The Invasion (2007)
อินเวชั่น บุกเพาะพันธุ์มฤตยู
Director: Oliver Hirschbiegel,James McTeigue
Genres: Sci-Fi | Thriller
Grade: C+
แครอล แบนเนล(Nicole Kidman)จิตแพทย์สาวที่ใช้ชีวิตไปกับวัยทำงานที่ต้องให้คำแนะนำคนไข้ทุกครั้งที่เข้ามาปรึกษา ในขณะที่ชีวิตก็เริ่มราบรื่นอย่างดีกับโอลิเวอร์ลูกชายคนเดียว(Jackson Bond)ที่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่แล้วผู้ที่มาขอคำปรึกษาก็เล่าสิ่งที่แสดงถึงความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่งทำให้แครอลต้องแปลกใจกับเรื่องนอกตำรา จึงได้ขอความช่วยเหลือจากเบน ดริสคอล (Daniel Craig)ในการเสาะหาความน่าเชื่อที่เกิดขึ้นจากโรคชนิดนี้
จนกระทั่งเชื้อโรคนี้ไม่ใช่เชื้ออย่างที่รู้สึกกันดีเพราะไม่ได้เกิดบนโลกมาก่อนและทำหน้าที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วแบบลับๆ เมื่อเสาะหาคำตอบไปเรื่อยๆกับยิ่งพบว่าเชื้อตัวนี้สามารถเปลี่ยนพันธุกรรมของมนุษย์ทั้งหมดระหว่างที่คนนั้นหลับไปหลังได้รับเชื้อให้กลายเป็นคนใหม่อีกคนที่ไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์อีกต่อไป แต่กว่าจะรู้ว่าเชื้อตัวนี้ทำอะไรได้บ้างก็พลาดไปทางเมื่อลูกของแครอลไม่ได้อยู่ที่เธอ แต่เป็นทัคเกอร์สามีเก่า(Jeremy Northam)ที่มีพฤติกรรมแปลกอย่างเคยซึ่งเธอเองก็เริ่มคิดหนักแล้วว่าลูกจะเป็นเช่นไรต่อไปเมื่อรู้ความจริงแล้วว่าคนสำคัญที่สุดคือลูกของเธอเองที่ต้องรักษาสุดชีวิต ในขณะที่คนรอบกายเริ่มเป็นที่ไม่น่าไว้วางใจเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
The Invasion เป็นหนังดัดแปลงกลายๆ ของ The Invasion of Body Snatchers โดยมีการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องให้แตกต่างไปจากฉบับปี 1956,1978 และ 1993 ของ Warner Bros เอง ก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นนวนิยายตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในปี 1955 ของแจ๊ค ฟินนี่เรื่อง The Body Snatchers
The Invasion มีปัญหาในเนื้อเรื่องที่ไม่ถูกตาถูกใจ จึงไม่แปลกหรอกว่าทำไมอารมณ์ที่ได้บางช่วงบางจุดถึงมีโทนที่แตกต่าง ซึ่งการทำแบบนี้ทำให้หนังมองค่าว่าไม่สมบูรณ์จนในต่างประเทศมองว่าหนังไม่ดีบ้าง ออกมาแย่บ้าง ติดนู้นติดนี่บ้าง ทั้งนี่เพราะกว่าจะเป็นหนังให้ชมก็ผ่านขั้นตอนไม่จำเป็นมาเยอะไม่น้อย แต่ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่นักวิจารณ์เมืองนอกจะกล่าวๆมาไปซะทุกอย่าง เพราะว่ายังสร้างความบันเทิงให้ชมกันได้อยู่ระดับที่ไม่แย่แค่ขอติดคำว่าก้ำกึ้งนิดนึงเป็นอันพอ ที่ว่ายังก้ำกึ้งนั้นมีสาเหตุมาจากการดำเนินเนื้อเรื่องที่ไม่เท่าไหร่หรือไม่อิ่มปากอิ่มคอทั้งที่พล็อตออกแสนจะไปในมุมกว้างและใช้คำอธิบายได้ลึกซึ้งกว่านั้นมาก อันดับแรกหนังนั้นมีการดำเนินเรื่องที่เหมือนโรคระบาด ฉะนั้นในส่วนนี้ถ้าอยากให้ภาพพจน์มีความสมจริงสมจังต้องเล่นกับตัวละครเยอะๆให้ดูวุ่นวาย แต่ทางตรงกันข้ามรู้สึกเฉยๆและไม่มีอะไรที่เสนอได้กว้างอย่างที่ควรเพราะหนังพยายามหาจุดอัปที่ไม่เล่นความกลลาหล โดยสิ่งที่ทดแทนมาคือการไล่ล่าและผสมแอ็คชั่นเล็กน้อย
อันดับสองคิดว่าเป็นเนื้อหาที่เข้ากับสังคมได้อย่างดีแม้จะลงเอยในส่วนเล็กๆและเว่อร์ไปหน่อยก็ตาม ถ้าคิดเสียว่านี้คือหนังเล่าประเด็นสังคมจะมีความหมายขึ้นมาทันที จากตัวเชื่อมระหว่างประเด็นกับสังคมคือการใช้ชีวิตของมนุษย์ที่เป็นเรื่องจริง และเรื่องจริงนี้เองที่น่าคิดว่าถ้าเชื้อโรคนี่แพร่ไปหมดทั้งโลกจะดีขึ้นใช่หรือไม่ ก็ในเมื่อผลลัพธ์ออกมาดีซะขนาดนั้น
ต้องเล่าก่อนว่าเชื้อโรคนี้ไม่ใช่เชื้อโรคธรรมดาอย่างการทดลองผิดพลาดทางวิทยาศาสตร์หรือผลพวงทางสารเคมีที่รุกร้ามเข้าสิ่งมีชีวิต หรือง่ายๆมันไม่ได้เกิดจากโลกแต่มาจากนอกโลก การที่เชื้อโรคนี่มายังโลกได้เพราะนักบินอวกาศที่พาเชื้อตัวนี้มายังโลกจากการแพร่กระจายของเครื่องบินอวกาศที่ตกกระจายแยกชิ้นส่วนไปตามทิศทางต่างๆ จากการตกไปในทิศทางต่างๆแสดงให้เห็นถึงการก้าวล้ำขอบเขตที่ไม่สามารถระบุได้ว่าไปตกกันที่ไหนบ้าง จึงเกิดเป็นว่าหนังไปได้เร็วกับการแพร่เชื้อเพราะความรู้ไม่เท่าการณ์ในเชื้อสายพันธุ์นี้ เนื้อเรื่องจึงหนักไปทางการไล่ล่าระหว่างคนปกติกับคนไม่ปกติ
คนที่ปกติก็คือผู้ไม่ได้ติดเชื้อ ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภท คือหนีจากการตัวเชื้อกับมีภูมิคุ้มกันที่ต่อต้านตัวเชื้อ สำหรับคนที่มีภูมิต้านทานจะเป็นตัวละครสำคัญที่สามารถหาคำตอบต้านเชื้อโรคนี่ได้ ซึ่งหนังได้วางแผนเนื้อเรื่องไว้ว่าอย่าเอาคำตอบที่ใกล้ตัวมาวางไว้ในจุดที่ง่าย และต้องทำให้ยากเพื่อเรียกความลำบากของตัวหนังออกมาให้น่าตื่นเต้น
จะเป็นเรื่องที่สมบูรณ์กว่านี้ถ้ามีการใช้โทนที่ลึกมากกว่าจะเป็นความรู้สึกเล็กๆกับการยึดติดสถานที่ ถ้ามองดีๆบรรยากาศหรือสิ่งที่เห็นจะไม่ได้มีอะไรใหม่หรือชวนแปลกมากนักเพราะเล่นกับตัวละครมากกว่า และนักแสดงที่เล่นในเรื่องก็มีสปริตที่เก่งมากๆ โดยเฉพาะกับนักแสดงที่รู้จักกันดีกับ Nicole Kidman เธอแสดงได้ดีและเก่งในการเก็บรายละเอียดที่แสดงออกมา มีความเป็นตัวละครในเรื่องที่ไม่หลุดกรอบ ดูมีอารมณ์ร่วมกับเหตุการณ์ในเรื่องที่น่าชื่นชมที่แสดงให้เห็นว่ามีความห่วงลูกตัวเองมากแค่ไหน แถมยังแสดงได้ระเบียบที่ดีอีกด้วยกับฐานะในเรื่องกับการเป็นจิตแพทย์ที่ต้องมีความใจเย็นกับคนไข้ที่ต้องเป็นฝ่ายคุมเกมส์ และอีกคนที่อาจแสดงไม่มากแต่ทุกครั้งที่โผล่ออกมากลับมีเสน่ห์ที่ติดตานั้นคือ Daniel Craig ที่แสดงไม่ด้อยกว่า Nicole Kidman เลย แถมยังมีบุคลิกที่โดดเด่นดูเป็นพระเอกที่เหมาะได้อย่างดี แต่เดี๋ยวก่อนนะเรื่องนี้ถ้าจะมีพระเอกแล้วล่ะก็โดนนางเอกเล่นกลบไปเกือบหมดซะแล้ว เพราะการแจกบทในเรื่องนั้นแหละที่เป็นตัวทำลายมิติตัวละครที่บางครั้งหายไปนานจนลืม เลือกจะหนักทาง Nicole Kidman ตัวละครอื่นๆจึงกลายเป็นตัวประกอบเสริมเติมแต่งไปมากพอสมควร ถ้าคิดอีกแง่หนึ่งก็โอเคกับการอิงสถานการณ์จริงที่หนังดำเนินเรื่องได้ตลอด ไปเรื่อยๆในช่วงแรกและค่อยๆหนักขึ้นจนดำเนินเรื่องอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญเล่นสงครามเย็นกันด้วย
เชื้อโรคตัวนี้มีผลกระทบอยู่อย่างหนึ่งคือผู้ติดเชื้อจะเหมือนถูกรีเชทเครื่องใหม่ ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกนึกอยากตามความคิดของเจตนารมณ์ความต้องการ มีเพียงแต่สิ่งที่ต้องทำในชีวิตประจำวันคือ กิน อยู่ ทำงาน นอน เป็นกิจวัตรที่ไม่มีการตอบสนองต่อเรื่องอื่น เมื่อไม่มีการตอบสนองในความคิดใหม่สิ่งที่ได้คือระเบียบที่ไม่ต้องพึ่งพากฎต่างๆในบังคับ แล้วทำไมเชื้อโรคตัวนี้ถึงบังคับควบคุมสมองได้ทั้งที่เป็นแค่เชื้อ นั้นเพราะว่าเชื้อโรคนี้หรืออีกนัยหนึ่งคือเอเลี่ยนที่สามารถปรับเปลี่ยนพันธุกรรมให้เปลี่ยนไปจากเดิมกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่แน่นิ่งเมินเฉย คำถามคือเป็นเรื่องดีหรือเปล่าที่การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้สันดานดิบมนุษย์หายไป ไม่ก่อความวุ่นวาย ไม่มีสงคราม ทุกอย่างคืนสู่สันติ ไม่จำเป็นต้องใช้กฎหมาย ก็นับว่าเป็นประเด็นของหนังดีๆนี่เองที่น่าคิดว่าถ้าเชื้อโรคนี้ทำให้ทุกอย่างสันติก็ควรให้เกิด แต่เผอิญมันคัดต่อสำนึกมนุษย์ธรรมดาๆที่อยากมีอะไรใหม่ๆ มีความรู้สึกที่คิดเองได้ มีความสุข มีความรักมากกว่าการเป็นไปเฉยๆที่ผ่านแล้วผ่านเลย แต่สิ่งหนึ่งที่เชื้อโรคตัวนี้ทำได้แต่มนุษย์ปกติทำไม่ได้คือการไม่มีสงคราม ไม่มีการแบ่งชนชั้น
สงครามเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานที่เกิดแทบทุกยุคทุกสมัยทั้งที่ควรจะดีขึ้น ปรากฏว่านอกจากไม่มีดีแล้วยังย่ำแย่ลงเรื่อยๆกับการไม่ยอมใครที่มุ่งแต่จะชนะจนลืมไปแล้วว่าการเสียสละที่น่าได้รับการยกย่องกลับเป็นการฆ่าตัวตายเพื่อคนเห็นแก่ตัว แถมสิ่งที่ทำให้มนุษย์อย่างเราๆไม่มีอิสระคือข้อบังคับต่างๆที่เกิดขึ้น ว่าจะเป็นกฎหมายที่คุมพฤติกรรมไม่ให้เกินเลย ซึ่งให้อีกแง่เป็นเรื่องที่ดีเพราะจะได้มีขอบเขตที่เหมาะสม แต่มีคำถามอีกแล้วคือถ้าไม่มีขอบเขตบังคับจะสามารถอยู่แบบไม่มีปัญหาต่อกันได้ไหม
คำตอบคงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนด้วยยุคสมัยที่เกิดขึ้นความแตกต่างก็ผสมผสานจนมีรูปแบบที่ไม่หลงตัว ทุกคนมีความคิดที่แตกต่างมีอุดมการณ์ที่ยึดติดกับสิ่งที่คิด ไม่มีเรื่องของสำนึกภายใต้จิตใจแบบสัตว์ที่อยู่ดำรงกันอย่างปกติที่ใช้ธรรมชาติตัดสิน ในขณะที่มนุษย์เลือกต่อต้านธรรมชาติฝืนทำในสิ่งธรรมชาติไม่มีในรูปแบบ ก็คิดได้ดีเหมือนกันกับสาระของเนื้อเรื่องที่ถ้าทำให้ลุ่มลึกน่าคิดกว่านี้คงมีอะไรให้น่าพิจารณาในชีวิตอย่างมาก
ในด้านบรรยากาศก็ออกแนวโทนเฉพาะตัวมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ มีอารมณ์ร่วมได้ดีในช่วงหลังๆของเรื่อง ซึ่งช่วงแรกออกแนวไปเรื่อยๆกับการแนะนำตัวละครกับชีวิตของแครอลที่มีลูก ที่จู่ๆทัดเกอร์พ่อของโอลิเวอร์ได้โทรมาเพื่อขอพบลูกและเลี้ยงในสัปดาห์นี้ ทั้งที่ในใจก็คิดว่าเป็นเรื่องแปลก ในขณะที่แครอลเหมือนจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกับเบนที่เริ่มสนิทสนม แต่แล้วก็เกิดเชื้อโรคนี้ขึ้นมาและเริ่มรู้แล้วใครติดเชื้อไปบ้าง จุดเด่นของเชื้อโรคนี้ทีน่าสนใจอย่างมากคือการบีบบังคับตัวละครกันแบบสุดๆเริ่มจากระดับการติดเชื้อที่สมบูรณ์และไม่สมบูรณ์ สำหรับสมบูรณ์คือผู้ที่ติดไปแล้วอย่างเต็มตัวทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอย่างเคย และไม่สมบูณ์คือผู้ติดเชื้อไปแล้วแต่ยังไม่แสดงอาการออกมาเพราะต้องนอนเสียก่อน เนื่องจากเชื้อตัวนี้มีการทำงานได้ดีตอนนอน
ฉะนั้นห้ามนอนอย่างเด็ดขาด แต่ทุกคนต้องนอนและคงไม่มีใครที่อดนอนได้นานพอไปตลอดทั้งชีวิต หนังจึงเล่นฉากประมาณว่าเอาให้ลุ้นกำลังอารมณ์ง่วงๆที่เริ่มเคลิ้มจนหลับ ซึ่งได้แต่เอาใจช่วยว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาปลุกเร็วๆซะที และอีกอย่างที่ห้ามคืออย่าแสดงสิ่งที่ส่อถึงความรู้สึก อย่างเหงื่อที่ห้ามมีให้เห็นหรือจะต้องอยู่นิ่งๆห้ามแสดงอารมณ์ออกมาให้เห็นเด็ดขาด
ที่ชอบอีกอย่างคือตัวหนังมีความฉลาดไม่น้อยที่ให้ตัวละครคิดเป็นว่าจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากับการอยู่กับคนที่ติดเชื้ออย่างไงให้ไม่ผิดสังเกต ซึ่งมองว่าใช่ได้ดีเลยเพราะเล่นกับการแสดงของนักแสดงยังไม่พอ ยังเล่นกับลักษณะรูปพรรณที่ต้องนิ่งเข้าไว้ เป็นการฝึกใจที่ต้องรู้สึกควบคุมให้เย็นเข้าไว้ ยิ่งใจร้อนก็ยิ่งถูกจับผิดง่ายๆ แต่ยิ่งใจเย็นเท่าไหร่ก็ยิ่งกลมกลืนมากเท่านั้น
The Invasion ในเรื่องสร้างสถานการณ์จัดว่าบีบบังคับให้จำทนได้ดี พวกคนที่ติดเชื้อเองก็ใช่ว่าจะเฉยๆยังมีอุบายต่างๆที่แสดงถึงความฉลาดออกมาไม่น้อยกว่าตัวละครที่ก้าวทันความคิด จะเหลือก็แต่เวลาเท่านั้นว่าใครจะเร็วกว่ากัน ก็ในเมื่อเชื้อเริ่มกระจายอย่างรวดเร็วเพราะจัดการเข้าควบคุมคนตำแหน่งสูงเสียก่อนและไต่ระดับลงมาในกลุ่มปถุชน ซึ่งเห็นได้ว่าการติดเชื้อนี่ไม่ธรรมดาเหมือนไวรัสซอมบี้ที่ติดเชื้อเข้าไปก็คลั่งไร้สมองทันที
น่าเสียดายที่หนังไปไม่สุดกับการอธิบายอย่างละเอียดว่าตัวละครมีที่ไปที่มาอย่างไร ไม่รู้แม้กระทั่งว่าคนที่ไม่ติดเชื้อหายหัวไปไหนกันหมด เว้นแต่ว่าจู่ๆก็โผล่ออกมาช่วยเหลือโดยไม่รู้ว่ามาจากที่ไหนซึ่งในทางกลับกันไว้ใจกันได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ จึงกลายเป็นว่าคลี่คลายปมได้ง่ายไปหน่อย แต่เอาเถอะหนังได้ดีในเรื่องการแสดงที่เข้มข้นกันอยู่แล้วและในการทำสร้างสถานการณ์บีบบังคับที่จัดว่าน่าลุ้น ตื่นเต้นกันไปตามๆกันกับแนวทริลเลอร์-ไซไฟที่ให้ข้อคิดกับเรื่องการเมืองและสงครามได้ถูกจุด คิดว่าคงเป็นที่ชอบกันหลายคนไม่น้อยถึงจะไม่ถึงที่สุดแต่นับได้ว่าเป็นไปตามมาตรฐานในหลายด้านๆ อาจไม่หลงตัวแต่ชมเพลินดีในระดับพอเหมาะโดยเฉพาะนักแสดงที่คุ้มค่าและยกระดับหนังไม่น่าเบื่อ