Inside Man (2006) | ล้วงแผนปล้น คนในปริศนา | B+
Director: Spike Lee
Genres: Crime | Drama | Mystery | Thriller
แต่แล้วเกิดเหตุการณ์ปล้นธนาคารขึ้นอย่างรวดเร็วและมีตัวประกันหลายคนที่ติดอยู่ในธนาคาร ทำให้นายตำรวจทั้งสองนายได้รับงานมอบหมายมา นั้นคือ เฟรเซียร์(Denzel Washington)และ รัสเซล ดาลตัน(Chiwetel Ejiofor)ที่ต้องภารกิจสุดยากเย็นเพราะความสามารถที่กินกันไม่ลงอย่างสุดตัวกับความฉลาดที่เกิดขึ้นอย่างระทึกขวัญ กับคนปริศนาที่เข้ายึดธนาคารเพื่อมาปล้นที่รู้แต่ว่าหนึ่งในนั้นคือ ดาลตัน รัสเซล(Clive Owen) แต่ยิ่งสถานการณ์เริ่มยาวนานต่างพบว่ายิ่งมีการสืบสวนและเจรจามากเท่าไรยิ่งพบว่าทุกอย่างมีการแบบแผนที่เตรียมกันมาก่อน ซึ่งกลับพบเงื่อนงำสำคัญที่ซ่อนพรางอยู่เบื้องหลังเกี่ยวกับบางอย่างที่มากกว่าการปล้นแบงค์ธรรมดาๆ แต่นี่คือการปล้นที่เหนือยิ่งกว่าทุกครั้ง แต่ปัญหาคือทุกคนในธนาคารแต่งกายเหมือนกันทุกคน ทำให้ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าใครคือโจรและใครคือผู้ร้ายกันแน่ และทำไมถึงต้องปล้นธนาคารแห่งนี้ในเมื่อสุดท้ายแล้วไม่ได้หวังมาเอาเงิน แต่พวกเขาหวังมาเอาอะไรกันแน่ในธนาคาร
Inside Man เป็นหนังแนวปล้นธนาคารที่ขายไอเดียด้วยความแปลกใหม่และมีเนื้อเรื่องที่ยาวละเอียดมากกว่าหนังทั่วไปที่ปล้นเพื่อต้องการเงิน ซึ่งในทางตรงกันข้าม Inside Man ไม่ได้มาเพื่อปล้นเงิน แต่เพื่อสิ่งอื่นที่ล้ำค่ามากกว่าเงินก้อนโตที่จะยัดใส่กระเป๋า ฉะนั้นคำถามคือการปล้นนี่ทำไปเพื่ออะไร และแน่นอนประเด็นนี่ยังมีคำถามอีกมากมายที่ตัวหนังก็ลงความคิดต่างๆนาๆเอาไว้ได้อย่างแพรงพราวและแยบยลเอาไว้มาก แต่กระนั้นการที่ตัวหนังมีพล็อตเรื่องธรรมดาก็ไม่ใช่ปัญหาที่ว่าจะมีตอนจบที่ธรรมดา
โดยปกติถ้าเป็นพวกแนวหนังหักมุมมักจะมีการดำเนินเรื่องที่ให้ผู้ชมอึ้งในตอนจบเพราะเกินความคาดเดาที่ตัวหนังจะเกิดขึ้น ซึ่งการดำเนินของInside Manนั้นมีเนื้อหาที่แอบไว้มากมาย ทั้งเรื่องสังคม ชนชั้นผู้ดี หรือจะการมีเส้นสายในตำแหน่ง ต้องยอมรับว่าสาระที่ได้มีความชัดเจนที่ลงรอยและเข้าประเด็นเนื้อเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม
จากการดำเนินในช่วงแรกมีความชัดเจนที่ว่าเริ่มการปล้นได้อย่างรวกเร็วและรอบคอบ แสดงถึงความสามารถได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ดูเหมือนว่าการเสนอเรื่องราวจะให้ความรู้สึกที่แอ๊คชั่น-ทริลเลอร์ แต่พอเอาเข้าจริงๆตัวหนังเลือกจะใช้ทริลเลอร์อย่างเดียว กลายเป็นประเภทแสดงถึงความกดดันและบีบคับในสถานการณ์ชวนให้บรรยากาศมีความตึงเครียด
ในส่วนแอ๊คชั่นนั้นจะว่าหาแทบไม่ได้เลยเพราะไม่มีส่วนในการเร้าอารมณ์หรือเร่งจังหวะให้น่าตื่นเต้น ซึ่งจริงแท้แน่นอนว่าผู้ชมอาจเกิดเบื่อได้เพราะดำเนินเรื่องแบบไม่มีตัดบทตัดตอน แสดงเห็นถึงความชัดเจนทั้งความคิด อุบาย หรือกลวิธีต่างๆที่ได้รับการผ่านสนทนาจากทั้งสองฝ่ายอย่างละเอียดและรอบคอบในทุกฉาก และนั้นทำให้หนังมาแบบอืดๆเอื่อยๆชวนให้ง่วงแบบไม่ตั้งใจ จนเป็นปัญหาของตัวหนังเองที่ว่าครึ่งแรกหรือประมาณกลางๆจึงรู้สึกอยากหลับ
ในทางตรงกันข้ามที่ช่วงหลังมาแรงและเร็วในการใส่เนื้อหาที่เข็มข้นจนมีความแตกต่างในช่วงแรกที่เกือบจะเชื่อแล้วว่าคงไม่มีปัญหาอะไรให้คิดมากมาย แต่กระนั้นต้องมาสะดุดกับคำว่า"Inside" ถ้าจะกล่าวโดยเอาใจความเปรียบเทียบกับตัวหนังแล้วต้องบอกว่าทุกอย่างไม่มีอะไรที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเพราะทุกอย่างมักมีบางอย่างแฝงเก็บเอาไว้อยู่ อย่างการดำเนินเรื่องที่ต่างมองว่าโจรอย่างไงก็คือโจร ไม่มีใครมองว่าโจรคือคนดีหรือเป็นที่น่าเคารพ ซึ่งในเรื่องต่างมีความคิดที่น่าขบขันอยู่คือความเป็นโจรที่ติดความเป็นคนดี อย่าง ดาลตัน รัสเซล ที่มีความพร้อมในทุกด้านเลือกใช้กำลังและความรุนแรงในส่วนน้อย แต่เลือกวิธีข่มขู่ แถมยังมีความเข้าใจที่ว่าตัวประกันต้องหิวจึงให้สั่งตำรวจเอาอาหารมาให้ แต่กระนั้นยังคงมีความรุนแรงเข้ามาเพื่อเป็นตัวอย่างที่ว่าถ้าไม่ทำตามที่บอกต้องได้รับโทษที่เจ็บมากกว่าตัวประกันคนอื่นๆ หรือจะผู้ดีที่ความหวั่นไหวกับการปล้นธนาคารที่มีของสำคัญที่มีความลับเอาไว้อย่าง อาร์เธอร์ เคช (Christopher Plummer)ที่ในตอนแรกต่างมองว่าเป็นผู้ประสบผลกระทบจากการปล้นธนาคาร แต่ยิ่งดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆความละเอียดของหนังช่วยให้ตีความจากความลับได้อย่างกระจ่างว่าชนชั้นผู้ดียังมีความเลวในอดีตได้
การกระทำของ ดาลตัน รัสเซล เป็นตัวบ่งชี้ได้ว่าเขาเป็นคนครึมที่พยายามเก็บอารมณ์เอาไว้ และเป็นคนที่รอบคอบวางแผนตั้งแต่ต้นจนจบได้อย่างระเบียบนิ้ว ซึ่งในความเป็นจริงการปล้นมีคนร่วมมือแผนการเพียง 4 คน ตามที่เห็นในตอนแรกของหนัง และในหมู่ทั้งสี่คนนี้มีเพียง ดาลตัน รัสเซล ที่เป็นคนบงการได้อย่างชัดเจน จนถ้าสังเกตดีๆเขาคือคนที่เป็นเป้าหมายได้มากที่สุดและเด่นที่สุด และนั้นเป็นอีกหนึ่งแผนตามหลักจิตวิทยาเพื่อให้อีก 3 คนไม่มีตัวตนในการปล้น แต่เป็นความกลมกลืนไปกับตัวประกันที่ไม่สามารถระบุได้เลยว่าคนเหล่านี้เป็นอย่างไง โดยจะเห็นได้ว่าทำไมตอนจบต้องวางมาดด้วยการเหลือหนึ่งปล่อยสาม นั้นเพราะการให้พยานและหลักฐานกับตนเอง โดย 1 คนคุมอีก 3 คนทำงาน อีกประเด็นคือทำไมถึงจับผิด 3 คนที่เหลือไม่ได้เพราะไปปะปนกับตัวประกัน ดังคำว่า"Inside Man"
หนังก็ยังสามารถกระจายบทบาทความสำคัญให้แต่ละคนได้อย่างสูสี ทุกบทบาทแสดงออกว่าตัวเองเป็นคนมีความสามารถ จนมองได้ว่าการคลี่คลายสถานการณ์ในเรื่องนั้นไม่ได้เกิดจากความคิดของคนเดียวแต่เกิดจากหลายคนที่ต่างมีแผนของตนเองที่น่าคิดน่าลอง จนเกิดความสร้างสรรค์ในตัว มีความสามารถในการเร้าความสนใจคนดูให้ชวนติดตามเพราะประเด็นต่างๆและความคิดที่เกิดจากคนหลายๆคน จะว่าตัวหนังไม่ได้เป็นแบบสูตรสำเร็จที่เน้นความสามารถของการเจรจาต่อรองผู้ก่อการร้าย แต่มีอะไรที่มากกว่านั้น ที่ทุกอย่างมีหน้ามีหลังโยงใยถึงกัน
Spike Lee ใส่ประเด็นเสียดสีคนอเมริกาที่มักจะถืออำนาจบาตรใหญ่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งและไม่แคร์คนอื่น อย่างในเรื่องที่มองชาวซิกข์เหมารวมไปเป็นคนอาหรับ มองข้ามความสำคัญของผ้าโพกหัวของเขาอย่างไม่มีความสำคัญเลยแม้แต่น้อย หรือจะเรื่องสีผิวที่เป็นเบาะแสของเรื่องราวเล็กๆ
ถ้ากล่าวถึงตัวละครในเรื่อง Inside Man จะบอกได้ว่าทุกคนเล่นได้ดีและมีแม่แบบในฉบับของตนเองจนน่าดูชม โดยเฉพาะกับ Jodie Foster ที่เล่นเป็น แมเดลีน ไวลด์ ที่ถ่ายทอดการแสดงออกมาได้อย่างเฉียบคม และเหมาะสมกับคาแรกเตอร์ที่เข้ากับบุคคลิกนิสัย ที่แสดงออกได้เข้าถึงและมีเสน่ห์ที่ให้ความรู้สึกที่ร้ายกาจมีเล่ห์เหลี่ยม จนบางครั้งไม่สามารถจะวางใจได้ชัดเจนว่าสมควรได้รับการวางใจดีหรือไม่ดี แต่กับ Clive Owen คนนี้ที่แสดงได้เข้าถึงอีกแบบที่ชวนถึงความแออัดและบีบบังคับทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเพราะความครึมมากๆและน่ากลัวแบบเงียบอีกต่างหาก แต่ที่น่าเข้าคือการแสดงเป็น ดาลตัน รัสเซล ที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าในเรื่องเป็นตัวละครที่เฉลียวฉลาด ซึ่งก็เหมาะกันดีที่จะบอกได้ถึงการมีเล่ห์เหลี่ยมและเฉียบคม
ในเรื่องของบรรยากาศมีแต่ความเครียดตลอด ซึ่งเต็มไปด้วยบทสนทนาที่พูดคุยกันแบบตรงไปตรงมา มีลักษณะของโทนสว่างๆ ใช้องค์ประกอบในตัวฉากธนาคารได้หลายจุดแสดงถึงวิสัยการมองที่กว้างและไม่ได้คับแคบ ซึ่งช่วยได้ในเรื่องความอึดอัดแต่กระนั้นไม่พ้นความหดหู่ที่เกิดจากตัวประกันที่มีแต่ความกลัวถึงแม้จะอยู่ด้วยกัน สิ่งที่น่าสนใจคือเพลงเปิดและเพลงปิดที่เป็นเพลงอินเดียแสดงถึงความสนุกและไม่ได้เครียดจนเกินไป แต่แอบมีรอยยิ้มเล็กๆปะปนกับเรื่องราวจนแสดงผลลัพธ์ในตอนจบได้อย่างน่าพอใจ
ยอมรับว่าหนังดีมากมีลุ้นให้น่าติดตามได้ตลอดเรื่องจนจบ แถมมีเสียดสีเล็กน้อยเกี่ยวกับความรุนแรงหรือเรื่องของคนชั้นสูง จะบอกว่าสาระนั้นมีอย่างแน่นอนจะเหลือแค่การทำความเข้าใจว่าจะตีความให้อยู่ในรูปแบบไหน ซึ่งมีหลายจุดที่ชอบมาก ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแนวของแต่ละคนว่าจะดูแนวทริลเลอร์ที่แน่นด้วยบทสนทนาหรือเปล่า บทในเรื่องนั้นดีมากต่างคนต่างคมใส่กันตลอดไม่มีใครด้อยกว่าใคร ต่างคนต่างวางแผนได้ดุดันและเฉลียวฉลาดดูมีหลักการ ตามเก็บรายละเอียดที่ทิ้งไว้และการคลี่คลายเนื้อเรื่องได้อย่างคล่องตัวมีความสัมพันธ์เข้าหากันได้ตลอด
แต่ที่น่ายอมรับคือไม่ใช่หนังดูยากดูเย็นอะไร ถึงจะมีหักมุมชวนอึ้งถึงกระนั้นการดำเนินกลับเป็นไปได้อย่างละเอียดและชัดเจนกับการอธิบายไม่มีข้อกังขาว่าเพื่ออะไร อย่างไง ทำไม ให้ผู้ชมเกิดคำถามมากมายให้ชวนงง ที่ชอบคือหนังไม่ได้เครียดจนวินาทีสุดท้าย คือสามารถให้ความเพลิดเพลินและรอยยิ้มได้อย่างมีความสุข ทำให้มีเรื่องที่น่าหลงใหลชวนเสน่ห์ได้อย่างมีเอกลักษณ์