Judge Dredd (1995)
จัดจ์เดรดด์ ฅนหน้ากาก 2115/ตุลาการทมิฬ
Director: Danny Cannon
Genres: Action | Crime | Sci-Fi | Thriller
Grade: C+
ที่มาของ Judge Dredd ถูกสร้างขึ้นโดย John Wagner และ Carlos Ezquerra คู่หูนักเขียนตั้งแต่ปี 1977 ค่ายการ์ตูน 2000AD ที่ว่าด้วยเรื่องความโหดร้ายของโลกอนาคตที่นับวันความต้องการยิ่งมากขึ้น อาชญากรก็มากขึ้นตาม จำเป็นต้องสร้างตุลาการขึ้นมาเพื่อลดเวลาการไตร่ตรอง ด้วยความสามารถที่ถูกฝึกฝนด้านทักษะการต่อสู้ และเรื่องกฎหมายที่ให้ตัดสินเด็ดขาดได้ทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย กลุ่มบุคคลนี้เป็นทั้งตำรวจ และผู้พิพากษาในคนเดียว เขาเหล่านั้นคือ Judge ที่ไม่อ้อมอ่อนข้อต่อความผิด เพราะพวกเขาคือกฎหมาย
ณ เมืองเมกกะซิตี้สถานที่เต็มไปด้วยผู้ร้ายและความเสื่อมทราม มีตุลาการเดร็ดด์ (Sylvester Stallone) ที่เป็นหมายเลขหนึ่งคอยจัดการอยู่ตลอดเวลาจนเป็นที่รู้จักกันดี จนกระทั่งวันหนึ่งโดนใส่ความว่าฆ่านักข่าวผู้หนึ่งเข้า และจากหลักฐานก็พิสูจน์ว่าเขาผิดจริง ซึ่งเขาไม่ได้ทำเลยแม้แต่น้อย แม้จะได้รับการช่วยเหลืออย่างเต็มที่แล้วก็ตาม แต่สุดท้ายต้องกลายเป็นนักโทษเสียเอง จากการสืบหาความจริงเขาก็ค้นพบว่าผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือริโก้ (Armand Assante) อดีตคู่หูตุลาการที่โดนเขาสั่งลงโทษด้วยตนเอง แต่ความจริงเขายังไม่ตายและเต็มไปด้วยอารมณ์อยากแก้แค้นเต็มเปี่ยม นั้นยังไม่สะเทือนใจเท่าความจริงที่ปกปิดเข้ามาแสนนาน คือเขาและริโก้คือพี่น้องกันอีกด้วย ศึกสายเลือดของความดีความชั่วจึงได้เริ่มขึ้น สงครามนี้ใครจะพิพากษาใคร
เป็นหนังสือการ์ตูนจัดว่าดังพอตัว พอมาลองเป็นหนังที่ได้ดาราระดับแนวหน้ากลับส่งผลให้กลายเป็นของตายตัวที่ไม่ได้รู้สึกถึงเสน่ห์การเป็นตุลาการเลยอย่างที่ควร ซ้ำร้ายความมันส์ที่ได้ยังรู้สึกว่าน้อยเกินไป กลายเป็นของหวานที่ไม่ลงท้องแล้วรู้สึกจะอิ่มอร่อยเลย ถ้าเป็นจานหลักคงต้องปรุงอีกเยอะ ถ้าอยากจะว่าก็คือการทำแฟนๆบางกลุ่มไม่พอใจในการเปิดเผยตัวตนของตุลาการเดร็ดด์อย่างง่ายดายในบางครั้ง และบางโอกาสที่นาน เพราะเดิมทีเป็นไปแทบไม่ได้เลยว่าตุลาการเดร็ดด์ในคอมมิคจะยอมโผล่หน้าภายใต้หน้ากาก ซึ่งจะว่าตามสถานการณ์ในหนังคงอาจจะต้องว่ากันตามนั้น แต่กับบางฉากนี่สิถอดหมวกออกมาดื้อๆเลย อีกอย่างที่หนีไปไม่พ้นคือการให้ดาราแม่เหล็กมาเล่นในหนังสไตล์แอ็คชั่น เท่ากับว่าส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตพระเอกให้เต็มตา และเป็น Sylvester Stallone ที่โผล่หน้าโผล่ตาให้ชมกันแทบทั้งเรื่องจนทำเอาลืมไปเลยว่านี้ไม่ใช่ Rambo นะเออ
จะไปอีกเหตุผลของเนื้อเรื่องที่จำต้องให้ตุลาการเดร็ดด์ตัดสินใจถอดหน้ากากยังพอเข้าใจได้ถึงสถานะที่เปลี่ยนไปเป็นนักโทษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ไม่น่าเชื่อสำหรับบรรดาเหล่าแฟนพันธุ์แท้เกิดรับไม่ได้อย่างรุนแรงเมื่อหนังให้เดร็ดด์ทำในสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นในฉบับการ์ตูน ทั้งเรื่องอารมณ์ที่เกิดเป็นว่ามีความอ่อนไหว อ่อนจนถึงขนาดต้องจูบคู่หูตุลาการเฮอร์ชีย์ (Diane Lane) จึงไม่แปลกใจเลยว่ามิติของหนังเรื่องนี้ไม่ได้หนักแน่นตามนิสัยเดิมของตุลาการเดร็ดที่ต้องเป็นคนนิ่ง และหัวรุนแรงต่อเหล่าร้าย ในทางผู้กำกับได้เสนอยอมรับในเรื่องการเขียนบทที่ต่างลงความเห็นตรงกันว่าการถอดหมวกจะทำให้เห็นด้านที่เป็นมนุษย์ของตุลาการเดร็ดด์มากขึ้น และอีกอย่างคนที่เล่นไม่ใช่นักแสดงธรรมดาซะที่ไหน แถมใช่ว่าจะยอมถูกจ้างให้ใส่แต่หมวก ฉะนั้นความหนักแน่นของหนังจะไม่ถึงขั้นกดดัน ก็คงเป็นที่โทนที่ขัดเกลาในเรื่องนี้ได้ระดับหนึ่งกับสิ่งปลูกสร้างที่พังโทรมกับสภาพเมืองที่ไม่น่าอยู่เลยสักนิด ขนาดบ้านพักอาศัยของคนธรรมดายังพังยับ ถ้าตรงนี้หนังแสดงออกมาได้ดีเหมาะกับความวุ่นวายที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยผู้ร้าย และปัญหาใหญ่กับ Judge Dredd ที่ไม่น่าเข้าท่าคือบางจังหวะกลายสภาพหนังเป็นรูปแบบไซไฟซะเยอะแทนที่ควรเป็นหนังมหากาพย์เข้าไว้ แอ็คชั่นระทึกประมาณนี้ แต่ยังดีที่การดำเนินเรื่องยังให้โอกาสแสดงศักยภาพต่างๆออกมาผ่านมุมลึกของตัวละคร
บางคนคงจะอ่านการ์ตูนมามากนักต่อนักก็พอจะรู้ว่าหยิบยืมมาจากตอน The Return of Rico ที่ตุลาการเดร็ดด์ต้องเผชิญหน้ากับริโก้พี่น้องฝาแฝด สำหรับการหยิบใช้ตอนนี้มาใช้ก็เพื่อมุ้งเน้นถึงจิตใจของตุลาการเดร็ดด์ในการรับมือมุมมืดของตัวเอง เพราะเหตุนี้ตัวละครตุลาการเดร็ดด์จึงค่อนข้างอ่อนไหว เป็นเหตุผลที่ต้องการแสดงออกความเป็นมนุษย์มากขึ้น และนั้นส่งผลให้ต้องถอดหมวกเพื่อลดความน่ากลัวภายใต้หน้ากาก ประเด็นส่วนแรกของเนื้อเรื่องคือการให้รู้จักตัวละครริโก้ผ่านสายตานักโทษแหกคุกมาเล่นงานตุลาการเดร็ดด์ ด้วยการปลอมตัวเป็นตุลาการเดร็ดด์ไปเล่นงานนักข่าว จนมีหลักฐานที่ฟ้องได้ว่าใครเป็นคนฆ่าอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าตุลาการเดร็ดด์นั้นยังไม่รู้ว่าเป็นใครที่สามารถทำได้เช่นนี้ เพราะตามหลักฐานเรื่องการใช้ปืนต้องมีดีเอ็นเอที่เหมือนกันจึงจะใช้ได้ ด้านตุลาการเดร็ดด์เองก็งงกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนทำ พร้อมกับประกาศว่าตัวเองคือกฎหมาย ประเด็นคือตุลาการเดร็ดด์ไม่รู้ความสัมพันธ์ของริโก้ที่มีลึกมากกว่าเพื่อนในอดีต รวมถึงที่มาของตุลาการเดร็ดด์ตั้งแต่เกิดที่ปลูกจิตสำนึกเรื่องราวแต่เด็กว่าพ่อแม่ของตัวตายตั้งแต่เขายังเด็ก แต่อันที่จริงเกิดมาจากการทดลองต่างหาก รู้เอาล่ะกันว่าเนื้อหาของหนังเข้าประเด็นจิตใจมากแค่ไหน
เมื่อหนังขาดความหนักแน่นที่ยืนด้วยจุดแข็งก็ใช่ว่าจะเท่ากับความจืดชืดในส่วนของแอ็คชั่นที่มีมาน้อยลงไปและไม่ได้เร้าใจจนอยากลุ้นติดตาม จะมีแต่ยกเว้นฉากขี่มอไซค์ไล่ล่าที่สนุกจริงๆ และยังแสดงความสามารถเรื่องฉากตามเมืองที่มากด้วยเอฟเฟคอย่างสมจริง จะว่าเรื่องเอฟเฟคพวกนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้วกับทุนสร้างกว่าๆ 70$ ล้าน ทั้งออกมาค่อนข้างดี มีความเป็นสมัย และขณะเดียวกันหัวใจสำคัญคืออย่าลืมความเป็นการ์ตูนไปซะทั้งหมด ที่เห็นได้ว่าทีแรกเรื่องชุดจะมีการปรับเปลี่ยนพอเอาจริงก็ตามต้นแบบการ์ตูน บ้างว่าออกมาเหมือนบ้างว่ามันเกินไปกับองค์ประกอบ ดูเป็นการ์ตูนมากกว่าจะเรียกว่าหนังก็มี ทั้งนี้การเล่าเรื่องยังเพิ่มเติมความสนุกด้วยเสียงฮา จากนักแสดง Rob Schneider ในบทเฟอร์กี้โจรไฮเทคกระจอกที่ติดพลวงไปกับตุลาการเดร็ดด์จนเผลอๆมองว่าเป็นคู่หู และอย่างที่บอกสาระหนังเล่าได้ตรงไปหน่อยจึงไม่ค่อยเร้าใจ นี่ถ้าไม่ได้ความตลกเข้าช่วยล่ะก็ หนังออกแนวน่าเบื่อกว่าเดิมก็เป็นได้ เพราะแอ็คชั่นน้อยบู๊หน่อยๆ โทนหนังเองก็มืดออกจะซีเรียส ยังดีที่สร้างสีสันได้พอหอมปากหอมคอ
ในส่วนวายร้ายริโก้มาแรงกว่าตัวเอกที่เล่นบทได้เฉียบกว่า ซึ่ง Armand Assante เอาหน้าได้เหมาะมาก แต่ด้วยหนังออกจะตรงตามสูตรแอ็คชั่น ตัวร้ายจึงไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นน่าสนใจเท่าไหร่ ฉะนั้นด้วยมุมมองตัวร้ายที่น่าจะเก่งกาจกลับไม่โดนใจอย่างที่เป็น แต่ก็ถือว่าแสดงเก่งกับพวกคลั่ง ด้าน Sylvester Stallone ก็พอกัน เล่นได้ตรงดี ดูเป็นตุลาการเดร็ดด์ที่นิ่งสมชื่อ แต่นะบทเขียนมาแบบนี้ความอ่อนไหวจำให้อุปนิสัยเดิมของตุลาการเดร็ดด์เปลี่ยนไป และที่สำคัญทีแรกคนที่จะเล่นตุลาการเคร็ดด์เป็น Arnold Schwarzenegger ที่มีเนื้อเรื่องให้เจอตุลาการเดธคู่ปรับคู่แค้นตลอดกาล สุดท้ายทีมงานไม่ชอบเพราะเหมือนลอกการ์ตูนมาทั้งหมด ก็เลยไม่ได้วางกล้องสักทีจนเลยมานานมาก(เริ่มตั้งแต่ ปี 1992) เกิด Arnold Schwarzenegger ต้องขอออกเอง เนื่องจากความยุ่งยากของทีมงานที่กว่าจะได้เรื่องได้ราวก็นาน ระหว่างนั้นที่ได้ออกไปก็ไปเล่น Last Action Hero (1993) ซะแทน
ด้านผู้กำกับ Danny Cannon ไปสบายแล้วกับงานชิ้นต่อเนื่องที่คิดได้ว่าคงเป็นแนวจริงของเขาให้กับเรื่องซี่รีย์ CSI ที่ดังจนได้ตอนต่อทำยาวไปหลายซีซั่น ในตอนที่ Judge Dredd เขาไม่ได้รู้สึกดีใจเลยนะแถมออกเชิงอยากปฏิเสธด้วยว่าไม่ใช่หนังของตัวเองที่ทำเต็มที่ ตอนร่างเอาก็อีกอย่างพอทำจริงก็อีกอย่างเหตุผลมาจาก Sylvester Stallone นี่แหละที่อยากเปลี่ยนนั้นนี่นู้นจนไม่ลงร่องลงรอย อย่างเช่นเรื่องชุดที่มีดีไซน์สุดฉีกแนว แต่เกิดไม่พอใจกับชุดนั้นซะงั้น เพราะต้องการให้ออกมาเหมือนการ์ตูน มีความมันวาว มีเครื่องประดับตกแต่งด้วยสีทอง และโซ่ประดับ จากการตัดสินแบบนี้คิดว่าโทนของหนังเปลี่ยนไปเลยทั้งเรื่อง มีสีสัน มีความเป็นคอมมิค แต่ขาดความเป็นชีวิตน้อยลงไป ทั้งที่จุดประสงค์ของสาระต้องการแบบนั้น ไม่งั้นไม่ยอมให้ตุลาการเดร็ดด์มีสภาพที่อ่อนไหวได้โดยเด็ดขาด
Judge Dredd เป็นความสนุกที่ไม่สุด แต่ถือได้ว่าทำได้ไม่เลวร้ายอะไร ก็เหมือนต้องการมุมมองใหม่ๆที่ยังไม่มีความเชี่ยวชาญด้านนั้นมากพอเท่านั้นเอง ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นไปเชิงถูกบังคับหน่อยๆแม้จะเล่นลื่นก็ตาม ก็ดูเอาเพลินไปกับความมันส์อีกระดับหนึ่ง