Max Payne (2008)
แม็กซ์ เพย์น คนมหากาฬถอนรากทรชน
Director: John Moore
Genres: Action | Crime | Drama | Thriller
Grade: C
"Max Payne"หลายคนคุ้นชื่อนี้กันดีในฐานะชื่อเกมส์หนึ่งที่สร้างกระแสด้วยการยิงแบบกระหน่ำผสมภาพสโลโมชั่นที่สุดแสนจะสะใจคอเกมส์ไม่น้อย จะเป็นอะไรได้ถ้าเกมส์จะเป็นที่ฮิตในหมู่คอเกมส์มันก็ต้องสร้างเป็นหนังให้ผู้ชมดูด้วยถึงจะครบรสทั้งเกมส์ทั้งหนัง
แม็กซ์(Mark Wahlberg)ตำรวจสืบสวนที่ตั้งหน้าตั้งตาเก็บรายละเอียดข้อมูลมากมายจากการเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายเก็บข้อมูล ต้องพบเบาะแสบางอย่างที่เพื่อนเป็นค้นเจอก่อนจะพบว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งเข้าลึกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเจอเรื่องน่าสงสัยมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งเข้าลึกมากก็กลายเป็นที่น่าสงสัยและรังเกียจเสียเองจากกลุ่มตำรวจด้วยกัน การตายของลูกเมียของเขาทำให้แม็กซ์ตั้งหน้าตั้งตาหาคนร้ายให้เจอ แต่แล้วความจริงต้องมืดบอดเพราะแท้จริงต้องมีการหักหลังแบบที่เขาไม่ทันคาดคิดมาก่อน
Sin City (2005) คือหนังที่อยากจะนึกขึ้นมาทันทีหลังจากเห็นโทนของ Max Payne ที่สร้างบรรยากาศแบบฟิล์มนัวร์เล่น แสง สี มืด สว่าง แบบได้อารมณ์ที่ก่ำกึ่งของความไม่เป็นอิสระในโลกที่คับแคบ มีความตึงเครียดเล่นโทนหนาๆมืดสว่างเล็กน้อยเหมือนท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆหนาไม่มีแสงแดดจับฉายได้ถึงพื้น แค่บรรยากาศก็ให้อารมณ์ได้อย่างดิบดี แต่เดี๋ยวก่อนนะนี่ยิ่งดูเหมือนตัวเองกำลังเหนื่อย หรือว่าเนื้อหาจะหนักแน่นเกินไปที่จะเข้าใจ หรือว่ามีบางอย่างทำให้สะดุด?
คือถ้าใครเล่นเกมส์ Max Payne คงไม่มีใครหน้าไหนอยากจะปิดตาเล่นเพราะง่วงอย่างแน่นอนเพราะมันส์ขนาดนั้น แต่เมื่อทำเป็นหนังล่ะ กลายเป็นตัวละครที่ใช้คนเล่นจริงๆ มีมุมมองและฉากต่างๆที่ล้วนเป็นของจริง จะสามารถเพิ่มอรรถรสได้มากแค่ไหนเมื่อชมจนจบ
ใช่แล้วคำว่า"แอ็คชั่น"ในเกมส์กับคนนั้นต่างกันอยู่หลายขุม เริ่มจากตัวเกมส์ที่เราต้องเป็นฝ่ายควบคุมเลือกบังคับทำอะไรก็ได้แล้วแต่อยากจะเล่น ยิงก็ยิงกันแบบมันส์ๆไปเลย ในขณะที่ตัวหนังใช้คนแสดงก็มีข้อกำจัดที่สร้างความเว่อร์แบบเกมส์ไม่ได้ จึงเหลือวิธีในการใช้เอฟเฟคเข้ามาช่วยให้ออกมาแอ็คชั่นแบบเกมส์ แต่ด้วยหนังมันไม่ได้หนักแอ็คชั่นน่ะสิแถมยังจับนับครั้งได้ด้วย ก็คงจะผิดหวังไม่น้อยเพราะความสนุกจากการยิงนั้นไม่ได้เร้าใจอย่างที่อยากจะสะใจจนบางครั้งเป็นเรื่องจะธรรมดา ยังดีในส่วนเอกลักษณ์ที่ถอดมาจากเกมส์คือการใช้สโลโมชั่นที่เอากล้องที่ดีในการถ่ายด้วยจำนวนเฟรมที่สูง 1000 เฟรมต่อวินาทีเข้าช่วยจนบางครั้งจะมามุมมองที่แปลกๆอย่างกับได้ดูหนังแนว The Matrix ยังไงอย่างนั้น
การพยุงเนื้อเรื่องเป็นไปด้วยความล่าช้าเพราะตัวแม็กที่สืบสวนไม่ได้ข้อมูลอย่างที่ควรจะได้ จึงมีความอืดในหลายสัดส่วนเพราะแอ็คชั่นที่ลดทอนไปจึงเหลือการดำเนินเรื่องที่มีแต่จังหวะธรรมดาๆไม่ได้รุกเร้าหักมุมหรือหนักแน่นในเรื่องของบทเท่าที่ควร แต่ด้วยบรรยากาศโทนแบบนั้นก็นับให้ดูมีหน้ามีตาได้ดี จะบอกว่าเนื้อหามีช่องว่างที่อุดไม่ลงถึงจะหาข้อสรุปในการอธิบายแล้วก็ตาม แต่ด้วยประเด็นอันใหญ่โตเหล่านั้นก็กลายเป็นส่วนเกินได้เช่นกัน อย่างเรื่องสิ่งที่ในเกมส์ไม่มีกับสัตว์ประหลาดบินได้คล้ายปักษาวายุที่ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ที่แน่คือมีเอี่ยวกับการฆ่าคน
Max Payne เป็นเรื่องราวของการปราบปรามทรชนพวกไม่เคารพกฎหมาย ฉะนั้นจะเป็นเรื่องราวของสภาพเหตุการณ์ที่ถ่ายทอดจริงๆ แต่ด้วยมุมมองที่ล้ำกว่านั้นจึงมีตัวประหลาดมีปีกที่บินไปมาและการกระทำที่ดูเป็นพิษเป็นภัยอย่างแน่นอน แต่ประเด็นคือพวกเหล่านี้คือตัวอะไร มาได้อย่างไง ซึ่งในจุดประเด็นเหล่านี้ต้องใช้การตีความซะเล็กน้อยในการทำความเข้าใจเพราะที่แน่ๆ Max Payne ไม่ใช้แนวแฟนตาซี
เริ่มกันด้วยรอยสักรูปปีกที่ดูจะเป็นปัญหาเดียวที่สามารถทอดเรื่องราวไปได้เรื่อยๆในการสืบสวน ซึ่งแม็กได้ข้อสงสัยนี้มาจากเพื่อนที่เป็นตำรวจด้วยกัน และแม็กได้ตามสืบสาวด้วยการหาคำตอบว่ารอยสักรูปปีกนี่มันคืออะไรกันแน่ ซึ่งรอยสักดังกล่าวก็คือตัวแทนของเทพที่คนเหล่านั้นต่างนับถือจนเป็นเอกลักษณ์ที่ว่ามักมีกันในกลุ่ม
เรื่องตัวประหลาดมีปีกบินได้นั้นคือสภาพจิตใจที่เกิดจากความรุนแรงเป็นผลแปรหลักที่ว่าทำไมเวลาเจ้าตัวนี้โผล่มาทีไรถึงได้มาพร้อมกับอารมณ์ที่ส่งผลทางลบทุกที และเกิดได้เฉพาะกลุ่มคนเท่านั้น เท่ากับว่าคนธรรมดาจะไม่รับรู้หรือสัมผัสเห็นได้นอกจากใช้ยาสีฟ้าที่มองแล้วเป็นสารเสพติดชนิดหนึ่งนั้นเอง ซึ่งไอเดียนี้เกิดจาก Beau Thorne ผู้เขียนบท ซึ่งสัตว์ประหลาดบินได้นั้นคือปีศาจในตำนานของสแกนดิเนเวีย ชื่อวัลคีรี
เนื้อหาของหนังเริ่มจะบานปลายเป็นความละเอียดอ่อนที่ใส่มากมาย ตอนแรกก็สืบสาวตามล่าคนฆ่าเมียจนลงรอยไปไกลถึงพวกยาเสพติดที่ใส่ทดลองในกลุ่มทหารที่ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดหรืออยากกลัวใดๆ และผูกเรื่องราวให้ประเด็นเข้ากับสาเหตุการตายของเมีย ซึ่งจากบางส่วนแล้วพอจับต้นชนปลายได้ดีแต่ให้อารมณ์ที่ขัดๆเหมือนรถติด ไม่ลื่นไหล จนกลายเป็นตอนจบที่ให้อารมณ์ไม่สุดค้างๆคาๆ แอ็คชั่นก็ไม่ Max เนื้อหาก็ไม่ Max การดำเนินเรื่องก็ไม่ Max แต่โทนบรรยากาศเต็ม Max
ก็ประมาณได้ว่าไม่ใช่หนังแอ็คชั่นที่หลายคนอยากถามหาแต่เป็นแนวแอ็คชั่น-ทริลเลอร์ที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่เดี๋ยวเข้มข้น เดี๋ยวมาแปลก เดี๋ยวหลุดโลก(แต่รับได้) ที่ใครไม่หลงไหลกับหนังคงได้แต่บ่นถึงความอืดของหนังว่าเมื่อไรจะยิงซะที แต่ถ้าใครอยากรู้เนื้อหาแบบจับฉ่ายก็ต้องไม่พลาดเช่นกัน แต่จะอะไรเสียยิ่งกว่านักแสดงที่รับบทเป็นแม็กซ์
Mark Wahlberg รับบทเป็นตำรวจแม็กซ์ที่ไม่เข้าพวกเท่าไหร่จนเรียกว่าแนบเนียนอย่างมาก อารมณ์กับนิสัยมาถูกทาง เป็นแม็กซ์ที่ Max สมชื่อได้เลยนึกแล้วอย่างกับถอดรูปมาจากตัวเกมส์ แล้วยังมี Mila Kunis มาเล่นด้วยคน ที่แน่คืออารมณ์ยังไม่ให้ เหมือนบทหนังไม่ต้องการตัวเธอเลย แล้วยัง Olga Kurylenko ที่ดังมาจาก Quantum of Solace (2008) ที่แสดงได้เซ็กซี่จนเป็นที่จับต้องตาจนขโมยซีนจาก Mila Kunis ไปไกลติดอย่างเดียวเล่นน้อยไปหน่อย ที่น่าเสียดายสงสัยจะคือบท
มีแม็กซ์คนเดียวที่เล่นได้โดดเด่นในขณะที่คนอื่นๆก็ต่างคล้ายเป็นตัวประกอบ ไหนจะเรื่องบทที่ขาดๆเกินๆ จากตอนแรกวางท่าน่าสงสัยกลายเป็นศัตรู พอเอาเข้าจริงมาได้ไม่นานก็จบเสียแล้ว หรือจะข้อผิดพลาดที่บางครั้งจะแจกบทได้ไม่ลงตัวกลายเป็นว่าหายไปเลย จะไปโทษคนเขียนบทก็ไม่ได้เพราะเป็นงานแรกของ Beau Thorne ที่ได้รับเลือกจากนับร้อยบทที่ส่งเข้าเสนอจากคณะผู้สร้างหนังและผู้บริหารค่าย โดยอิงจากเกมส์ต้นฉบับอย่างละเอียด
นอกจากนี้เวลาการถ่ายทำก็กระชับง่ายเสร็จสิ้นภายใน 50 วันนับตั้งแต่ 3 มีนาคม 2008 แล้วไหนจะโดนตัดอีกเพราะได้เรท R จนกลายเป็น PG-13 ในที่สุดจึงไม่แปลกใจถ้ายังรู้สึกไม่เต็มอิ่มทั้งที่เบื้องหลังในฉากสำนักงานใหญ่ก็ขนระเบิดไปฝังตามจุดต่างๆ 1280 จุดซึ่งใช้เวลา 1 สัปดาห์ แต่กว่าจะเสร็จสิ้นก็เล่นระเบิดไปกว่า 5000 ชุด แล้วไหนจะเลือดปลอมที่ระเบิดบนตัวนักแสดงกับระเบิดฝุ่นท่ปลิวคลุ้งอีกอีก 1000 กว่าชุด
แต่ถือว่าหนังไม่ได้ห่วยหรือน่ารังเกียจจนย้ำแย่ขนาดนั้น แค่ไม่อิ่มเพราะโล่งต่างหาก แต่ด้วยความเพลิดเพลินที่มีก็พอพยุงให้พอลุ้นได้ระยะหนึ่ง บวกกับแอ็คชั่นที่กระแทกกระทั้นที่แฝงอารมณ์โทนจากเอฟเฟคอย่างดีก็เลิศพอหรูแล้ว