spent My Summer Vacation (2012)
คนมหากาฬระอุ
Director: Adrian Grunberg
Genres: Action | Crime | Drama
Grade: B+
How I Spent My Summer Vacation หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Get the Gringo เป็นหนังที่ไม่ค่อยมีการสนับสนุนกันเท่าไหร่ และไม่รู้ว่ามีจุดน่าดึงดูดตรงไหน จึงไม่เกิดกระแสดังและเป็นที่รู้จักแบบโจ้งแจ้งแถมมีหน้าหนังที่ดูเป็นเกรดบีอีกต่างหาก แต่เมื่อชมไปเรื่อยๆก็พบว่าหนังสนุกและมีดีกว่าที่คิดไว้มาก
เริ่องราวของบุรุษนิรนาม(Mel Gibson)ที่ได้ปล้นเงินกว่า 2 ล้านดอลล่าร์ และถูกตามล่าจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอเมริกัน จนต้องหลบหนีข้ามไปยังประเทศเม็กซิโก แต่เกิดเป็นว่าถูกตำรวจเม็กซิโกจับพร้อมเชิดเงินทั้งหมดไปและได้ถูกส่งตัวไปยังเรือนจำพิเศษชื่อดัง เอล ปัวบลิโต้ แต่เงินมหาศาลที่ได้มาไม่ใช่ของฟรีๆที่ปล้นได้มาง่ายๆเพราะมาจากคนมีอิทธิพลสูง และมันก็นำปัญหาต่างๆมาและใครที่มีส่วนในเงินจะถูกรีดปากให้บอกในส่วนของเงินที่หายไป แต่เมื่อเงินมีมากขนาดนั้นไม่ว่าใครก็ต่างอยากได้ ไม่ว่าตำรวจ นักโทษผู้มีอิทธิในเรือนจำ เจ้าของเงินที่ถูกขโมยมา รวมถึงตัวของบุรุษนิรนามผู้ขโมย ต่างก็ต้องการเงินจำนวนนี้ การต่อสู้แย่งชิงด้วยไหวพริบและชั้นเชิงก็เริ่มขึ้น
เมื่อบุรุษนิรนามเข้ามาในคุกสิ่งแรกที่ต้องทำคือการหาทางออกไปให้ได้พร้อมกับเงินที่ถูกขโมยไปอีกที ซึ่งได้เด็ก(Kevin Hernandez) 10 ขวบ มาเป็นเหมือนหน่วยส่งข่าวที่ให้ประสบการณ์และเรื่องราวต่างๆในคุกเป็นอย่างดี ฮาร์วีเจ้าของคุกมีเป้าหมายสำคัญที่ตัวเด็กคือการเอาไตมาเปลี่ยนให้กับตัวเองและอีกอย่างคือเงิน 2 ล้านดอลล่าร์ ที่บุรุษนิรนามไม่สามารถให้ได้ทั้งสองอย่าง แล้วยังเรื่องภายในภายนอกที่ต้องจัดการให้เสร็จ ก่อนจะโดนเก็บเสียเอง
พูดถึงตัวหนังเรียกว่าให้ความสนุกและเพลินได้ขั้นจริงๆ ซึ่งไม่ได้คุณค่าหนักทางแอ็คชั่นแต่เป็นการดำเนินเรื่องที่มีบทบาทเนื้อหาที่คุมเข้ม มีการทอดแทรกการใช้มุขตลกที่เป็นตลกร้ายตลอดเกือบทั้งเรื่องที่ให้รู้สึกสะกิดใจ และให้ประเด็นการเสียดสีเรื่องราวที่เกิดในคุกและความเห็นแก่ตัวของตัวละคร ถ้าว่ากันแล้วหนังอาจยึดถือการเอาตัวรอดเป็นยอดดีมากไปหน่อยเพราะการทำให้ตัวละครที่ควรเป็นตัวเอกที่ดีกลับตรงกันข้ามเป็นบุคคลเห็นแก่ตัว ที่บางครั้งเป็นเรื่องแทงใจที่ว่าตัวละครนี้ไม่ใช่คนดีซะทีเดียวแต่มีความร้ายกาจที่ปะปนกับการเอาตัวรอดที่แน่นอน
อีกแง่หนึ่งที่น่าคิดคือถ้าเทียบกับงานของ Mel Gibson อย่างเรื่อง Mad Max แล้ว จุดที่มีเสน่ห์เหมือนกันคือความเถื่อนกับการใช้ชีวิตอย่างไม่ธรรมดาแบบคนทั่วไป ซึ่งต้องรู้จักและเข้าใจในวิถีชีวิตแบบนั้นจริงๆจึงจะอยู่รอดและการอยู่รอดต้องมีความเห็นแก่ตัวเพราะบางครั้งการเสี่ยงกับสิ่งที่ไม่คุ้นเคยจะมีแต่เรื่องเจ็บตัว ถ้า Mad Max คือหนังที่น่าหดหู่ในโลกที่ชั่วร้ายแล้วล่ะก็ กับ How I Spent My Summer Vacation คงเป็นคำตอบต้นๆทางที่บอกเรื่องการเอาตัวรอดในถิ่นที่ไม่ใช่ของตัวเองได้ดี ว่าควรปฏิบัติอย่างไงให้คุ้นกับโลกที่โหดร้ายกับการแบ่งชนชั้นไม่สนจรรยาบรรณในความเป็นมนุษย์
การที่หนังไม่มุ่งใส่แอ็คชั่นในหลายๆฉากจัดว่าเป็นรูปแบบหนึ่งที่แสดงถึงความดิบของโทนหนัง เพราะจะเห็นได้ถึงบรรยากาศที่คลุมเครือที่แสดงได้หนักแน่นว่าโลกในกำแพงที่มีผู้คุมถือปืนไลเฟินข้างบนเป็นแบบไหน จากการดำเนินเรื่องจะไปในเหตุการณ์ในคุกเป็นหลัก ซึ่งคุกในที่นี่หมายถึงคุกในประเทศเม็กซิโก้ที่ไม่เหมือนคุกอย่างที่คุ้นเคยและรู้จักมาก่อน ถ้าคิดถึงคุกคงเห็นได้ชัดกับห้องแคบๆสี่เหลี่ยมมีกรงเหล็กแท่งใหญ่เรียงเป็นแถวและมีผู้คุมเดินไปมาตลอดเวรยาม จากข้างต้นจะไม่ใช่แบบนั้นอีกเช่นเคยเพราะคุกเม็กซิโก้ก็คือสถานที่ที่กักบริเวณเท่านั้น แต่กักในที่นี่ไม่ใช่หมายถึงคุมประพฤติ แต่การให้อยู่อาศัยแบบจำกัด โดยหลังจากที่ได้เหยียบเข้าไปแล้วจะทำอะไรอย่างไงก็ล้วนอิสระทั้งสิ้น
คุกเม็กซิโก้มีกฎที่ง่ายมากคืออย่าก่อความวุ่นวายเป็นอันพอ ที่เหลือจะทำอะไรก็ตามสบายใจ ซึ่งข้อนี้เองที่ทำให้สถานที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินวุ่นวาย มีร้านค้ามากมายให้เข้าใช้จ่ายหรือจะร้านยาที่รับฉีดสารเสพติด หรือจะความสุขจากการขายตัวที่ตั้งเตนท์กันกลางแจ้ง สิ่งเหล่านี้เพียงมีปัจจัยข้อเดียวคืขอแค่มีเงินก็อยู่ได้ แล้วการอยู่ในคุกจะหาเงินได้รูปแบบไหนกัน คำถามนี้คือเหตุผลของคนมาใหม่และไม่มีความรู้เกี่ยวกับคุกนี้จริงๆ ซึ่งก็คือผู้หลงทางโดยบังเอิญจากการหนีปล้นที่เกิดอุบัติเหตุข้ามชายแดนประเทศ
เพราะหนังไม่มีหวังจะเอาแอ็คชั่นเป็นจุดขายจึงเน้นความดุเดือดของบทบาท จากต้นเรื่องเริ่มที่ฉากขับรถหนีตำรวจที่ผสมความคิดของป๋าเมลที่แสดงถึงเหตุผลต่างๆ ทั้งการบ่นในใจที่สถานการณ์ตึงเครียด ทั้งการคิดในใจในเวลาที่อุทานขึ้นมา ซึ่งการแสดงสิ่งที่ป๋าเมลคิดในใจมาให้ผู้ชมรับรู้นั้นเป็นจุดที่มีเสน่ห์ว่าตัวละครนี้ไม่ได้ลึกลับแต่กำลังคิดหาวิธีรับมือกับช่วงเวลาต่างๆที่บางครั้งก็แสดงออกมาตรงๆเข้าใจง่าย หรือจะแสดงออกมาแบบอ้อมๆให้ผู้ชมคิดตามว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ก็กลายเป็นว่าให้ผู้ชมเข้าเป็นส่วนหนึ่งร่วมคิดไปด้วยซะงั้น แต่หลังจากที่เข้ามาในคุกก็บ่นระนาว มีอยู่ฉากหนึ่งที่เหมือนจะค่อยให้กรอกข้อมูลส่วนนักโทษให้คอยกันในห้องซึ่งก็เปิดเพลงซะดังจนป๋าเมลทนไม่ได้เพราะเพลงบ้าอะไรไม่รู้ เปิดซ้ำไปซ้ำมา ก็นั้นเป็นมุขร้ายๆอีกอย่างหนึ่งและจะเก็ทมากขึ้นถ้าลองทำความเข้าใจ อย่างตอนยิงโน้ตบุ๊คที่ไม่รู้จะยิงทำไม ทั้งๆที่ก็ปิดยังได้ หรือจะตอนเด็กขอบุหรี่ ที่ป๋าเมลกะไม่ให้ในตอนแรก แต่พอเจ้าเด็กนั้นเปิดปากว่าถ้าไม่ให้จะเอาเรื่องที่แอบทำไปบอก ก็กลายเป็นว่ต้องให้บุหรี่แถมจะจุดไฟแซ็กให้ ดูกลายเป็นเหมือนคนชั้นสูงผู้ใหญ่ไปเลย แต่มุขตลกๆก็ใช่ว่าจะเข้าใจกันง่ายๆเพราะต้องลองคิดลองจินตนาการกันซะหน่อยจึงเข้าใจ แต่โดยรวม How I Spent My Summer Vacation ได้กลิ่นอายแบบหนังคาวบอยด้วยอ่ะ
อันดับแรกหนังคาวบอยไม่ใช่หนังแอ็คชั่นยิงเอามันส์ แต่เป็นหนังที่ว่าด้วยวิถีชีวิตทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการทรยศหักหลัง มิตรแท้ การแข่งขัน ศักดิ์ศรี และทุกอย่างที่ว่ากันอย่างตรงตัวว่าเป็นเรื่องจริงที่ไม่ได้ทำออกมาเว่อร์ ฉะนั้นจุดที่ทำให้หลายคนชอบหนังคาวบอยคือบทและเนื้อของหนังที่กลมกล่อม
ถ้า How I Spent My Summer Vacation จะมีกลิ่นอายของหนังคาวบอยจริงๆเพราะบทของหนังเป็นจุดที่เข้ากันมากๆที่ผสานอย่างลงตัวกับความตลกที่แสดงถึงว่าหนังไม่ได้เครียดหรือคิดมากจนมึนงง ทั้งนี้ที่สำคัญคือการอธิบายรายละเอียดสภาพถึงตัวคุกได้อย่างดี ทำให้เข้าใจจุดประสงค์ต่างๆว่าทำไมมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากคุกอื่นๆ ซึ่งตัวการนั้นมาจากฮาร์วีผู้คุมคุกตัวใหญ่
เพราะว่าคุกมีการกินอยู่ที่หมุนเวียนกับเงินและงาน ทำให้เป็นปัจจัยหนึ่งของเรื่องธุรกิจเล็กๆที่ไม่ล้มละลายเนื่องจากมีคนเข้าคุกกันตลอด และคนที่เข้ามานั้นต้องทำงานจึงได้ส่วนแบ่งที่พอเหมาะ และคนที่ได้เงินก้อนใหญ่จริงๆคือฮาร์วีที่อยู่อย่างสบายภายใต้เงินจากนักโทษที่ไหลเวียนเข้ามา การธุรกิจจำต้องมีผู้ร่วมแนวทางจึงมีคนสนิทฮาร์วีไม่น้อยที่ทำงานเป็นเจ้าของที่ดิน ที่ทำหน้าที่ให้เช้าบ้านอยู่อาศัย ซึ่งปัจจัยแรกต้องมีคือเงินสักก้อนจึงอยู่ได้ คำถามคือฮาร์วีได้เงินจากการไม่ทำอะไรที่มากกว่านั้นได้อย่างไง สิ่งนี้คงเป็นเหตุผลง่ายๆคือการเก็บภาษีและเงินภาษีนี้ก็มากพอกับคนที่มีทั้งคุก
ด้วยเหตุนี้ฮาร์วีจึงมีความร่ำรวยที่สุขสบายเพราะสามารถหาความสำราญได้ภายในคุกอย่างไม่มีข้อกังวน แม้แต่เรื่องกฎหมายที่ใช่จะทำถูกต้องซะถูกเรื่อง แต่ด้วยอิทธิพลนั้นเองที่ไม่มีการรั่วไหลว่าคุกเป็นสิ่งที่มีเรื่องผิดปะปนอยู่ แต่ฮาร์วีไม่ได้มีความพร้อมไปในทุกเรื่องโดยเฉพาะสุขภาพที่มีปัญหาเรื่องไตที่ต้องเปลี่ยนเมื่อถึงเวลา และในคุกก็มีไตชั้นดีที่เปลี่ยนกับเขาได้
ซึ่งคนที่ถูกหมายปองคือเด็กที่ป๋าเมลรู้จักในเรื่องและสนิทสนมกันอย่างดี และเป็นตัวละครสำคัญที่ผูกเรื่องผูกราวได้อย่างมีเหตุการณ์ที่แนบเนียน คงจะรู้แล้วว่าในเรื่องป๋าเมลมีสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กนั้นอย่างลึกซึ้งจึงไม่แปลกว่าทำไมในตอนท้ายของหนัง ผู้ร้ายจึงกลายเป็นดี และหันหลังเข้าช่วยอย่างถึงที่สุดจนกลายเป็นความบ้าระห่ำที่ดุเดือดแบบดิบๆ แล้วหนังยังใช้หลักเกณฑ์การเห็นแก่ตัวมาผสมอีกด้วย จะบอกว่าป๋าเมลคือพระเอกก็คงไม่ใช่ทุกเวลา แต่ที่แน่คือเรื่องนี้ป๋าเมลยังคงหล่อและเท่เหมือนเดิม
สิ่งที่น่าสใจคือการเล่าเรื่องที่ไม่ยึดติดกับการเรียกชื่อ ทำให้ตัวละครบางตัวยังไม่สามารถเดาได้เลยว่ามีชื่ออะไรกัน อย่างป๋าเมลที่ใช้ชื่อปลอมตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบหนัง เป็นชายนิรนามที่น่าสงสัย การจะรู้ว่าอะไรคือเหตุผลว่าเป็นชื่อปลอมต้องชมจนหนังจบเท่านั้นจึงจะเข้าใจเพราะบทของหนังมีจุดที่เชือดเฉือนกันได้ดี
เอล ปัวบลิโต้ เป็นส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของหนังเรื่องนี้ ที่ผสานเรื่องราวเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์กับเหตุการณ์จำลองตามท้องเรื่องให้แนบเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ที่สร้างสถานการณ์การแย่งชิงเงินกันจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต ที่ทำให้หน่วยงานของรัฐทนไม่ไม่ไหวต้องให้ทหารเข้ามาทำลายวงจรอันเหลวแหลก นับเป็นแนวคิดที่ฉลาดและดูดีในประเด็นต่างๆให้ติดตามไปได้เรื่อยๆ เป็นเรื่องราวที่แอบมีการเสียดสีต่อธุรกิจผิดกฎหมายจากการยัดเงินใต้โตีะ จากการแย่งชิงเงินจำนวนมหาศาลที่ได้มาจากธุรกิจผิดกฎหมายของกลุ่มนักโทษผู้มีอิทธิพลใน เอล ปัวบลิโต้ ทั้งผู้รักษากฎหมายที่ไม่รักษากฎ เจ้าของเงินที่ต้องการทวงคืน พนักงานราชการโกงกิน ที่ทั้งหมดจะถูกรวมเป็นเนื้อเรื่องเดียวกัน ที่ช่วยขับเคลื่อนเรื่องราวให้ออกมาสนุกลุ้นชวนติดตาม
กว่า 90 % ของ How I Spent My Summer Vacation เกิดขึ้นในสถานที่ เอล ปัวบลิโต้ คือชื่อเรือนจำที่ไม่ใช่คุกเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยพระเอกถูกส่งเข้าไปทั้งที่เป็นคนอเมริกันแท้ๆ ในสถานที่แปลกแบบถูกกดขี่ มีภาวะกดดันจากที่แปลกปลอม แต่ยังโชคดีที่มีความสามารถเคยเป็นอดีตพลแม่นปืนที่มีทักษะการเอาตัวรอดสูง จึงได้เห็นทักษะต่างๆที่ไม่รีบร้อน มีแบบแผนที่ฉลาดและการเอาตัวรอด ชวนรู้สึกเพลิดเพลินกับการตามติดชีวิตที่มองกลายเป็นว่าสนุกไปอีกแบบในที่เถื่อน
Mel Gibson จะต้องทำหน้าที่ทั้งอำนวยการสร้างและร่วมเขียนบทอีกด้วย แถมเรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นอย่างหนึ่งว่าดูแก่ลงไปมาก แต่งานหนักแค่ไหนก็แสดงสปิริตได้อย่างมีคุณภาพ สามารถมอบบทบาทการแสดงที่ยอดเยี่ยม ทำให้อินไปกับเรื่องได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก และผู้กำกับ Adrian Grunberg หน้าใหม่ที่ได้ตำแหน่งแบบเต็มตัวหลังจากเป็นผู้กำกับกองสองมานานกับเรื่อง Apocalypto (2006) ที่ทำได้ดีไม่ด้อยไปกว่าของ Mel Gibson กำกับเองเลย และที่สำคัญตัวละครเด็ก 10 ขวบที่เล่นโดย Kevin Hernandez ยังแสดงได้อย่างเชื่อสนิทว่ามีความแค้นอย่างจริงจัง ที่แสดงได้ดีและเข้าท่าเข้าทางกับบทที่รับเล่น
แม้ตัวละครที่เกี่ยวข้องจะมีมากมายแต่ตัดต่อมาได้ไม่สับสน ในส่วนของฉากแอ็กชั่นในเรื่องนับว่าทำได้มันส์สะใจถึงอารมณ์มากถึงจะมีน้อยไปก็ตามแต่ได้อารมณ์กันแบบสุดๆไปเลย การดำเนินเนื้อเรื่องก็ไม่ได้ช้าหรืออืดเกินไป มีรูปแบบชั้นเชิงที่ดูเป็นเอกลักษณ์ มีความดิบเถื่อนในตัว
How I Spent My Summer Vacation ยังคงเป็นเนื้อเรื่องที่จำกัดเฉพาะได้อย่างสมบูณ์ แต่ด้วยที่ว่ามีหลายที่เริ่มมากขึ้น จึงยังไม่อาจอธิบายไปได้หมดทุกอย่าง เช่น ชายนิรนามที่ยังไม่บอกว่าเป็นใครยังคงเป็นปริศนาอยู่ แต่ก็นับว่าหนังเรื่องนี้เป็นการกลับมาด้วยความยอดเยี่ยมของ Mel Gibson ที่หลายคนอาจไม่ชอบเขาแล้วเพราะพฤติกรรมที่ไม่ค่อยดี แต่ว่าอย่าไม่สนเรื่องนั้นเพราะหนังกับชีวิตจริงมันคนละเรื่อง และ How I Spent My Summer Vacation เป็นหนังที่สนุกที่สุดอันดับต้นๆของ Mel Gibson เลยทีเดียว