The Exorcist (1973) | หมอผีเอ็กซอซิสต์ ฉบับสยองลึก | A
Director: William Friedkin
Genres: Horror
ถ้าจะให้พูดถึงหนังที่น่ากลัวที่สุดและน่าเครียดน่ากลัวต้องยกให้กับเรื่องนี้ที่เสนอได้เข้มข้นในความหลอนที่เปิดเรื่อง 10 นาทีแรกก็ชวนหลอนและลึกลับอย่างมาก โดยเริ่มที่อิรักที่ซึ่งกำลังขุดซากโบราณวัตถุที่จู่ๆก็มีเด็กไปเรียกชายสูงวัยคนหนึ่งว่าพบอะไรบางอย่าง และได้พบโบราณวัตถุที่น่าสงสัยเป็นอย่างมาก เริ่มจากสิ่งที่เจอมาจากคนละยุคกัน จากจุดนี้สร้างความแปลกใจเพราะไม่รู้ว่าตัวหนังต้องการแนะไปในทิศทางใดกันแน่ ที่ชัวร์ที่สุดคือการบอกเล่าอย่างน่าสงสัยเหมือนมีบางอย่างซ้อนอยู่และที่สำคัญบรรยากาศน่าเครียดน่ากลัวมากถึงแม้จะไม่มีความสยองอยู่ด้วยก็ตาม
เพราะการสร้างบรรยากาศบวกกับการดำเนินเรื่องที่นิ่งเงียบคล้ายหนังปรัชญาทำให้ชวนนึกอยู่ในใจว่ากำลังเล่นอะไรกันอยู่เพราะประเด็นที่เกิดกำลังให้ฉุกคิดในบางสิ่ง อย่างตอนที่ชายสูงวัยนั้นนั่งรถไปยังสถานที่หนึ่งซึ่งเป็นซากปรักหักพังโบราณ แล้วลงจากรถเดินไปหาอะไรสักอย่างจนเจอเสาต้นหนึ่ง
จากตอนแรกสิ่งที่ดำเนินเสนอไม่สามารถระบุได้ว่าคือเสาอะไรนอกจากเห็นเป็นเงาเพราะแดดที่ส่องหลังมาที่เสนอการมองภาพได้อย่างสมจริง จนเริ่มเผยให้เห็นแล้วว่าเสานั้นเป็นแบบไหน ซึ่งในจุดนี้หนังได้นิ่งเงียบและเสนอได้อย่างลึกลับชวนผวาเป็นอย่างมากกับลูกเล่นที่มองไปยังเสาต้นนั้นที่กลายเป็นรูปปั้นสักอย่าง และประเด็นคือเสาต้นนั้นคืออะไร มีส่วนเกี่ยวข้องกันหรือไม่
หลังจากสงสัยอยู่นานกับรูปปั้นว่าคืออะไร เพราะในหนังมีการดำเนินเรื่องที่แสดงถึงความเกี่ยวข้องอย่างชัดเจนที่เห็นตั้งแต่เริ่มเรื่องจนจะจบเรื่องก็ปรากฎให้เห็น จึงลองไปหาข้อมูลแล้วพบว่าเป็นของจริงที่ว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวโยงถึงกัน แต่คิดว่าคงต้องลองมาวิเคราะห์กันซะเล็กน้อย
เริ่มจากรูปปั้นนี้มีชื่อว่า Pazuzu เป็นเรื่องของตำนานอัสซีเรียและบาบิโลน เป็นปีศาจเจ้าแห่งลม นอกจากนี้ยังเป็นตัวแทนของลมทางตะวันตกเฉียงใต้ของพายุและถือภัยแล้ง ที่สำคัญมีความเด่นชัดคือมือทั้งสองข้างโดยมือขวาของชี้ขึ้นและมือซ้ายชี้ลง
จากช่วงแรกของหนังนั้นคือรางบอกเหตุอย่างหนึ่งที่ชายสูงวัยคนนั้นสัมผัสได้จากประสบการณ์ที่มีอยู่ จากการเดินไปเผชิญหน้ารูปปั้น Pazuzu ก็เกิดลมขึ้นและเสียงหมาห่อนที่เป็นการเตือนว่าบางอย่างกำลังเกิดสิ่งเลวร้ายขึ้น และชายสูงวัยคนนั้นก็มีหน้าที่ที่ตัวเองต้องทำอีกด้านคือหลวงพ่อเมอร์ลิน
หลังจากเนื้อเรื่องของชายสูงวัยกันแล้วก็ย้ายสถานที่มายังที่หนึ่ง เริ่มจากคุณแม่คริส(Ellen Burstyn)ที่มีอาชีพเป็นนักแสดง โดยเห็นได้จากการท่องบทและเข้าฉากที่รวมตัวกันก่อม็อบและเวลานั้นหนังก็โฟกัสไปยังชายคนๆหนึ่ง นั้นคือหลวงพ่อคาร์(Jason Miller)ที่เดินผ่านการชมแสดง จากจุดนี้หนังเริ่มมีการเดินเรื่องที่บ่งชี้ให้เห็นชีวิตแต่ละคนได้อย่างชัดเจนเป็นการแนะนำตัวละครให้รู้ลึกหนาบางอย่างละเอียดหรือที่เรียกว่าปูพื้นนั่นเอง
The Exorcist มีการดำเนินเรื่องช่วงแรกที่ไปเรื่อยๆช้าๆค่อยๆซึมซับอย่างละเอียดจนเนื้อเรื่องเข้าเค้าและแน่นอย่างมีเงื่อนงำน่าคิด ในจุดนี้อาจเรียกว่าน่าเบื่อเพราะไม่มีอะไรน่ากระตุ้นกับเรื่องระทึกขวัญ แต่ถ้าทนดูไปเรื่อยๆจะพบถึงความเข้มข้นที่เริ่มชัดขึ้นและแรงขึ้น
ทีแรกคิดว่าในส่วนของเนื้อหาคงไม่มีอะไรนอกจากเจอผีเข้าสิงและต้องไล่ผี เมื่อมาคิดในจุดของเนื้อหาบางจุดจะพบว่ามีหลักการอย่างชั้นเชิงที่มีระบบและเกี่ยวพันในระดับหนึ่ง เช่น การเล่าถึงสภาพสังคมและบรรทัดฐานในความเชื่อ ที่เรแกนมีอาการผิดปกติในช่วงแรกที่เริ่มแสดงพฤติกรรมที่รุนแรงคล้ายคนเก็บกด ซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดเพราะจากปกติแล้วไม่เคยมีกิริยาแบบนี้ ซึ่งผู้ชมต่างเห็นแล้วว่าในช่วงแรกออกจะน่ารักตามประสาเด็กน้อย จนกระทั่งเริ่มมีความผิดปกติภายในบ้านที่เกิดเสียงประหลาด จากตอนแรกคริสคิดว่าคงเป็นหนูที่มาก่อกวน แต่แล้วก็ไม่ใช่อย่างที่คิดเพราะไม่มีหนูสักตัวบนหลังคา ในระหว่างช่วงแรกของหนังจะเป็นการปูพื้นเนื้อหาให้หนักแน่นที่เริ่มใส่ความลึกลับเข้ามา และอีกอย่างมีบางฉากที่หนังเล่นภาพหลอนๆเข้ามา
ถ้าระหว่างชมเรื่องนี้เกิดคิดไปเองว่าโดนอะไรสักอย่างทำให้เกิดภาพหลอนแล้วล่ะก็ นั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่จะโดนหนังเล่นงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใครชมอย่างปราณีตแทบไม่กระพริบก็จะเห็นอะไรแวบๆเข้าตา ซึ่งนั้นเป็นอุบายหลอนๆเอาไว้เล่นงานผู้ชมว่ากำลังเห็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือฉาก และสิ่งที่เห็นนั้นจะเป็นหน้าคนสีขาวซีด มีฟันแหลม มีแววตาที่ดุร้าย เมื่อมองภาพรวมแล้วนั้นคือสิ่งที่น่ากลัว เพราะไม่สามารถอธิบายได้ว่าตัวเองกำลังเห็นอะไรแต่ที่แน่คือสิ่งที่เห็นไม่ได้เล่าเอาในตัวหนังเลย แถมยังปรากฏแบบรวดเร็วจนคล้ายเห็นภาพหลอน ทำให้เป็นการเพิ่มความน่ากลัวระดับหนึ่ง แต่จะน่ากลัวมากขึ้นถ้ารู้เบื้องลึกของหนังเรื่องนี้
The Exorcist เป็นหนังระดับตำนานเรื่องนี้ที่ขึ้นหิ้งความคลาสลิคแนวหน้าและเป็นหนังที่น่ากลัวที่สุดเรื่องนี้อีกด้วย คำถามคือหนังไม่ได้เลือดสาด มีฉากตกใจจนช็อคคนดู หรือฉากแหวะๆน่าสะพรึงกลัวที่จัดมาเต็มทั้งเรื่องแต่ทำไมถึงสยองกันหนักหนา ยิ่งในคนอเมริกาด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องคิดอะไรมากนอกจากบอกว่าต้อง The Exorcist เท่านั้น
คำตอบคืออิงจากเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับเหตุการณ์ผีเข้าแบบนี้ในปี 1949 โดยหนังอิงจากหนังสือที่เขียนจากเรื่องจริง มิหนำซ้ำความรุนแรงของหนังยังสร้างความสะพรึงกลัวในชีวิตจริงที่กลายเป็นหนังต้องสาปไปด้วย ระหว่างการถ่ายทำได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นหลายครั้ง มีเหตุไฟไหม้ไม่ทราบที่มาอีก คนตายไป 9 คน และพอถ่ายทำเสร็จนักแสดง 2 คนก็มาเสียชีวิต ทั้งนั้นยังไม่พอผู้ชายคนนึงพยายามฆ่าตัวตายและถูกตำรวจจับมาสอบปากคำ เขาอ้างว่าเขาดูหนังเรื่อง The Exorcist และก็มีเสียงหนึ่งสั่งให้เขาฆ่า และก็มีผู้ชายคนนึงอีกเช่นกันแต่รายนี้ฆ่าตัวตายสำเร็จโดยทิ้งจดหมายไว้ด้วย เนื้อความในจดหมายบอกว่าเขาถูกปีศาจสั่งให้ทำ นอกจากนี้คนบางคนถึงขั้นไม่กล้าเปิดหนังเรื่องนี้ดูเลยทีเดียว เพราะคนที่เคร่งในศาสนาเชื่อว่าหนังเรื่องนี้มีสิ่งชั่วร้ายปะปนอยู่ เรื่องอาถรรพ์ไล่ผีสร้างกระแสแรงมากในยุค 70s
The Exorcist ได้ออกฉายครั้งแรกในวันที่ 26 ธันวาคม ปี 1973 และทำรายได้ไป 232 ล้านเหรียญ เป็นหนังผีที่ประสบความสำเร็จที่สุด และเป็นหนังสยองขวัญเรื่องแรกที่เข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขา"ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม"
ลองกลับมาเข้าเรื่องเมื่อเรแกน(Linda Blair)มีพฤติกรรมที่แปลกไป คุณแม่คริสก็พยายามช่วยลูกด้วยวิธีทางแพทย์ที่ให้วินิจฉัยด้วยวิธีต่างๆมากมาย แต่สุดท้ายอาการต่างๆที่ควรจะเป็นกลับไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น แถมร่างกายทุกสัดส่วนก็ล้วนปกติดีทุกอย่างสมบูรณ์ จนเมื่ออาการของเรแกนหนักขึ้นก็ต้องพึ่งจิตแพทย์ให้มาวิเคราะห์สภาพจิตใจว่าเก็บกดจริงหรือไม่
แต่การไปหาจิตแพทย์เหมือนเป็นการลุกลามอย่างหนึ่ง ทำให้เรแกนมีการแสดงท่าทางที่รุนแรงเป็นอย่างมากจนทำร้ายใครต่อใครอย่างไม่สนใจ จนเรื่องบานปลายเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นอกเหนือตำราและประสบการณ์ของแพทย์ทำให้แนะนำให้ลองไปหาหลวงพ่อใช้วิธีขับไล่ผี แต่คริสไม่พอใจเพราะเป็นเรื่องที่งมงายและคิดว่ายุคสมัยนี้ก็พิสูจน์กันได้ด้วยวิทยาศาสตร์
จากการที่คริสไม่พอใจและความพยายามหาหนทางช่วยลูกแสดงให้เห็นค่านิยมของความเชื่ออย่างหนึ่งที่ต้องมีเหตุผลรองรับ ซึ่งใช้ทุกวิธีในการตรวจความผิดปกติเท่าที่เครื่องมือเครื่องใช้ทำได้ รวมไปถึงการพึ่งพาทางใจกับจิตแพทย์ที่ตัวหนังแนะนำให้ไปหาแต่ย้ำว่ายังก่อนให้ไปทานยาดูอาการก่อน แสดงให้รู้แล้วว่ากลุ่มคนที่ไปหาจิตแพทย์ต้องมีปัญหาที่รุนแรงจริงๆเกี่ยวกับสภาพจิตใจซึ่งเรื่องแบบนี้ค่อนข้างน่าอับอายเพราะคริสมีความสนิทสนมกับหมู่เพื่อนสังคม
หลวงพ่อเดเมี่ยน คาร์ราส คือตัวละครหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับเรแกนแบบอ้อมๆและแบบตรง เริ่มจากชีวิตที่มีปัญหาเกี่ยวกับแม่ของเขาที่มีสภาพจิตใจไม่สมบูรณ์ และในตัวเขาเองก็เริ่มท้อถอยในศรัทธาที่เลือกเป็นหลวงพ่อ เพราะจริงๆแล้วเดเมี่ยนสามารถเลือกหนทางที่ดีกว่าอย่างการเป็นหมอจิตแพทย์ ซึ่งนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาและ/หรือแม่ของเขาเสียใจ
ถ้าเดเมี่ยนเลือกหนทางของการเป็นหมอจะมีรายได้ที่ดีกว่านี้และอยู่สบายมากกว่าที่เคยเป็น แต่การเลือกเป็นหลวงพ่อนั้น เดเมี่ยนก็ยังมีความรู้ในจิตแพทย์อยู่ไม่น้อยกับการศึกษาในเรื่องจิตวิทยาขณะเป็นหลวงพ่อจากการทำวิจัยเรื่องต่างๆ ด้วยชีวิตที่ไม่ดีพร้อมและอาการที่ย่ำแย่ทำให้แม่ของเขาป่วยและประสาทเสีย และนั้นทำให้หลวงพ่อเดเมี่ยนไม่อยากเป็นหลวงพ่ออีกต่อไปเพราะไม่มีศรัทธาอีกต่อไป
แต่ในภาวะที่อยากจะเลิกก็เหมือนมีบททดสอบว่าเป็นผู้สมควรจะเลือกหรือไม่ เพราะคุณแม่คริสมาติดต่อหลวงพ่อเดเมี่ยนให้ช่วยในเรื่องขับไล่ผี เพราะอยากช่วยลูกให้หลุดจากความทรมานทำให้ต้องยอมรับในความเชื่อที่ฟังแล้วงมงาย ทั้งที่ตัวเองไม่ได้เชื่อเรื่องศาสนาขนาดรับไม่ได้กับการไปเจอไม้กางเขนใต้เตียงเรแกน สุดท้ายคริสต้องยอมรับเพราะเป็นหนทางสุดท้ายแล้วจริงๆ ฉะนั้นหลวงพ่อเดเมี่ยนต้องรับการขับไล่ผีเป็นครั้งแรกในชีวิต
การขับไล่ผีอย่างถูกจารีตคือต้องมีหลักฐานแสดงถึงอาการผีเข้า ซึ่งหลวงพ่อเดเมี่ยนก็เห็นโจทย์ปัญหาต่อหน้าอย่างชัดเจนและลองทดลองจากการใช้น้ำมนต์ใส่ร่างเรแกนที่อยู่บนเตียงในสภาพถูกตรึงเพื่อกันความปลอดภัยจากความรุนแรงที่เรแกนได้ทำร้ายตัวเองด้วยการแทงขาตัวเองแบบไม่สนเนื้อสนใจว่าจะเจ็บปวด ประหนึ่งขอดูความสะใจกับการกระทำนี้ จากการใช้น้ำมนต์ทำให้เรแกนที่น่าจะถูกผีเข้าอย่างสมบูรณ์กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วพูดภาษาที่ไม่น่าใช่ภาษาคน ในระหว่างนี้เองหลวงพ่อเดเมี่ยนก็บันทึกเสียงเอาไว้ใช้เป็นหลักฐานและนำมาตีความว่าคือภาษาใดบนโลกนี้หรือเปล่า แต่แล้วเรื่องน่าตกใจของการแปลภาษานั้นคือการย้อนคำพูดเพราะภาษาที่ใช้เป็นภาษาอังกฤษที่พูดกลับหลังเท่านั้น ว่า"ข้าไม่มีตัวตน ข้าไม่มีตัวตน เมอร์ลิน"
และด้วยเหตุผลต่างๆทำให้หลวงพ่อเดเมี่ยนตัดสินใจมาพบอธิการบดีของมหาวิทยาลัยยอร์ชทาวน์ ยื่นคำร้องขออนุญาต เพื่ออนุมัติประกอบพิธีขับไล่วิญญาณ แล้วยังแนะนำให้เพิ่มคนมีประสบการณ์เข้าไปอีกคนหนึ่ง ซึ่งคนนั้นคือหลวงพ่อเมอร์ลิน(Max von Sydow) ระหว่างที่ชมจนถึงจุดนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าตัวหนังมีความลงตัวอย่างสูงมากโดยเฉพาะการอิงเวลาจริงที่เกิดขึ้น
จากตอนแรกของหนังเราได้เห็นตัวละครอย่างหลวงพ่อเมอร์ลินในตอนต้นแล้วก็หายไปจนเริ่มทำพิธีไล่ผี ถ้าลองพิจารณาดีๆตอนต้นของหนังหลวงพ่อเมอร์ลินก็กำลังเจอเรื่องแปลกๆอยู่โดยมีรางสังหรณ์ปะปนเข้ามา แล้วก็มีการกล่าวอำลาเหมือนจะไปไหน และนั้นเป็นคำถามที่ได้คำตอบว่ามาไล่ผีนั้นเอง เมื่องานนี้เป็นงานแรกของหลวงพ่อเดเมี่ยน ผู้นำคงต้องเป็นหลวงพ่อเมอร์ลินที่หลายคนคิดว่าบทอาจน้อยเกินไปเพราะหายไปเยอะในกลางเรื่อง แต่เมื่อลองลำดับเวลาจะเข้าใจว่าช่วงที่เกิดเหตุนั้นหลวงพ่อเมอร์ลินกำลังเดินทางอยู่ต่างหากและหนังจะต้องเสียศูนย์แน่ถ้าจับฉากเดินทางนั้นมาทั้งที่ปูทางมาอย่างดี
คิดอยู่เหมือนกันว่าทำไมผีตัวนั้นถึงรู้จักชื่อหลวงพ่อเมอร์ลิน แต่ลองคิดแล้วคิดว่าน่าจะมาจากความน่าเกร่งขามที่ดูได้จากตอนไล่ผีที่แทบไม่สนสิ่งใดนอกจากคำสวด เพราะประสบการณ์และความรู้ที่ว่าพวกปีศาจมักโกหกและชอบเอาความจริงมาปะปนให้เกิดความลังเล จนหลวงพ่อเดเมี่ยนต้องตะลึงตาค้างในอำนาจปีศาจที่สิงเรแกนอยู่ และหลวงพ่อเดเมี่ยนก็เริ่มเรียนรู้เข้าใจในศรัทธามากขึ้นจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับหลวงพ่อเมอร์ลินที่ทำให้พิธีกรรมนี้มีอำนาจมากขึ้นจนเรแกนที่ถูกสิงยังต้องร้องโวยวาย และมันไม่ง่ายเมื่อวิญญาณในที่นี่ไม่ใช่แค่ปีศาจเพียงอย่างเดียว
ตั้งแต่หนังเริ่มพิธีไล่ผีเป็นต้นมาไม่มีจุดไหนที่น่าเบื่อสักจุดเดียวแถมยังมีความสมจริงที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก จุดที่มีพลังคือคำสวดที่พูดพร้อมกันว่า"ด้วยอำนาจของพระองค์บังคับเจ้า"ในขณะที่ร่างเรแกนลอยขึ้นและลงอย่างสงบ ชวนให้ลึกลับและน่าสงสัยจริงๆ
อันดับแรกถ้าอยากจะดูหนังเรื่องนี้แบบได้เต็มอรรถรสต้องลองชมฉบับ The Version You've Never Seen ซึ่งจะมีการเพิ่มฉากเข้ามาทำให้มีเนื้อเรื่องที่แน่นมากขึ้น ละเอียดและยาวมากขึ้น ที่สำคัญไม่ใช่แค่ฉากเพิ่มแต่ยังมีบางฉากที่เปลี่ยนไปด้วย อาทิ ฉากไต่ลงบันไดของหนูน้อยเรแกนที่โผล่ออกมาได้อย่างน่าตกใจ
จากฉบับ Original จะเป็นการไต่ลงมาแล้วพลิกตัวแล้วแลบลิ้นลิ้นออกมาเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งจุดนี้เป็นการแสดงเรื่องราวอันแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อีกแง่มุมหนึ่งกลับชวนรู้สึกขำแบบแปลกๆ ผิดกับฉบับที่ตัดต่อเข้ามาใหม่ที่น่าลงตัวกว่ามากและยังสยองเต็มตาอีกด้วย เพราะการไต่ลงมาแล้วอ้าปากมีเลือดไหลออกมา เป็นฉากที่น่าตกใจมากกว่าประหลาดใจ ด้วยเหตุการณ์ในหนังตอนนั้นในฉากบันไดนี่ถือเป็นหนึ่งในการเร้าอารมณ์ตกใจกันแบบสุดๆ แถมเบื้องหลังการไต่บันไดลงมาแบบท่าสะพานโค้งยังเป็นของจริงอีกด้วย แสดงให้เห็นแล้วว่า Linda Blair ทุ่มเทในงานของเธอจริงๆ ไม่ว่าจะการแสดงที่เล่นเป็นเด็กธรรมดา หรือจะเปลี่ยนเป็นคนละคนเมื่อผีเข้าสิง จะบอกว่าเธอแสดงได้น่ากลัวอย่างมากยิ่งแต่งหน้าเมคอัพยิ่งทวีคูณความชัดเจนจนบทแตกกันเลย ส่วนนักแสดงคนอื่นเรียกว่าหายห่วง เพราะการดำเนินเรื่องไม่ได้ทิ้งใครเอาไว้ไหน ทุกตัวละครล้วนมีจุดยืนที่แตกต่างกันออกไปและมีบทบาทที่มากพอในการจดจำว่ามีตัวตนที่ชัดเจน ส่วนเรื่องเสียงประกอบดันเข้ารูปเข้าทางไปหมด
The Exorcist ในแง่มุมใครหลายคนอาจดูได้เรื่อยๆจนวินาทีสุดท้ายของหนังจึงจะกินใจ ทำให้ต้องยอมรับก่อนว่านี้คือหนังคลาสลิคและมีเหตุมีผลที่ชัดเจนในเนื้อเรื่อง ฉะนั้นความน่ากลัวของเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้จากความเข้าใจส่วนหนึ่งซึ่งที่เหลือหนังทำให้เรารู้แล้วว่าความน่ากลัวที่เหมือนจริงเป็นอย่างไง และจุดนี้หนังแสดงความน่ากลัวไปแบบเต็มๆ ที่หนังเล่นได้เต็มที่ไม่ใช่เรื่องความน่ากลัวอย่างเดียวแต่รวมถึงการเสียดสีศาสนาเข้าขั้นต่อต้านและรุนแรงอย่างสูง จึงไม่แปลกถ้าเนื้อหาจะกระทบเข้าคนนับถือศาสนาคริสต์ที่รับผลกระทบอย่างสูงและเป็นการดูหมิ่นที่เสื่อมเสีย ทั้งหนังมีคำพูดที่หยาบและแรงไม่ใช่น้อยกับเรแกน และยังถึงความน่ากลัวของเรแกนที่ถูกผีเข้าจนต้องมีการขับไล่จากหลวงพ่อทั้งสอง ที่บอกได้ว่าตัวหนังแน่นมากๆกับการไล่ผีที่เก็บทุกช่วงทุกเวลาอย่างละเอียดในพิธีกรรม นอกจากความน่ากลัวยังมีพิษสงที่เรียกว่าข่มกันแบบไม่ยอมน้อยหน้ากันง่ายๆเพราะมีการวัดใจกันว่าใครจะแข็งกว่ากันและใครจะแน่กว่ากัน ระหว่างการไล่ผีนั้นเรแกนก็ทำทุกวิธีทางให้หลวงพ่อหลุดจากความเชื่อมั่นและศรัทธา ด้วยการหมุนหัวช้าๆ 360 องศาที่กลายเป็นอีกฉากในความสยองเพราะจะเห็นว่าค่อยๆหมุนหัวแบบต่อหน้าต่อตา หรือจะการอ้วกที่น่าขยะแขยงที่พ่นออกมาแบบไม่เกรงใจใคร ก็นับว่าความกลัวมีอย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้วแต่บางทีในส่วนเนื้อหาสำหรับบางคนคงได้แต่เฉยๆเพราะเดิมทีหนังก็ไปเรื่อยๆอยู่แล้ว ฉะนั้นถ้าใครชมเรื่องแล้วเข้าใจก็จะรู้ดีว่านี้คือหนังน่ากลัวระดับ Master Classic