Hellraiser: Revelations (2011)
เปิดปิดผี ขยี้หนังคน/ปิดเปิดผี นรกไม่มีวันตาย
Director: Victor Garcia
Genres: Horror
Grade: F
รู้สึกจะเป็นตอนที่ 9 ของผีหัวตะปูพินเฮดได้ แถมหนังมารูปโฉมใหม่ที่แฟนๆ(รวมถึงคนเขียน)ยังต้องทำใจก่อนชมเรื่องนี้ แต่อะไรนั้นลองอ่านดูจะรู้ว่าภาคนี้ดีขึ้นหรือเลวร้ายลง
ภาค Revelations เป็นเรื่องราวราวที่ไม่ได้ดำเนินต่อจากภาคใดก่อนหน้านี้ ที่เกิดขึ้นจากสองเพื่อนซี้ นิค แบรดลี่ย์ (Jay Gillespie) และสตีเว่น คราเว่น (Nick Eversman) ออกจกาบ้านหนีเที่ยวยันเม็กซิโกเพื่อหาความท้าทายของชีวิต แล้วเกิดไปเจอชายพิลึกคนหนึ่งที่เสนอกล่องแปลกมาให้แบบฟรี แล้วบอกว่าจะให้ในสิ่งที่สุขกว่าทุกอย่างที่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต ว่าแล้วก็ให้กล่องรูบิคปริศนาเอาไว้ จากนั้นพวกเขาเริ่มอยากลองของกับกล่องใบนี้ ลองทำการเปิดมันเล่นๆ ทว่าความสยองก็เริ่มเปิดต้อนรับพวกเขาจากขุมนรกเช่นกัน
สิ่งที่ทำให้ Hellraiser ภาคนี้โดดเด่นคือการทำเรื่องมาให้เฉพาะกับตัวเอง สังเกตดูได้ว่าภาคหลังๆกลายเป็นหนังแนวสืบสวนที่มีพิเฮดเป็นตัวประกอบไปหมดแล้ว ทั้งการผูกเรื่องที่พินเฮดโผล่มาแวบๆ หรือจะการพยายามโย้งประเด็นถึงพินเฮดให้ได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งนั้นเป็นการจับใส่เข้ามาในโครงเรื่องให้ Hellraiser อยู่ต่อไปแม้จะเริ่มกลายเป็นหนังที่น่าง่วงเข้าไปทุกที่ก็ตาม และเมื่อเทียบกับภาคแรกๆแล้วระดับมันคนละชั้นราวฟ้ากับเหว
การกลับมาในภาคนี้มีทิศทางเป็นของตัวเองเกี่ยงกับประเด็นเรื่องกล่องปริศนาที่พาพินเฮดออกมาได้ชัดเจน รวมถึงการไม่นอกเรื่องที่พาออกทะเล จัดว่าเป็นพล็อตที่น่าจะแจ้งเกิดกลับมาอีกครั้งได้น่าพอใจ ซึ่งหวังเอาไว้มานานแล้วตั้งแต่เริ่มตะหงิดในภาคสาม แล้วเพี้ยนมาเรื่อยๆจนภาคแปดที่เอาพินเฮดเข้าไปเกี่ยวกับโลกไซเบอร์ แต่ก่อนจะรู้ว่าเป็นยังไงเคยสงสัยไหมว่าทำไม Hellraiser ถึงมีภาคต่อเนื่องมามากมายขนาดนี้ได้ทั้งที่ไม่น่าจะถูกใจแฟนๆได้เลยสักนิด อันที่จริงหนังต้องสร้างเพื่อจุดประสงค์ให้หนังเรื่องนี้อยู่ต่อไปกับบริษัท Dimension Films เพื่อไม่ให้สัญญาหมดจึงจำเป็นต้องสร้างภาคต่อ เพื่อไม่ได้ลิขสิทธิ์ตกไปหาเจ้าของได้ ใช่แล้วเพราะเหตุนี้หนังไตรภาคที่ควรจะสยองสมใจต้องตกระดับลงกับการเอาแต่สร้างอย่างเดียวจนไม่ได้พิจารณาระยะยาวถึงคุณภาพที่ดี ฉะนั้นทางบริษัทจึงไม่รีรอทำภาคต่อทันทีอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาดในการเขียนบทเสร็จภายใน 3 อาทิตย์ และเสร็จสิ้นการถ่ายทำเพียงแค่ 11 วันเท่านั้น
ดังนั้นอย่าไปคิดเลยว่าหนังเรื่องนี้จะออกมาดีถ้าทำกันลวกขนาดนี้ อันที่จริงมันก็ดีหน่อยเรื่องความสยองกับการจัดการพวกเมคอัพหรือวางจังหวะกลิ่นอายให้พาหลอนไปได้บ้างในช่วงท้ายเรื่องที่ตอนนั้นพินเฮดจะโผล่มาแบบเต็มๆ ส่วนทำไมถึงโผล่ออกมานั้นอันนี้ก็น่าสนใจ อย่างที่บอกเลยว่าภาคนี้มีเนื้อหาที่โดดเด่นไม่ไปตีบทหนังสยองอื่นๆ แรกๆหนังทำเหมือนจะนอกเรื่อง แต่ที่จริงกำลังให้เราเห็นว่าตัวละครเป็นคนแบบไหนบ้าง และมีสัมพันธ์อย่างไง และทั้งเรื่องใช้แต่คนในครอบครัว ประมาณส่าปัญหาเรื่องครอบครัวที่มีพินเฮดไปเกี่ยวข้องเพราะนิคกับสตีเว่น การเดินเรื่องไปเรื่อยๆอาจมีเบื่อ เพราะมุมกล้องกับทิศทางดูธรรมดาเกินเหตุ หนังมีปมปริศนาบางอย่างซ่อนอยู่ ตัวหนังจะเผยทีละนิดว่านิคกับสตีเว่นเปิดกล่องใบนั้น แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ซึ่งสุดท้ายคนที่รอดกลับมาบ้านคือสตีเว่น แต่เพราะอะไร ทำไมนั้น เดี๋ยวหนังจะค่อยคลายปมไปในตัว
สำหรับพวกปมปริศนาจัดว่าพอมีหักมุมกันได้บ้าง แต่เปอิญว่าตัวหนังไร้ซึ่งความน่าดู ทั้งนักแสดงที่เล่นจะแข็งดี เกร็งดี หรือจะการดำเนินเรื่องที่ไม่มีการกระตุ้นความอยากดูเลย ทำให้มันขาดพลังในการกระตุ้นให้ชมให้คิดให้ติดตาม จึงดูเหนื่อยๆ ต่อให้ความสยองเสิร์ฟมาพักๆก็ไม่ช้วยให้ดีขึ้น จำต้องฝืนใจชมจนจบเท่านั้นเอง
ผู้กำกับ Victor Garcia เองใช่ว่าจะทำหนังเรื่องนี้เป็นครั้งแกซะเมื่อไหร่ เคยทำหนัง Return to House on Haunted Hill (2007) ที่ลงแผ่นมาก่อน ซึ่งมันก็ไม่ได้แย่ แถมดูดีในระดับหนังแผ่นที่คุมทิษทางตัวหนังได้เข้าระเบียบกับภาคแรกได้อย่างสมเหตุสมผล พอมาทำ Hellraiser: Revelations รู้สึกว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิด การคุมตัวหนังก็ดูจะเอาไม่อยู่ ความขลังดูจะหายไปซะสนิทตั้งแต่เริ่มเรื่องจนคิดว่าหนังออกทะเลไกลกว่าเดิมหรือเปล่า แต่ก็ว่าเถอะบทหนังที่เสร็จแบบลวกๆขนาดนั้น ถ้าทำออกมาได้เจ๋งเท่าภาคสามแล้วล่ะก็ ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว จากที่ดูๆเลยนะผู้กำกับพยายามเซฟทุนที่ได้มา 3$ แสน แถมคุมบทหนังให้จำกัดเฉพาะตัวบ้านอีก จะว่าจำเจก็จำเจ ไม่มีฉากอะไรนอกจากภายในบ้านเป็นหลัก เรื่องทุนนี่สุดจะน้อยเหลือเกิน ถ้าได้เยอะอีกหน่อย บางทีการลงทุนที่มีความเสี่ยงอาจจะคุ้มค่ากว่าที่คิดก็ได้ ก็นะ ถ้าไปปรับเรื่องบทหนังให้ดูลื่นๆ มีเรื่องมีราวมากกว่านี้ เตรียมงานกันดีๆ ลงทุนเพิ่มอีก เคลียร์นักแสดงให้เล่นเก่งกว่านี้ซะหน่อย บทสรุปจะได้จบอย่างดงามพร้อมเรียกเต็มปากเต็มคำว่า Hellraiser กลับมาแล้ว
อีกอย่างที่ทำให้ภาคนี้มันไม่มีความขลังจนแทบทิ้งความหลอนไปกว่าทุกภาคก็คือคนที่รับบทพินเฮดไม่ใช่ Doug Bradley คนเดิมที่เคยเล่นมาตั้งแต่ภาคแรก ทว่าอันที่จริงเขาก็จะกลับมาอยู่แล้วตามสปิริตนักแสดงที่ผูกขาดกับบทนี้ เหมือนเฟรดดี้ ครูเกอร์ ที่ต้องให้ Robert Englund มาเล่นมันถึงจะได้อารมณ์ตัวตนเจ้าปีศาจแห่งฝันร้ายจริงๆ พอรู้ว่าจะสร้าง Hellraiser ต่อ Doug Bradley ต้องมาแสดงตามปกติที่ทีมงานได้ติดต่อขอเอาไว้ จนกระทั่งมาเห็นการเตรียมงานของทีมงานเท่านั้นแหละ จำต้องขอบายเลย ไหนจะบทไหนจะการจัดการที่ทิ้งความลงตัวกลายเป็นของลวกๆที่ทำแล้วเสร็จเป็นอันพอ แถมค่าตัวนักแสดงมาลดลงอีก งานนี้ขอกลับบ้านดีกว่า ทำให้ต้องหานักแสดงแทนเป็น tephan Smith Collins ที่รับพินเฮดแล้วอยากจะขำอย่างมาก เพราะความน่ากลัวมันคนละชั้น แถมดูไม่จริงจังยังไงไม่รู้ เจ้าของต้นฉบับยังดีกว่าหลายร้อยเท่าเลย ก็อย่างที่บอกให้ทำใจตั้งแต่ก่อนชมเลยจะดีกว่า เพราะพินเฮดเปลี่ยนหน้าเป็นอะไรที่ขัดแย้งกับตัวเองเหลือเกิน
เอาเป็นว่าความสยองยังพอทำเนา แม้สมัยนี้จะเป็นของง่ายไปแล้วก็ตาม ถ้าจับจังหวะดีๆความสยองจะแรงกว่านี้อย่างที่เคยเกิดในภาคแรกๆ หวังแต่ภาวนากับ Hellraiser ในตอนต่อไปให้ทำดีกว่านี้ให้ชวนอิ่มอร่อยทีเถอะ