Drive (2011) | ขับดิบ ขับเดือด ขับดุ | S
Director: Nicolas Winding Refn
Genres: Action | Drama
Drive คือนักขับ เราไม่รู้หรอกว่าชื่อตัวตนที่แท้จริงของเขาคือใครนอกจากการทำสิ่งเป็นคือคนขับรถ(Ryan Gosling)ด้วยชีวิตคาบกลางวันมีหน้าที่เป็นสตั้นแมนในฉากขับรถให้สภาพออกมาสมบูรณ์ งานนี้คงอันตรายอย่างมากจนบางคนไม่มีกะจิตกะใจพอจะกล้า สำหรับชายผู้นี้ยังคิดว่าเป็นงานเบื่อหน่ายที่หมดสภาพของความตื่นเต้นใดๆ ฉะนั้นยามกลางคืนเขาจะทำงานพิเศษเป็นคนขับรถให้กับโจรเพื่อใช้ในการหลบหนี บางทีการหนีตำรวจเป็นงานระทึกเร้าใจของเขามากกว่า ด้วยอารมณ์นิ่งสงบมีคำตอบเดียวคือเราไม่รู้ว่าในใจกำลังคิดอะไรบ้าง ที่เห็นนอกจากความนิ่งกับสมาธิแล้วเราไม่รู้อะไรเลย ขนาดตกในสถานการณ์อันตรายยังคงฝีมือเอาตัวรอดได้อย่างเชี่ยวชาญด้วยความใจเย็น สิ่งเหล่านี้ยังทำให้เขาสงบอยู่ได้แต่ไม่เท่าการได้พบผู้หญิงคนหนึ่งข้างห้องที่สายตาและใจของเขาเกิดสะดุดขึ้นมากับไอรีน(Carey Mulligan)
เพราะทั้งชีวิตเป็นไปไม่ได้มากกว่าคนขับรถจึงมีชีวิตไปวันๆกับความเบื่อหน่ายที่ซิ่งจนชินและชา เมื่อพบไอรีนหญิงสาวแสนดีที่อาศัยอยู่ห้องข้างๆพร้อมลูกชายวัยกำลังซน ทั้งคู่เริ่มมีปมเล็กๆถูกชะตากันในทันที และต่างใช้ชีวิตในช่วงระยะสั้นๆใกล้สนิทกันจนต่างรู้ใจของกันมากพอ จนกระทั่งสแตนดาร์ด(Oscar Isaac)สามีของไอดีนพ้นโทษจากคุกออกมา นั้นทำให้เขาต้องถอยห่างออกจากชีวิตไอรีนเพื่อเว้นระยะห่างที่ควรเป็นเอาไว้ แต่แล้วปัญหาจากเรื่องราวของคุกทำให้สแตนดาร์ดต้องส่งผลร้ายแรง เพราะไม่ได้จ่ายค่าคุ้มครองครบถ้วน เลยต้องกลับมาสู่หนทางของโจรอาชญากรรมอีกครั้งเพื่อใช้หนี้ ซึ่งถ้าเขาไม่ทำครอบครัวเขาจะต้องตกอยู่ในอันตรายจากแก็งค์มาเฟีย ด้วยเหตุนี้หนุ่มขับรถต้องขอยื่นมือเข้ามาช่วยร่วมวงการปล้นครั้งนี้ ก่อนจะพบว่ามีเบื้องหลังมากกว่าครั้งที่ผ่านมาที่เป็นการแสแสร้งจากใครบางคนให้ต้องทำ และนั้นทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องตกที่นั่งลำบากจากอันตราย
"ทุกอย่างที่เกิดขึ้น 5 นาทีฉันรับเอง ไม่ว่ายังไงถ้าเกิน 5 นาทีฉันไม่เกี่ยว ต้องหาทางเอง"
บางทีพล็อตแบบนี้ยังไม่มีจุดเด่นอะไรให้นำเสนอ หลายคนอาจคิดว่าจุดพีคอยู่ที่การหักมุมในตอนท้าย เนื่องจากการปล้นครั้งนี้มีเบื้องหลัง แต่ทว่านั้นไม่ใช่ของเด็ดเท่าสิ่งที่หนังต้องการมากกว่านั้น ตอนเปิดตัวเริ่มที่ชายขับรถที่คอยบางอย่างโดยมีการนัดแนะอย่างดีถึงขอบเขตเวลา ซึ่งการรอคอยครั้งนี้เป็นการรอโจนปล้นเงินที่ต้องเสร็จภายในไม่เกินห้าที
แต่พอโจรขึ้นรถพร้อมกระเป๋าเงินเมื่อไรหน้าที่ของคนขับรถต้องไปส่งที่เป้าหมายให้ได้ก่อนถูกจับ นอกจากจะช่วยโจรแล้วยังต้องช่วยตัวเองเพื่อเอาตัวรอดอีกด้วย ด้วยพฤติกรรมแบบนี้แสดงออกถึงความรอบคอบที่ตัวคนขับต้องพร้อมเป็นอย่างดี เช่นชีวิตเบื้องหลังงานพิเศษเป็นสตั้นแมนที่ต้องระมัดระวังทุกฝีก้าวที่ขับเกียร์ออกไปว่ามีความรับผิดชอบในชีวิตตัวเองมากแค่ไหน ไม่ใช่แค่รอบคอบเท่านั้น ยังรวมถึงอาการใจเย็นไม่รีบไม่ร้อนที่แผ่ซ่านถึงความแน่นิ่งในอารมณ์ เป็นได้ว่าพระเอกคนนี้หน้าตาเฉยชา แต่ต่อยหนักและเจ็บกว่าที่เห็น
"เป็นไปได้หรือไหมว่าความรักทำให้คนตาบอด"กับ"เริ่มด้วยโรแมนติก"
คนขับรถมีหน้าที่ทำให้รถวิ่งได้ จะเป็นยังไงถ้าคนขับรถจะให้ความรักวิ่งในใจ จะต่างอะไรกับตัวละครที่นักขับที่ยื่นเข้าช่วยเหลือสแตนดาร์ดในการปล้นโรงจำนำ ไม่หรอกไม่ได้ช่วยสแตนดาร์ด เขามีเจตนาชัดเจนอยู่ในตัวอยู่แล้วว่าเพื่อช่วยไอรีนและลูกชายของเธอให้ปลอดภัย แม้จะหาทางอื่นไม่ได้จนต้องจมปลักด้วยหนทางที่ผิดและนอกลู่นอกทาง แต่นั้นคือทางออกที่ดีที่สุดในการปกป้องคนที่รัก มันเป็นการวิธีการที่เขาถนัดมากที่สุดทำให้เขาทุ่มยอมทุกอย่างเพื่อคนรักจะได้ปลอดภัย แม้สิ่งที่ทำจะมองว่าอันตรายจนคนรอบข้างตีห่างออกก็ตาม ฉะนั้นสิ่งที่คนขับรถทำไม่ได้ขับรถไปบนถนนอย่างเช่นคนตาบอดเพียงเป็นคนขับรถคนหนึ่งเท่านั้น
ตั้งแต่เจอไอรีนโทนของหนังเริ่มมีความรักเข้ามาทีเล็กทีละน้อยจนค่อยๆพัฒนาเป็นความผูกพันธ์ของทั้งคู่อย่างชัดเจน และเป็นไปได้อีกเรื่อยๆว่าอาจจบลงอย่างมีความสุขเป็นครอบครัวใหม่ ทว่าสิ่งที่เนื้อหาของหนังก้าวเข้ามาคือการให้ขอบเขตเรื่องความรักที่ไม่มีทางเป็นไปได้ เฉกเช่นที่เราหวังเอาอย่างสูงเลยว่าความรักของทั้งคู่ไปตามหวังอย่างแน่นอน ก่อนจะให้ตัวละครสแตนดาร์ดเข้ามาในเนื้อเรื่องในแบบนักโทษพ้นคุกออกมา ทีแรกผู้ชมคงมีความสุขอย่างมากที่ได้เห็นความสัมพันธ์ที่ผ่านทางความโรแมนติกที่ได้น่ากลมกล่อม ไม่เว่อร์หรือน่าตะหงิดใจอะไร มิหนำซ้ำไปได้สวยแบบฟีวกู๊ดอย่างสบายตาสบายอารมณ์ ทั้งเพลงประกอบที่เป็นไปด้วยรสเนื้อเดียวกัน จะได้ว่าช่วงแรกคือความสุขที่สั่งสมอยากไว้ใกล้ตัว
"นิทานกบกับแมงป่อง"
กาลครั้งหนึ่งมีแมงป่องตัวหนึ่งอยากข้ามแม่น้ำไปแต่เพราะว่ายน้ำไม่เป็นจึงขอความช่วยเหลือจากกบ แต่เจ้ากบตัวนั้นปฏิเสธทันที แมงป่องเองร้องขอด้วยความกรุณาให้ช่วยไปส่ง กบถาม"แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าเจ้าจะไปต่อยข้า" แมงป่องตอบทันที"ถ้าข้าต่อยเจ้า เราทั้งคู่จะจบน้ำด้วยกัน ฉะนั้นไม่ว่ายังไงถ้าข้าต่อยก็ไม่รอด" ฉะนั้นแมงป่องถึงขี่หลังกบพร้อมข้ามแม่น้ำไปด้วยกัน ทว่าระหว่างทางนั้นเองเจ้าแมงป่องกลับต่อยกบ "เจ้าต่อยข้าทำไม"กบถาม แมงป่องตอบอย่างง่ายดาย"เพราะข้าเป็นแมงป่อง"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการทำอะไรลงไปอาจไม่ใช่เพราะความตั้งใจจริง เพราะสิ่งนี้คือ"สัญชาตญาณ" คนขับรถขับได้เพราะสำนึกว่าต้องไป เมื่อมีเป้าหมายเส้นทางย่อมเคลื่อนที่ นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมแมงป่องต้องต่อย คนเราก็ไม่สามารถตัดสินอะไรต่างๆได้อย่างผิวเผิน
แล้วใครคือแมงป่อง ถ้ามองลงไปที่เสื้อของพระเอกจะเห็นว่าทุกครั้งจะเป็นลายแมงป่องอยู่กลางหลังตลอดเวลา แสดงว่านี่เป็นสัญญาลักษณ์ตัวแทนแมงป่อง แล้วจะใช่ทุกครั้งหรือเปล่า บางทีเหตุการณ์ไม่ได้ระบุไปทุกครั้งว่าแมงป่องต้องใช่คนที่ต่อย แต่น่าจะหมายถึงกบที่หลบการต่อยอยู่ เช่นเรื่องของพระเอกที่นอกจากจะเป็นแมงป่องแสดงความดิบออกมา ยังเป็นได้ทั้งกบที่เผชิญอันตรายจากการช่วยไอรีนข้ามแม่น้ำ เป็นว่าการยื่นมือเข้าช่วยเท่ากับเป็นข้อตกลงถึงว่าจะข้ามแม่น้ำอย่างสมบูรณ์ ทว่าระหว่างว่ายน้ำแมงป่องจะต่อยโดนกบหรือเปล่าก็เท่านั้น ฉะนั้นจึงเป็นภาวะความเสี่ยงไปแล้วว่าอาจมีชีวิตไม่รอดกลับมา นอกจากนี้ยังตีความไปได้อีกอย่างว่ากบไม่ช่วยข้ามแม่น้ำ แต่พาจมน้ำจะเป็นยังไง เพราะสิ่งที่กบไม่ไว้วางใจก็คือเป็นสัญชาตญาณเหมือนกัน
ประเด็นเป็นพระเอก(แมงป่อง)จะช่วยปล้น(ข้ามแม่น้ำ)เกิดถูกหักหลัง(สัญชาตญาณจากกบ) หรือจะสลับกันสุดท้ายการตัดสินอะไรที่เพื่อจะช่วยเท่ากับต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงอยู่ดี เพราะอย่างที่รู้เราตัดสินอะไรไม่ได้แค่ผิวเผิน และเชื่อว่าจุดนี้เองถ้าใครเข้าใจแก่นตรงนี้ดีจะรู้สึกลุ้นไปตามๆกันว่าสุดท้ายแล้วชะตากรรมบนเส้นดายของพระเอกสมควรถูกให้จมน้ำหรือขึ้นฝั่ง
"โรแมนติกสุดอาร์ตกับลีลาสุดเท่ของความดิบ"
การได้คนขับรถในบทชายที่ไม่กลัวตายและทำทุกอย่างเพื่อคนที่เขารัก แม้มันอาจจะนอกนอกลู่นอกทางไปบ้าง สิ่งนี้ทำให้เห็นถึงเส้นกั้นระหว่างขาวกับดำหรือคนดีกับคนเลว หัวใจสำคัญของ Drive คือตัวพระเอก มีความรักมีเสน่ห์ที่ไม่ต้องหยิบยืมจากใครโดยไม่รู้สึกขัดแย้งในใจ ที่สำคัญนอกจากบทบาทนักแสดงคนอื่นๆแล้วก็ไม่มีใครเทียบศักยภาพตัวละครนี้ได้
เรียกได้ว่า Drive ส่งเสริมทักษะการแสดงของ Ryan Gosling ได้อย่างตรงตัว ไม่ใช่แค่รับบทเท่านั้นที่ออกผลมาน่าดูชม ทั้งต้องเป็นการแสดงบุคลิกตัวละครนั้นๆอย่างมีเวทมนต์ จนเชื่อว่านี่คือตัวละครที่เป็นตัวของตัวเองมากที่สุดแล้วนั้นจะทำให้ผู้ชมหลงรัก เข้าใจ พร้อมทั้งอยากเอาใจช่วยอย่างไม่ลังเล แม้จะพูดน้อย แสดงน้อย ทำท่าทางไม่มากเกินจำไม่ได้ แต่นักแสดง Ryan Gosling ยังประคับประคองด้วยดุลยภาพของความนิ่งได้สมองค์ครบประกอบกลายเป็นความโดดเด่นแม้ไม่ต้องขยับมาก
Drive มีส่วนผสมของแอ็คชั่นเข้าไประดับปานกลางไม่ถึงขั้นว่าต้องใช้คำว่าระห่ำ สิ่งสำคัญที่เป็นรูปแบบชั้นเชิงคือให้ความรุนแรง มีฉากโหดอยู่ในระดับหนังสยองขวัญขายแหวะที่ให้เลือดให้เนื้อกันเต็มตา สิ่งเหล่านี้ถูกจัดใส่มาสั้นๆห้วนๆในจังหวะที่ผู้ชมคาดไม่ถึงเพื่อเป็นการพลิกสถานการณ์จากขั้วดีขั้วร้าย จากฉากที่กล่าวขวัญและน่ายกย่องว่ายอดเยี่ยมแห่งปีคือ Slow Motion First Kiss ที่ไร้บทสนทนาต่างคนต่างไม่เอ่ยปาก เริ่มตั้งแต่นักขับกับไอรีนเดินเข้าไปในลิฟท์ที่มีชายหนุ่มร่างใหญ่ยืนอยู่ในนั้น ก่อนที่หนุ่มนักขับจะสังเกตว่าชายคนนั้นพกอาวุธปืนและน่าจะเป็นคนของแก็งค์มาเฟียที่จะมาทำร้ายไอรีนและลูกชายของเธอ จากนั้นกล้องก็ค่อยๆเผยมุมกว้างขึ้นเผยให้เห็นว่าหนุ่มนักขับค่อยๆใช้แขนของเขากันตัวไอรีนให้ถอยห่างจากชายคนนั้นอย่างช้าๆผ่านมุมของแสงไฟภายในลิฟท์ที่เปรียบเสมือนจุดเปลี่ยนแปลงของห้วงเวลาทั้งหมด แล้วนักขับค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปใกล้หญิงสาวและจูบอย่างนิ่มนวลอย่างช้าๆ ด้วยภาพที่เห็นไม่จำเป็นต้องหาถ้อยคำมาอธิบายให้มากความ เพราะสิ่งที่เห็นเป็นเหมือนตัวแทนทุกสิ่งผ่านความรัก และการปลดปล่อยของตัวละครทั้งสองอย่างไร้ที่ติ หลังจากนั้นถึงคราวจัดการชายคนนั้นที่มีปืน
ย้อนกลับมาที่ความรุนแรงอย่างมีชั้นเชิงที่เสนอได้ดิบสุดกู่ แต่ในความดิบไม่ใช่ว่าจะออกมาได้น่าหดหู่หรือสะใจ เดิมทีตัวหนังได้มาพร้อมกับโรแมนติกและดราม่าแสนอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่ออย่างที่กล่าวเอาไว้ เมื่อพูดถึงความรุนแรงสิ่งที่เกิดขึ้นนอกจากการกระทำผ่านมือผ่านเท้ายังต้องเรื่องของจิตใจที่กระชากอารมณ์ผู้ชมกับอารมณ์ผันผวนของพระเอก ที่เปลี่ยนจากชายหนุ่มยิ้มหวานมาดสุภาพ ใจเย็น มั่นคง มาเป็นจอมโหดเลือดขึ้นหน้าได้ในไม่กี่นาที ไม่สิต้องไม่กี่วินาทีถึงจะเรียกว่ากระชากใจ ก็เป็นอีกความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างเลวดีกับขาวดำ
ความโรแมนติกไม่ได้แฝงด้วยอารมณ์น่ารักน่าหวานอย่างเดียว ทั้งพร้อมด้วยความสุนทรีภาพของการแช่กล้องไม่ตัดต่อฉึบฉับ และนั้นเองที่ทำให้การมองหน้าตัวละครมีมิติที่ลึกออกไปกับหน้าตาผ่านถึงจิตใจ จุดเริ่มต้นที่หลายคนคือการออกเดทด้วยการนั่งรถไปด้วยกันที่พร้อมไอรีนกับลูกและนักขับ รวมถึงการกลับบ้านที่นักขับอุ้มลูกของไอรีนที่แสดงแผ่นหลังอย่างนุ่มนวลกับความเท่ของสุภาพบุรุษ
ทว่าหนังสร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้ชมด้วยกลเม็ดเดิมๆ แต่ผลออกมาดีเกินคาด ทั้งการเริ่มปัญหาจนมีความแค้น จนถึงการจบเรื่องราวด้วยการชำระแค้น ผ่านตัวละครหลักที่คุ้นเคยตามสูตร แม้ตัวละครคนขับจะไม่มีการปูพื้นเรื่องราวอย่างเข้าใจถึงความหลังก็ยังเข้าใจว่านิสัยใจคอคือของแท้ การกระทำของเขาอาจไม่ใช่เรื่องแก้แค้นร้อยเปอร์เซ็นต์ในช่วงแรก มาช่วงหลังคือการแก้แค้นที่แน่นอน ไม่ว่าจะโดนสถานการณ์บีบบังคับ สัญชาตญาณ หรือเพราะอะไรตามแต่ สิ่งหนึ่งที่มองเห็นคือการตอบโต้ อาจเป็นการตอบโต้ด้วยการปกป้องอย่างสันติภาพ ซึ่งช่วงหลังเป็นการเอาคืน แม้นักขับหน้าตามาดนิ่งยังไงการกระทำมีคำพูดอยู่ในตัวและนั้นล่ะมั้งที่ความแค้นถูกใช้อย่างดิบๆกับเรื่องเนียนๆ
Drive ตั้งประเด็นให้ผู้ชมได้ตีความได้มากกว่าหนึ่งมุมมอง พระเอกเป็นคนดีสุภาพบุรุษที่น่าเคารพมากแค่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะการกระทำของเขามีทั้งปล้นและฆ่า ฉะนั้นเขาเป็นคนเลวหรือไม่ ถ้าสิ่งที่เขาทำคือการช่วยเหลือใครบางคนแล้วการได้ช่วยใครคนนั้นจะส่งผลกระทบให้ใครอีกคนถูกทำร้ายหรือเปล่า และยังมีอีกหลายตัวละครที่มีระยะก่ำกึ่งดีกับชั่ว นับเป็นความฉลาดของหนังในการเพิ่มมิติให้บรรดาตัวละครได้อย่างน่าเชื่อถือ ที่ไม่ใช่จะร้ายต้องร้ายสุดขั้วหรือจะดีเพราะขึ้นชื่อพระเอก เนื้อเรื่องชี้ให้ผู้ชมเห็นว่าทุกตัวละครย่อมมีทั้งดีและชั่ว ซึ่งการกระทำของผู้ร้ายในหนังมีเหตุผลมีที่มาเข้าใจได้ ไม่จำเป็นต้องใช้อารมณ์เกินความเข้าใจอย่างตัวโกงหนังบางเรื่องที่โทสะสุดๆ
นอกจากจะให้มุมมองมิติที่ให้ตัวละครมีชีวิตมากกว่าที่เป็นแล้วการผูกเรื่องผูกราวคือจุดสมบูรณ์ของการเชื่อมโยงตัวละครทั้งหมดในการใส่ข้อมูลที่เป็นรูปธรรม ที่น่าสนใจเป็นความขอบเขตที่หนังไม่ระบุเอาไว้ว่าใครถูกใครผิดไม่มีการชี้ทางกำหนดคำตอบที่ตายตัวปล่อยให้ผู้ชมได้ตีความและตัดสินอย่างไร้ข้อกังขา
ฟ้อนท์ชื่อเรื่องที่ใช้สีชมพูบานเย็นแบบที่มักเห็นกันจากหนังยุค 80s มีทิศทางแสดงถึงความเก่า อีกส่วนประกอบที่ถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของหนังเป็นดนตรีประกอบซึ่งมาในแนว Electro-pop ที่ได้เพลง Nightcall ของ Kavinsky เป็นตัวชูหน้าของหนังไม่มีลืม ด้วยเพลงนี้จึงเหมาะแก่เวลากลางคืนอย่างไร้ข้อบกพร่อง ฟังได้อารมณ์ของบรรยากาศหม่นๆในค่ำคืน L.A. ต้องยกความดีความชอบให้แก่ผู้กำกับ Nicolas Winding Refn ที่จัดการกับหนังทั้งเรื่องได้อย่างราบเรียบและนำเสนอแบบน่าทึ่งได้ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องกับคุณภาพล้นจอ จึงไม่แปลกอะไรเลยว่า Drive ที่ทั้งเท่ โรแมนติก และสุดแสนดิบจะได้รางวัล"ผู้กำกับยอดเยี่ยม"จากเทศกาลเมืองคานส์แบบไม่ต้องสงสัย