Severance (2006) ทัวร์สยองต้องเอาตัวรอด

Severance (2006)
ทัวร์สยองต้องเอาตัวรอด
Director: Christopher Smith
Genres: Comedy | Horror
Grade: B

Creep (2004) หนังสยองขวัญที่เน้นบรรยากาศเป็นหลัก ที่สานตัวเองกับความสยองระดับโหด แต่ด้วยที่ว่าตัวละครชอบทำอะไรที่ขัดใจ จึงไม่ค่อยเป็นที่ได้ใจเท่าไหร่ คราวนี้ผู้กำกับ Christopher Smith กลับมาอีกครั้งกับผลงานที่แตกต่างจากความสยองแบบเอาโหดอย่างเดียว เพราะครั้งนี้จะต้องขำไปมุขคอหลุดประมาณนั้น จะบอกว่าคอขาดน่ะ


หนังมันกวนๆก็ก๊วนตามกันไป มีเรื่องจากความวุ่นวายแห่งหนึ่งที่แสนจะลงเอยลงความวุ่นวายนั้นแหละ เริ่มจากทัวร์ที่มาสนุก แต่ดันเครียดตั้งแต่รถยังไม่ถึงบ้านพัก เพราะคุยกันคนละภาษา คือมันเริ่มจากกลุ่มคนเล็กๆกลุ่มหนึ่งจากบริษัทอาวุธสงคราม Palisade Defence มาพักร้อนที่แสนไกลจากชุมชนเมืองอันแออัด ที่มีริชาร์ด (Tim McInnerny) ,บิลลี่ (Babou Ceesay) ,กอร์ดอน (Andy Nyman) ,จิลล์ (Claudie Blakley) ,แฮร์ริส (Toby Stephens) ,แม็กกี้ (Laura Harris) และสตีฟ (Danny Dyer) ที่รายนี้ไม่น่าจะใช่ลูกจ้างบริษัทได้

แต่เอาเถอะแค่พวกติดยาที่มันดันเป็นลูกจ้างดีๆที่เพี้ยนได้ตลอดทาง ระหว่างนั่งรถทัวร์อย่างสบายใจกับการดูป่าไม้ ก็เผอิญรถต้องเบรกกระทันหัน เพราะมีต้นไม้ขวางอยู่หน้าทาง แถมขวางซะปิดถนนเลย ริชาร์ดเลยบอกให้พนักงานขับรถช่วยพาไปอีกทางตามแผนที่ ซึ่งริชาร์ดบอกว่าเส้นทางนี้ยังไปได้ ด้านพนักงานตอบ  @#D$%&&*nJU ด้วยอารมณ์ฉุนนิดๆ(ภาษาอะไรไม่รู้ ไม่พูดอังกฤษ) แต่ริชาร์ดยังคงแนะให้ไปเส้นทางนี่ด้วยอารมณ์ที่เริ่มประทุหน่อยแล้วเหมือนกัน คนขับรถก็พูดอะไรของมันไม่รู้ต่อไป จนกลายเป็นการทะเลาะสองภาษาที่อีกหนึ่งบอกให้ขับไปเส้นทางนี่สิว่ะ กับอีกภาษาที่พูดอะไรของมันให้เข้าใจหน่อยเด๊ะ ริชาร์ดพยายามกล่อมให้ขับ จนสุดท้ายได้ลงรถกันทั้งกลุ่ม แถมยังต้องเดินกันต่อไปเอาเอง แถมรถก็ไปแล้วไปลับไม่กลับมา(ก่อนไปอธิบายหน่อยได้ไหมว่าพูดอะไรของเอ็ง ตอนดูไม่มีซับบอกด้วยนะเออ)


หลังจากต้องเดินด้วยเท้าเปล่าได้สักระยะหนึ่ง ก็มาถึงจุดนัดหมายกันเสียที แต่เอ่ะนั้นเหรอที่พัก ไหนบอกว่าสวยไง นี่บริษัทให้รางวัลพักร้อนยังไงขนาดสระน้ำยังไม่มีน้ำ นี่มันบ้านพักตากอากาศยี่ห้อไหนถึงโทรมจัง แม้จะไม่พอใจกันยกกลุ่ม ทว่าริชาร์ดยังต้องการให้ทุกคนได้อยู่พักที่นี่ต่อในฐานะหัวหน้า และเพื่อไม่ให้บริษัทเสียหน้าด้วย ซึ่งพออยู่ได้สักระยะหนึ่งเรื่องไม่ชอบมาพากลเริ่มจะพิลึกขึ้นมาหน่อยแล้ว ตั้งแต่เรื่องพายที่เกิดกินไปเจอฟันเข้า มันมาได้ไง แล้วพายใช้อะไรทำ(น่าคิดว่าไหม) หรือจะเรื่องน่าตกใจที่คิดว่าใครกำลังแอบมองจากหน้าต่าง หรือจะต้นไม้ที่ทำทางเดินเอาไว้คล้ายใช้ดักซุ่ม หรือจะกับดักมากมายที่แอบวางตามพื้นที่พร้อมยับขาได้ทุกเมื่อ หรือจะจำนวนสมาชิกที่เกินมาแวบๆขณะเล่นเพ้นท์บอล หรือจะความรู้สึกบรรยากาศไม่สดชื้น หรือจะใครบางคนที่กำลังดักฆ่าเราอยู่ ถ้างั้นที่พักแห่งนี้มันใช่บ้านพักตากอากาศพักผ่อนอย่างสบายใจหรือเปล่า สรุปแล้วนี่บ้านใคร จะบอกว่าพวกเขามาผิดบ้านใช่หรือเปล่า มาเจอกับพวกหัวรุนแรงกระหายการฆ่าสินะ แล้วพวกเขาควรทำไงดี เอ่อใช่ก็หนีน่ะสิ

การเดินเรื่องต้องทำความเข้าใจระดับหนึ่งว่าอีกนานกว่าจะได้สักศพหนึ่ง ไม่รวมตอนเปิดเรื่องนะ ถ้าถามว่าทำไมให้ดูๆไปก่อนแล้วค่อยนับศพ(ซึ่งมันก็ลูกเล่นประเดิมก่อนกลัวเบื่อนะแหละ ก็ถือเป็นจุดหักมุมเล็กๆน้อยๆ) จะว่าช่วงแรกเป็นการความเข้าใจตัวละครพร้อมกับเรื่องราวที่นอกเรื่อง แต่มันดันเข้าเรื่องจริงๆกับพวกฆาตกรพวกนั้นไง ตอนแรกหนังจะให้ตัวละครพูดถึงสถานที่แห่งนี้ในทำนองว่าเคยมีอดีตอันน่าสะเทือนใจ เคยมีคนหลบหนีมาก่อน และพวกนั้นมีความโหดทารุณในตัว จะว่าตัวละครก็พูดกันเล่นๆอ่ะนะตามประสามาค้างทัวร์นี่นา แต่เหมือนทัวร์ครั้งนี้จะเต็มไปด้วยเรื่องแปลกๆดีเหมือนกัน(ทั้งคนมาทัวร์ทั้งบรรยากาศที่ไม่น่าจะนอนกันได้เลย)


ใช่แล้วประมาณเกือบครึ่งแรกของหนังจะทำให้ผู้ชมเข้าใจความหนาลึกตื้นบางตัวละครอย่างละเอียดยิบ ตั้งแต่มีบทมากยันบทน้อย ใครเล่นไม่เด่นจะเซอร์ไพรส์ให้เป็นที่น่าจดจำ ใครเด่นเกินจะให้ด้อยกว่าตัวละครอื่นนิดนึง ดูได้จากสตีฟที่ดูยังไงก็น่าจะตายตั้งแต่แรกดันทน และเก่งแบบดวงๆ(หรือเปล่า) ผิดกับแฮร์ริสที่ดูจะเก่ง และได้ความมากที่สุดคนหนึ่งด้วยเหตุผลที่ว่าเขาฉลาด หัวไว แต่ก็นะ ทำร้ายจิตใจกันเหลือเกิน พอทำความเข้ากับนิสัยใจคอของเหล่าตัวละครอย่างดีก็เริ่มปาร์ตี้สยองในบันดล ซึ่งมันเริ่มแล้วไปต่อยาวเลย ถือว่าดำเนินเรื่องน่าติดตามดีเหมือนกัน แบบช่วงแรกพยายามหาอะไรที่ผิดปกติใส่ทีละหน่อยแล้วจุดประกายกลายเป็นหนังใหญ่ตัวในคราวเดียว คราวเดียวที่ว่านี่คือตัวละครทุกตัวรู้กันหมดเลยนะว่าจะต้องรีบหนี ซึ่งเคยสังเกตกันไหมว่าสูตรหนังสยองขวัญจะมีประกาศติดอยู่ข้อหนึ่งว่าจะต้อง"ทำให้ตัวละครแยกทาง"เพื่อฆ่าสะดวก

กลิ่นอายมันเกือบๆ Friday The 13th เพราะมีบ้านอยู่ในป่า แถมยังเป็นการทัวร์ด้วย ถ้ามีสระน้ำคริสตัลเลคด้วยสงสัยมีพี่เจสันมานั่งฆ่าด้วยกระมั้ง แต่เฮ้ย!ไม่ใช่ล่ะมันคนละเรื่อง แต่จริงนะถ้าพยายามดูจับจุดบางฉากเหมือนคุ้นเคยหนังบางเรื่องมาก่อนเลย และที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูจะเป็นที่น่าพอใจกับอารมณ์ขันคือมุขตลกที่เสียดสีจนร้ายถึงร้ายกาจ ถ้าจำกันได้จะมีอยู่ฉากหนึ่งที่โดดใจแบบสุดๆคือฉากยิงบาซูก้าใส่ฆาตกรที่วิ่งไล่กวดมา ทว่าเป้าหมายที่ยิงไปมันไปโน้น ถามว่าไปไหนล่ะ ลองหาชมดูแล้วจะรู้ว่ามุขไปไกลกว่าที่คิด แถมเป็นตลกร้ายฆ่าคนนับร้อยด้วย ด้วยความที่ใส่มุขตลกเข้ามาก็ดูว่าตัวละครของเราคงจะเพี้ยน แต่เปล่าเลยเพราะตัวละครของเราไม่ได้ปัญญาอ่อนขนาดนั้น ยอมรับว่าผู้กำกับ Christopher Smith มีฝีมือที่คุมหนังอยู่ได้ดีกว่ากว่าเรื่องก่อน ที่แปลกใจเป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมที่คาดไม่ถึงบางของตัวละครที่มีมิติชวนซับซ้อน ดูอย่างสตีฟที่จู่ๆก็เห็นตัวเองอีกคนขึ้นมา แล้วหนังก็เปลี่ยนมุมกล้องให้ตัวละครนั้นคือตัวจริง จากนั้นก็เห็นตัวเองอีกที่หนึ่งอีก แล้วหนังก็พาให้ตัวสตีฟที่เห็นที่หลังเป็นตัวจริง(นี่แยกร่างถอดจิตหรือไง) หรือริชาร์ดตอนกลางคืนที่เขานอนไม่หลับ แล้วเกิดไปเข้าห้องแม็กกี้ ส่วนแม็กกี้นอนหันหลังให้พร้อมกับเปล่งเสียงบอกอยากมีอะไรกัน ริชาร์ดพยายามเปลี่ยนเรื่อง ทว่าหันหน้ามาคนที่นอนดันไม่ใช่แม็กกี้ แต่เป็นคนที่เขาคิดเคืองในใจ ริชาร์ดเห็นหน้าก็ใช้มีดในมือแทงไม่หยุด ซึ่งหนังเกิดตัดบอกว่ามันเป็นแค่ฝันแบบมุมอ้อมฉากหนึ่ง ที่แน่นอนสุดคือจิลล์ จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่จับจ้องแต่เธอเท่านั้น แต่แล้วไงผิดคาดกว่าที่คิด สรุปว่าช่วงแรกแทนที่จะดูเบื่อกับได้เรื่อยๆแบบหักมุมพฤติกรรมตัวละคร


Severance แปลว่าแตกแยก,ทำให้แยกออกจากกัน ฯลฯ คงคิดทันทีว่าหนังสยองขวัญควรทำแบบนั้นอยู่แล้ว แต่นี่ตัวละครอยู่กันเหนี่ยวแน่นจริง แทบจะอยู่ด้วยกันมากกว่าหนึ่งคน พอไม่เป็นไปตามสูตรการดำนเนินเนื้อเรื่องจึงพยายามกดดันบังคับให้แยกทาง ซึ่งมันก็เข้าท่าดีจากอยู่เป็นกลุ่มต้องมาแยกกันทั้งที่ไม่มีใครอยากจะแยกไปไหน และที่น่าเข้าท่าคือความคิดกับอุปนิสัยของตัวละครที่เอาการอยู่เหมือนกัน จะว่าบางครั้งก็ทำเป็นเซ่อซ่าหลงตัวเอง หรือบางทีก็กลายเป็นพวกฉลาดรอบรู้ไปซะทุกเรื่องอย่างที่รู้ๆกัน แต่ด้วยภาพลักษณ์ของความฉลาดเป็นจุดอันตรายที่หนังสร้างขึ้นเพื่อการล้อเสียดสีเข้าเป้า

สิ่งแรกที่ต้องการดูหนังเรื่องนี้อย่างเข้าถึงคือการจดจำประเด็นถกเถียง หรือสิ่งที่ตัวละครกำลังทำ แม้ไม่จำเป็นต้องจำไปซะทุกครั้ง แต่ด้วยความเป็นระบบของตัวหนังเมื่อได้รู้คำว่า"กรรมสนอง" หรือ"เข้าป่าอย่าพูดถึงเสือ"จะเข้าใจทันทีว่านี่รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก "อ่อใช่แล้วสิ่งนี้ไงที่พวกเขาพูดถึง" อย่าว่าแต่การล้อเลียนพฤติกรรมของตัวละครด้วยกันเลย ซ้ำยังดีที่หนังเลือกเข้าถึงบุคคลได้ถูกเหมาะกับเรื่อง อยากให้คนนี้ตาย แต่เกิดไม่ตาย เพราะดวง ขณะที่คนมีพรสวรรค์ฉลาดรอบหัวดันตายต้นๆ นอกจากนี้ยังเสริมเรื่องราวสุดจี๊ดจากสิ่งที่ตัวหนังจะบอกในทำนองถึงแง่คิดด้านลบสุดกู่ของอาวุธ ซึ่งก็กลายเป็นการเล่าเสียดสีตัวละครจนหน้าแตก เพราะใครจะคิดล่ะบริษัทค้าอาวุธข้ามชาติอย่างพวกเขากลับต้องมาเจออาวุธของตัวเองเล่นงานต่อหน้าต่อตา และเป็นข้อแรกที่หนังกำลังเสียดสีตัวหนังเอง ไม่สิหนังเรื่องอื่นก็โดนล้อไปไม่น้อย รวมถึงหนังของผู้กำกับเรื่องนี้ ที่ตั้งใจกลบความผิดพลาดเมื่อครั้งทำ Creep


ข้อสองที่จะแนะนำคือการให้แง่คิดอย่างถูกเป้าหมาย แม้จะไม่ถูกจุดอย่างที่คิดก็ตาม ลองทบทวนหนังค้าอาวุธเถื่อน Lord of War (2005) ได้ไหม ที่ยกประเด็นคำถามคำตอบกับเบื้องหน้าเบื้องเกี่ยวกับอาวุธได้อย่างละเอียด แถมกัดจิกการใช้อำนาจด้วยอาวุธที่มากกว่า รวมถึงอารมณ์ที่เป็นพลพวงจากการใช้ปืนยิงเพียงนัดเดียวจนเป็นเรื่องติดใจ หรือที่เรียกว่าเสพมากกว่า สำหรับ Severance ยังคงมีเนื้อหาที่ระบุไม่ได้เข้าลึกระดับนั้นด้วยเหตุที่ว่าเดิมเป็นหนังสยองเอาขำพอประมาณ ถ้าจะเอาจริงเอาจังกับอาวุธล่ะก็ให้ไปหาหนังข้างต้นที่ได้บอกเอาไว้แล้วจะเข้าใจถึงความจริงเกี่ยวกับสงครามได้ดี

กับ Severance คือการทดลองใช้อาวุธอย่างหนึ่ง เมื่อเสพความตายด้วยการฆ่ามันก็มันส์มือ เมื่อสนุกความต้องการยิ่งมา พอได้ใจก็กลายเป็นความเคยชินจนอยากฆ่า ซึ่งต้นเหตุมาจากอาวุธเหล่านั้น กลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่ากับข้อสองที่ยกประเด็นเสียดสีสังคม ทั้งเรื่องความพอใจในหมู่สังคมที่มากหลายหน้าที่เห็นได้จากเหล่าตัวละครที่มากนิสัย แต่ไม่กินเส้นกันบ้างคน ในขณะที่บางคนพยายามเข้าหาพวก หรือบางคนพยายามเอาใจพวก ไม่ให้แตกสามัคคีกัน โดยหลักแล้วการทำงานเป็นทีมถือเป็นปัจจัยข้อแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่งที่ต้องรู้สึกสมาชิกคนรอบตัวให้ดีเพื่อการทำงานไปได้สวย จึงไม่แปลกเลยว่าเวลามีปัญหาคิดแตกแยกออกมาคนที่พยายามรั้งเอาไว้คือริชาร์ด เพราะเขาคือผู้นำ และผู้นำต้องเอาใจลูกน้องให้คล้อยตามจากสิ่งที่สูงกว่าผู้นำ ซึ่งคือบริษัทนั่นเอง


อีกทั้งอะไรทำให้พวกเขายังอยากอยู่ต่อไปกับบ้านพักที่ไม่น่าพักแห่งนี้ คำตอบที่ได้คือพวกเราเป็นของกันและกัน ไม่ใช่ในแง่ของครอบครัวที่หนังต้องการ แค่หมายถึงถ้าการพักครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นโอกาสที่กลับไปทำงานที่บริษัทย่อมไม่มีปัญหา กับบริษัทที่พวกเขาทำเป็นเกี่ยวกับอาวุธ หนังจึงขอยกประเด็นเรื่องอาวุธเข้ามาเล็กน้อยก่อนเรื่องจะตกใจกลายเป็นว่าพวกเขานั้นแหละที่เป็นต้นเหตุ ว่ากันว่าสงครามเกิดได้ด้วยอำนาจที่แย่งชิงกันไม่จบสิ้น ส่วนหนึ่งเป็นความต้องการ อีกส่วนหนึ่งเป็นความกระหาย ข้อแตกต่างระหว่างต้องการกับกระหายคือผลลัพธ์ที่เริ่มขึ้น กับความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของความคิดที่จะเอามาครอบครองให้ได้ และเป็นไปได้ว่าไม่สิ้นสุด หรืออาจจะสิ้นสุดแต่ไม่ยุติ ถ้าว่าเป็นเส้นกราฟคงจะพุ่งตรงไปข้างหน้า ส่วนกระหายคือความอยากได้ที่ปนเจือจิตใจเข้าไปกลายเป็นความต้องการอันไม่สิ้นสุด เมื่อหยุดความต้องการจะเกิดความกระหายแล้วเอาต่ออีกอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อลองมาเข้ากับ Severance ใครคือผู้ต้องการ ใครคือผู้กระหาย คำตอบนี้คงเข้าใจได้ดี แล้วอย่างยิ่งเมื่อลองเติมเชื้อเข้าไปกับผู้ให้ด้วยแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้อาจเป็นประจุสงครามในตัว

Severance เมื่อจุดลึกหนาบางที่ไม่เท่ากัน แต่ด้วยความเท่ากันนี่แหละที่หนังมีจุดยืนมากกว่าจะล้ำเข้าไปที่อื่น เมื่ออยากจะบอกถึงอาวุธก็ต้องบอกด้วยล่ะว่าข้อเสียที่ร้ายแรงของมันคืออะไร และมันจะส่งผลกับใครได้บ้างกับสิ่งรอบข้าง ถ้าเป็นไปได้กับตัวเราเองจะเป็นไง ลองโดนอาวุธที่ตัวเองเอาไว้ฆ่าคนเจอกับตัวเองจะคิดในใจว่ายังไง

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)