The Edge (1997) ดิบล่าดิบ

The Edge (1997)
ดิบล่าดิบ
Director: Lee Tamahori
Genres: Action | Adventure | Drama | Thriller
Grade: B

แทนที่จะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการดำเนินเรื่อง แต่นี่กลับรู้สึกน่าติดตามตลอด โดยเฉพาะวิวบรรยากาศในช่วงฤดูหนาวที่ถ่ายทอดได้น่าตื่นตา เริ่มจากการมาท่องเที่ยวของคนกลุ่มหนึ่งที่มีนักเศรษฐีมากปัญญาชาร์ลส์ มอร์ส(Anthony Hopkins) ตากล้องช่างภาพแฟชั่นโรเบิร์ต กรีน(Alec Baldwin)และกลุ่มลูกทีมคนอื่นๆ หลังจากไปถึงที่พักอย่างสบายใจต้องแปลกใจเมื่อไปเห็นภาพที่น่าสนใจ จากในรูปเป็นผู้ชายล่าหมี ซึ่งนั้นทำให้โรเบิร์ตเกิดไอเดียในการนำเขามาถ่ายภาพแฟชั่น จึงต้องเดินทางไปตามตัวที่อยู่ไกลออกไปจากที่พักเดิม แล้วโรเบิร์ตได้ชวนชาร์ลส์กับสตีเฟ่นเพื่อนอีกหนึ่งคน(Harold Perrineau)ตามไปด้วย ระหว่างการเดินทางด้วยเครื่องบินเกิดประสบอุบัติเหตุตากฝูงนกพุ่งชนเกิดเสียการควบคุม ผลคือเครื่องบินตกกลางแม่น้ำและขึ้นฝั่งที่ไหนก็ไม่ทราบ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาอยู่ไหน แม้แต่พวกเขาเอง ปัญหาที่แย่กว่านั้นคือการมาตัวเปล่า ไม่มีอาหาร ไม่มีอุปกรณ์ช่วยเหลือเพียงพอ สิ่งเดียวที่จะรอดจากป่าที่ปกคลุมหิมะหนาวเหน็บได้คือ"สติปัญญา"


ทั้งเรื่องไม่มีอะไรมากประมาณว่าหลงป่าหลงเขา ต้องเอาชีวิตให้รอดให้ได้เท่าที่จะทำได้ ช่วงแรกของหนังดูจะเป็นการสนทนาแบบตามประสาคนด้วยกัน ตรงนี้จะค่อยๆทำความสัมพันธ์กับผู้ชมว่าตัวละครนี้เป็นยังไงมายังไง แล้วเรื่อราวจะกลายเป็นประเด็นปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้นแบบลับๆมาให้คิดกันว่าสมควรเป็นเช่นไรต่อไป ช่วงแรกของหนังคือการแนะนำตัวละครและภูมินิสัยและจุดเด่นในตัว ชาร์ลส์นักเศรษฐีคนนี้มีคาแรกเตอร์ที่น่าสนใจเพราะเดาใจยาก เนื่องจากมีความนิ่งเป็นตัวของตัวเองมีสังคมโดดเดี่ยว และยังเป็นคนที่คนนับถือในเรื่องของความรู้อีกด้วย เพราะใครถามอะไรเขาก็ตอบได้อย่างผู้เชี่ยวชาญ อย่าคิดว่าชาร์ลส์เป็นคนโดดเดี่ยวเสมอไปเพราะตอนนี้ในใจเขามีครบทุกอย่าง สิ่งนั้นคือภรรยาสุดที่รักมิกกี้(Elle Macpherson) บางทีการได้อยู่กับภรรยาสุดสวยที่อ่อนกว่าคงมีความสุขในชีวิตแล้วไหนจะทรัพย์สินอีก นับว่าชาร์ลส์มีครบทุกอย่าง แต่ไม่หรอกยังมีสิ่งหนึ่งที่ทั้งชีวิตยังขาดอยู่ และนั้นทำให้เขาโดเดี่ยว

คนใกล้ตัวที่สุดของชาร์ลส์อาจจะไม่ใช่มิกกี้ไปซะคนเดียว เมื่อโรเบิร์ตมักโผล่หน้าโผล่ตามาพูดคุยกับชาร์ลส์บ่อยมากที่สุด และดูเหมือนจะมีอะไรในใจกับชาร์ลส์โดยที่เจ้าตัวอาจรู้หรือไม่รู้ก็ได้ แต่ที่แน่คือไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชิ้นงานของเขาที่ดั้นด้นมาถึงป่าในฤดูหิมะแบบนี้ ซึ่งความจริงแล้วในใจเขามีแผนมากกว่านั้น ดูจากเนื้อเรื่องคร่าวๆคงประมาณว่าจะมาแนวหักมุมอะไรหรือเปล่า เนื่องจากจะมีเล่ห์นัยกันบ้างแล้ว ความจริงแล้วหนังมีลูกเล่นที่สะท้อนถึงความจริงของเหตุการณ์ได้ดีมาก ตั้งแต่เครื่องบินตก ตลอดจนการเอาตัวรอดด้วยกลเม็ดเคล็ลดลับต่างๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคือการเอาตัวรอดจากความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ผู้ชมคงเริ่มรู้แล้วว่าโรเบิร์ตมีความจริงในใจไม่ชอบชาร์ลส์จนอยากจะฆ่าให้ตาย การนั่งเครื่องบินไปถ่ายรูปที่ไกลก็ยังเป็นแผนเพื่อหลบหนีสายตาใครหลายคนเพื่อกำจัดชาร์ลส์ แล้วเหตุผลของการอยากฆ่าให้ตายคืออะไร ทำไมโรเบิร์ตไม่อยากให้ชาร์ลส์มีชีวิตอยู่ คำตอบคือคนรัก มีใครรู้บ้างว่าความสัมพันธ์ของมิกกี้จะผูกพันกับโรเบิร์ตด้วยในเมื่อได้แต่งง่นเป็นภรรยากับชาร์ลส์ไปแล้ว


แน่ใจได้หรือไม่ว่าฆ่าชาร์ลส์ตายเพื่อแย่งคนรัก ในเมื่อชาร์ลส์เป็นเศรษฐีมากเงินทอง แน่นอนอาจเพื่อทรัพย์สินยังได้ แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้หลังจากเครื่องบินตกทุกคนต้องช่วยกันมากกว่าจะฆ่า ฟังดูสมเหตุสมผลกว่าถ้าจะไปให้รอด อีกคนสตีเฟ่นไม่มีบทบาทอะไรให้เกี่ยวโยงถึงกันระหว่างทั้งสอง แต่เชื่อเถอะคนๆนี้จะทำให้ใครอีกคนมีเจตนาแฝงออกมาชัดเจน

บอกตามตรงเลยว่าชอบการดำเสนอเรื่องราวเป็นอย่างมากกับการเอาชีวิตรอดที่หยิบวิธีการต่างๆที่ใช้ได้จริง ไม่มีความเว่อร์เข้ามาแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นการทำเข็มทิศเทียมด้วยการทำไฟฟ้าสถิตที่ใช้ตัวคลิปจับงอให้มีแท่งตรง แล้วมาถูกับเสื้อ จากนั้นไปวางบนใบไม้ที่เตรียมไว้บนน้ำนิ่ง หรือจะการมองดูดาวเพื่อค้นหาดาวเหนือ สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้สำคัญในการเดินทางที่มีประโยชน์อย่างดีแล้วหลงทางหลงป่า


ผู้กำกับ Lee Tamahori เก่งพอตัวในการไม่ทำเรื่องให้ไขว้เขวทำได้ธรรมชาติกับสิ่งที่เป็นไปได้ในการหลงป่าทำให้พบเจอในหลายๆอย่างที่ไม่โอเว่อร์ ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นได้ในป่าธรรมดาๆที่อันตรายจากสัตว์ เช่น หมี ที่สามารถตามกลิ่นได้ตลอดทางจนเจอไม่ว่าจะหนีไปไหนไกลก็ตาม ซึ่ง The Edge ได้เลือกหมีมาเล่นในเรื่องได้เนียบเนียนกับความดุร้ายหรือจะสัญชาตญาณดิบ แต่สิ่งที่ร้ายที่สุดไม่ได้อยู่ในป่าอย่างที่คิด ถ้าไม่ไว้ใจกันและกัน ช่วยเหลือเกื้อหนุน ทำสติให้รอบคอบ คำนึงถึงสิ่งที่ตามว่า ที่ว่าร้ายจริงคือ"ตัวเราเอง"

เดิมทีหนังสวยด้วยวิวแบบฉากกว้างๆเห็นภูเขา ลำน้ำ ห้วย ป่าไม้ ที่ขาดไม่ได้คือดนตรีประกอบที่ช่วยได้มาก ไม่ว่าจะบอกอารมณ์โทนเย็นสบายๆไม่หนาวตามธีมหนังที่ปกคลุมหิมะ หรือจะรู้สึกถึงการผจญภัยที่มีความหมายกับการเอาตัวรอดที่ได้สิ่งตอบแทนจากการค้นหาทั้งชีวิต สรปุว่าทั้งโทนธีมหรือจะดนตรีมาครบเครื่อง สบายตาสบายใจกับธรรมชาติ นึกแล้วยังรู้สึกดีมากกว่าได้เห็นเมืองที่มีแต่รถอีกนะ งานประพันธ์คือ Jerry Goldsmith ที่ได้เสียชีวิตไปแล้วใน 2004 ด้วยอายุ 75 ปี ก็ขอแสดงความเสียใจมา ณ ที่นี้ด้วย


ในส่วนการแสดงจะมุ่งหลักที่สองท่านคือ Anthony Hopkins และ Alec Baldwin ซึ่งในหนังเป็นประเด็นของทั้งคู่ว่าจะเกิดอะไรต่อไป รวมถึงการคิดตัดสินใจที่รับบทบาทได้เข้าขากัน กับ Anthony Hopkins แสดงได้ผิดจากที่คาดเอาไว้กับ The Silence of the Lambs (1991) ในบท ดร.ฮันนิบาล เลคเตอร์ ที่ออกหน้าออกตาได้น่ากลัว มีสายตาเหมือนโดนจับจ้องคล้ายถูกกินทั้งเป็น หรือจะท่าทางที่โรคจิตแฝงไม่น่ากลัวแต่ไม่น่าไว้ใจ พอมากับเรื่อง The Edge กลายเป็นอีกคนอย่างสิ้นเชิง ดูกันไม่ออกเลยว่าใช่นักแสดงคนเดียวกัน มุมมองทางสายหรือจะท่าทางต่างกันมาก สมแล้วที่เคยได้รางวัลออสการ์นักแสดงยอดเยี่ยม ส่วนนักแสดงหลายอื่นบางคนยังไม่ค่อยได้อารมณ์ตามควร บางทีคงเป็นเพราะในท้องเรื่องเองที่ไม่ได้เอาอารมณ์มาใช้ให้เว่อร์หรือแสดงออกหน้าออกตาอะไร ประมาณว่าแนวชีวิตมาเรื่อยๆทำหน้าตาธรรมชาติไม่หน้านิ่งก็ถือว่าผ่านพอได้

The Edge อาจคล้ายหนังเชิงอารมณ์เหงาแต่ยังให้ความสุขมีรอยยิ้มได้ โดยส่วนตัวคิดว่าน่าจะซึ้งตอนจบเพราะประโยคสุดท้าย อีกแง่หนึ่งมองว่าหนังตายตอนจบไม่ค่อยประทับใจอย่างที่ควรเป็น ชวนรู้สึกอึดอัดพิลึกหรืออาจเป็นเพราะโชคชะตาเล่นตลกทำให้แทนที่รอดอย่างปฏิหาริย์กลายเป็นที่น่าสลดใจแทน สำหรับตัวละครอย่างชาร์ลส์ก็ได้สิ่งที่เขาไม่มีและนั้นไม่ทำให้เขาโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาอีกต่อไปกับ"เพื่อน"

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)