Wolf Creek (2005) หุบเขาสยองหวีดมรณะ

Wolf Creek (2005) | หุบเขาสยองหวีดมรณะ | C+
Director: Greg Mclean
Genres: Horror | Thriller 

มากับหนังที่นำเสนอได้ดีกับการท่องเที่ยวโลกกว้างที่เที่ยวนี้มีสยองและที่น่าสะเทือนใจเห็นจะเป็นว่าการอิงจากเรื่องจริงเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว Wolf Creek ที่เกิดจากอุตกาบาตพุ่งชนจนเกิดเป็นแอ่งใหญ่เป็นภูเขารายรอบ ซึ่งเนื้อเรื่องมีอยู่ว่าที่ในประเทศออสเตรเลียจะมีข่าวว่าในทุกๆปีจะมีรายงานนักท่องเที่ยวสูญหายในขณะท่องเที่ยวตามอุทยานแห่งชาติซึ่งเป็นภูมิประเทศหุบเขา มีจำนวนมากถึง 30,000 คนต่อปี และีมีเพียง 90% เท่านั้นที่ถูกพบเจอภายในเดือนเดียวกับที่ถูกแจ้งหาย ส่วนอีก 10% นั้นหายสาบสูญอย่างไรร่องรอย อย่างไรก็ตามทีการหายไปเป็นประเด็นที่ยากเกินไปในการสำรวจค้นหาเพราะสถานที่มีขนาดกว้างขวาง แม้จะเป็นสภาพแวดล้อมโล่งโจ้งไร้ป่าไม้บดบังก็ตามทีแต่การจดจำหรือทิ้งร่องรอยให้หาเบาะแสนั้นไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มใต้มหาสมุทรที่เปลี่ยนเป็นหาเข็มในดงหุบเขา


3 นักท่องเที่ยวที่กำลังเดินทางไปหุบเขาที่มีเบน(Nathan Phillips),ลิซ(Cassandra Magrath) และคริสตี้(Kestie Morassi)เป็นเพื่อนสนิมร่วมทางที่พร้อมด้วยความผูกผันกันระหว่างมิตรภาพดีๆที่มีความสุข เมื่อไปถึงที่หมายก็ต่างดื่มด่ำกันอย่างสุขสบายกับสถานที่ดังกล่าวอย่างพึงพอใจ จนเริ่มใกล้เย็นต้องกลับมาที่รถที่จอดทิ้งไว้แต่ทว่ารถกลับเสียทำให้ไม่สามารถไปไหนได้แม้กระทั่งความช่วยเหลือในเวลานั้น ทำให้พวกเขา/เธอต้องอาศัยนอนในรถไปก่อนภายใต้แสงจันทร์ที่มืดมิด แล้วจู่ๆมีแสงไฟบางอย่างส่องมาที่รถด้วยความสงสัยทำให้พวกเขา/เธอแปลกใจกันไม่น้อยก่อนจะรู้ว่าเป็นชายสูงวัยคนหนึ่งประมาณกลางคนที่มาเจอเข้าอย่างบังเอิญ ด้วยเหตุนี้ชายนิรนามเห็นเข้าถึงให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดีโดยการซ่อมรถให้แบบฟรีๆเพื่อเป็นมารยาทของเจ้าถิ่น หลังจากรถและพวกเขาทั้งสามไปยังบ้านของชายคนนั้นสิ่งแรกที่ทำคือการนั่งสนทนาพลางๆเพื่อทำความสนิทสนมกันอย่างดีก่อนจะแยกย้ายไปนอนกันอย่างสบาย ทว่าเมื่อตื่นมาลิซถูกมัดในที่แห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัวและพยายามออกไปจากที่นี้โดยเร็วก่อนจะรู้ว่าชายคนนั้นยังต้องการค่าตอบแทนที่ราคาสูงเกินไปที่พวกเขาจะให้ได้เมื่อสิ่งนั้นหมายถึงชีวิตของทั้งสามอย่างไร้ความปราณี

Greg Mclean ได้แต่งบทของหนังขึ้นมาจากความคิดของเขามาผสมเข้าไปที่ได้ไอเดียจากเรื่องจริงของฆาตกร Ivan Milat ที่รับนักโบกรถให้ขึ้นรถของเขาแล้วจับนักโบกเหล่านั้นไปทรมานในป่าแล้วจึงฆ่าทิ้งในช่วงปี 90s ที่โด่งดังในนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย และถูกจับกุมตัวและรับโทษจำคุกตลอดชีวิต ทั้งนี้จะพบได้ว่าในด้านพฤติกรรมแล้วถือว่ามีความคล้ายในด้านบุคลิกที่ต้องการให้เป็นประเด็นของการสะท้อนถึงคดีนี้ เพื่อเป็นข้อคิดสั้นๆว่า"อย่าวางใจทางอย่าไว้ใจคน" ยิ่งกับที่ห่างไกลแล้วการเจอใครบางคนที่ตีหน้าซื่อช่วยเหลือคงมองว่าเป็นคนดีแต่นั้นอาจเป็นเบื้องหน้าเอาใจก่อนเบื้องหลังจะคว้าใจไปแบบไร้ชีวิตก็เป็นได้ และอีหรอบเดิมถ้าคิดว่ามีลักษณะเนื้อเรื่องคล้ายๆกับ Texas Chain Saw Massacre คือแรงจูงใจของการตีหน้าโฆษณาว่าสร้างจากเรื่องจริงก่อนจะรู้ว่าเป็นแค่การอ้างอิงเล็กๆน้อยๆที่ภายหลังเติมแต่งไปกับความบันเทิงเกินจริง อย่างการไล่ล่าที่รู้กันอยู่แล้วว่ามันต้องมีอะไรที่เกินจริงหรือบังเอิญเกินไปบ้างในหลายด้าน ฉะนั้นอย่าไปตีความหมายในหนังกับเรื่องจริงที่เอามาอ้างอิงว่าเป็นแบบนี้จริงหรือบางทีคนที่หายตัวไปอาจเจออะไรที่หนักกว่านี้ก็ได้
 

จะบอกว่าต้องทำใจกันไปสักพักใหญ่กับช่วงแรกที่ออกอารมณ์ประมาณว่าอืดพอสมควรเพราะตอนแรกของเรื่องเป็นการเสนอตัวละครทั้งสามให้คุ้นเคยคุ้นชินกันอย่างดี ซึ่งทำให้ผู้ชมมีความผูกผันกับตัวละครอย่างใกล้ชิดชนิดที่ว่าไม่มีอะไรต้องปิดบังในใจ ที่น่าสนใจคือช่วงแรกของหนังจะเหมือนเป็นการนำเสนอเชิงท่องเที่ยวที่เห็นบรรยากาศอันโล่งกว้าง แห้งแล้ง และทุรกันดารแบบเปล่าเปลี่ยว คงไม่ต้องว่าเรื่องบรรยากาศว่ามีข้อเสียยังไงเพราะทางนี้ได้คะแนนอันหดหู่ไปเต็มๆ ทั้งสามเดินทางบนถนนที่แทบไม่มีรถวิ่งมาด้วยตลอดทางแสดงถึงความโดดเดี่ยวที่หนังเสนออารมณ์ให้อินไปกับความรู้สึกกว่าครึ่งได้อย่างสบายโดยที่ไม่ต้องทำอะไรนอกจากเก็บทิวทัศน์จากมุมสูงที่ให้เห็นโดยรวมว่าสถานที่แห่งนี้คือดินแดนที่รายล้อมไปด้วยดินแห้งๆไร้ต้นไม้อยู่ได้ มีเพียงเศษหินและต้นหญ้าเล็กๆ ในอีกมุมมองหนึ่งจัดว่ามีทิวทัศน์ที่สวยไปกับธรรมชาติแม้จะเห็นไม่กี่ฉากแต่ก็เหมาะกับคนที่ไม่เคยเห็นให้สัมผัสกับหุบเขาที่เกิดขึ้นจากอุตกบาตจนเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาที่นี่ แต่หนังจะเจาะจงไปกับตัวละครมากเกินไปจนแอบอดคิดไม่ได้ว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นที่ท่องเที่ยวจริงหรือเปล่าเพราะนอกจากพวกเขาแล้วไม่เห็นนักท่องเที่ยวจากที่ไหนอีกเลย แต่อะไรซะอีกถ้าหนังอยากให้ความหดหู่เป็นเรื่องใกล้ตัวที่ร้อยต้องให้ร้อยกันอยู่แล้ว

ประเด็นของตัวละครที่สร้างความผูกผันกับผู้ชมคือความเป็นกันเองที่เห็นฉากๆต่างที่ให้รู้ว่าทั้งสามคนมีความสนิทสนมมากน้อยเพียงใดจากชายหนึ่งหญิงสองที่เป็นความสัมพันที่แน่นแฟ้น อย่างแรกคือการดึงความรักเข้ามาเกี่ยวข้องที่เกิดขึ้นในความสัมพันของ 2 คนระหว่างทางกับเบนและลิซโดยคริสตี้ที่ทำให้หน้าที่สื่อให้ทั้งสองอยู่ด้วยกัน ก็ด้วยความรักแบบใสๆของวัยรุ่นคงดูไม่ยากถ้าความสัมพันจะเริ่มละเอียดอ่อนมากขึ้น ทีแรกหนังเปิดด้วยอารมณ์แบบบ้านๆของเบนที่ซ่อมรถแบบอยู่ท่าสบายที่คอยฟังคำสั่งจากคนซ่อมรถให้เร่งเครื่องยนต์อย่างเฮฮาแบบเบื่อๆ ในขณะที่ 2 สาวคริสตี้กับลิซคอยอยู่ที่ร้านก่อนรถจะอยู่สภาพพร้อมวิ่งทางไกล เมื่อรถใช้การได้ถึงคราวที่ต้องไปเที่ยวกันเสียทีและที่นั้นคือหุบเขา Wolf Creek ที่พวกเขาสนใจและกำลังไปโดยเร็ว เมื่อไปถึงสิ่งแรกที่ทำคือการเดินสำรวจโดยรอบถึงความใหญ่โตของเขาลูกนี้ที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก แต่ทว่าบรรยากาศที่แห้งแล้งยังมีฝนตกกลายสภาพเป็นความชื้นของบรรยากาศที่นอกเหนือความร้อนระอุ หลังจากเดินท่องเที่ยวเยี่ยมชมสถานที่อยู่สักพักก็ถึงคราวต้องกลับบ้าน แต่แล้วเมื่อเดินกลับไปยังรถที่จอดทิ้งอยู่เกิดเป็นว่ารถสตารท์ไม่ติดไม่สามารถซ่อมได้หรือไม่มีแม้กระทั้งการช่วยเหลือจากใครที่พบเห็น ตอนนี้พวกเขาติดแหงกต้องอยู่ในรถในเวลากลางคืนในขณะที่นอกรถนอกจากพวกเขาแล้วล้วนว่างเปล่า พอเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่งความช่วยเหลือได้มาถึงอย่างไม่ตั้งใจจากแสงไฟรถยนต์คันหนึ่งที่มีคนขับหนึ่งคนที่เกิดเสนอช่วยเหลือซ่อมรถแบบฟรีๆโดยให้ลากรถไปที่บ้านของเขาที่ไม่ไกลจากที่นี้ อาจแปลกที่มีคนมาเสนอช่วยทั้งที่มืดมากแล้วก็ตามทีแต่อะไรยิ่งกว่าการช่วยเหลือซ่อมรถให้แบบฟรีๆจากคนแปลกหน้าที่ไม่หวังอะไร พวกเบนรู้สึกแปลกๆที่เจอชายนิรนามนี้แต่ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่คงต้องตามน้ำกันไปก่อน หลังจากลากรถกันอยู่นานทำให้พวกเบนเริ่มแปลกใจที่ว่ามันนานผิดปกติว่าทำไมไม่ถึงซะที จนแล้วไปถึงที่อย่างว่าและนั่งคุยจิบกันภายใต้กองไฟที่สนทนากันไปมาอย่างเพลิดเพลินที่ทำให้รู้เล็กๆน้อยๆว่าชายคนนี้ไม่ธรรมดาเริ่มที่ว่าเป็นนายพรานล่าสัตว์ ซึ่งอะไรจะยิ่งกว่าการพูดคุยที่อารมณ์ดีเดี๋ยวอารมณ์ร้ายจนไม่แน่ใจว่าคนๆนี้ดีจริงหรือเปล่าและทุกคนแยกย้ายไปนอน
 

ลิซตื่นขึ้นต้องงงเมื่อรู้ตัวอีกทีว่าโดนมัดในที่แห่งหนึ่งที่มองไปนอกหน้าต่างก็พบว่าล้วนว่างเปล่าไม่มีคนเหลือเพียงแค่เศษเถ้าถ่านจากเมื่อคืนและเธอยังคงดิ้นรนต่อไปด้วยความทรมานจนเวลาใกล้เย็นเริ่มมืดในที่สุดลิซออกมาได้แต่ทว่าแล้วคนอื่นๆหายไปกันหมด ทำให้เธอเริ่มกังวลอย่างหนักและพยายามตามหาคนอื่นๆก่อนพบคริสตี้ที่กำลังถูกมุดกับเสาที่ถูกทรมานจากคนที่ช่วยเหลือแบบฟรีๆที่เอาปืนจ่อพร้อมยิงโดยไม่ลังเล แต่นั้นเป็นเพียงการข่มขู่ให้สะใจกับเสียงร้องของผู้หญิงที่กลัวขึ้นสมอง ซึ่งนั้นเองที่ทำให้ลิซต้องช่วยเหลือคริสตี้ให้ได้โดยตัวเองต้องเผชิญกับคนอันตรายที่มีประสบการณ์จากนายพรานที่มีเผลอคนที่จบต้องเป็นเธอ

สนุกชวนระทึกขวัญไปกับการลุ้นหนีตายของลิซกับคริสตี้ที่ทำให้รู้สึกได้ว่าตัวละครในเรื่องนี้ไม่ได้งี่เง่าอะไรเหมือนหนังสยองทั่วๆไปที่มักหาที่ตายเองเพราะความฉลาดน้อย ที่สำคัญคือการบีบสถานการณ์ให้ตึงเครียดไปกับการกระตุ้นความกลัวที่เรื่องมาด้วยดีกลับต้องมาเจอเรื่องร้ายเพียงเพราะผู้ชายหนึ่งคนที่ไม่รู้จัก เมื่อลิซกับคริสตี้ต้องหนีเรื่องราวระทึกขวัญจะเริ่มตั้งแต่จุดนี้จนหนังจบ ฉะนั้นใครที่อดใจรอในแรกเริ่มของหนังรับรองว่าคุ้มที่เจอของเด็ด และของเด็ดนี่แหละที่โดดใจกันไปไม่ใช่น้อยที่มีฉากรุนแรงแบบนิ้วขาด เลือดกระจุย ที่ทำให้เรื่องนี้มีดีกรีความสยองในแบบของตัวเองคือตัวใครตัวมัน หนังเริ่มจากตัวลิซก่อนที่หนีมาได้และช่วยเหลือคริสตี้ให้หลุดมาอีกคนแต่ทว่าชายนิรนามนั้นไหวตัวทันและไล่ล่าพวกเธออย่างสนุกสนาน ซึ่งการไล่ล่ากันนี่เป็นสูตรเด็ดที่ว่าบางทีคนที่ทำตัวเป็นตัวเอกมากเกินไปก็อาจไปก่อนได้เหมือนกันเพราะความอวดเก่งที่กล้าหาญเกินตัวอันเนื่องจากคนที่เล่นด้วยนั้นเป็นถึงนายพรานที่เอาประสบการณ์การล่าสัตว์มาใช้กับคน
 

บรรยากาศช่วยได้ไม่ค่อยดีเวลากลางคืนเพราะทำให้ภาพลักษณ์ชวนผิดหูผิดตาไปจากกลางวันที่แห้งแล้ง แต่อันที่จริงการเล่นทั้งบรรยากาศกลางวันและกลางคืนทำให้รู้ว่าการประติดประต่อเนื่องเรื่องเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเวลากลางคืนยังให้ความรู้สึกที่น่ากลัวไปอีกแบบที่ว่าถ้าในสถานที่กว้างเช่นนี้การไปไหนมาไหนโดยไม่รู้ทางก็ไม่ต่างอะไรกับการเดินในทะเลทรายที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเดินไปไหนได้ อีกอย่างคือฆาตกรในเรื่องไม่ได้เก่งกาจหรือทึกเหนือมนุษย์แต่อย่างใดเพียงเป็นคนอย่างเราๆที่เจ็บและตายได้ แต่ก็นะบางสิ่งบางอย่างถูกทำให้อำนวยกับใครบางคนที่เหมาะสมมากกว่าเช่นเจ้าถิ่นที่ไม่ว่าจะหนีไปไหนเจ้าฆาตกรนี้ยังตามไปจนเจอ น่าเสียดายที่หนังมากับการแจกบทบาทช่วงแรกที่น่าพอเหมาะหลังจากที่หนังเปลี่ยนโทนไปดูกลายเป็นว่าบทเริ่มไม่หลงรอยนักโดยเฉพาะลิซกับคริสตี้ที่กลายเป็นตัวละครหลักในช่วงท้าย ขณะที่เบนเองหายสาปสูญไปจนไร้บทบาทจนไปปรากฏตัวอีกทีในตอนจบแบบดื้อๆ ส่วนเขาจะรอดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตอนจบแล้วว่าโอกาสของความช่วยเหลือจะมีหรือไม่มี

Wolf Creek เป็นหนังโล่งๆที่น่ากลัวแบบโล่งจริงด้วยบรรยากาศที่ว่ายิ่งเงียบยิ่งน่ากลัวที่กว้างไกลมากเท่าไหร่โอกาสที่จะขอความช่วยเหลือยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ ลองคิดดูถ้าเราไปไหนไกลๆโดยที่แห่งนั้นสุดแสนว่างเปล่ามีแต่ดินกับหินแล้วล่ะก็ถ้าเกิดรถเจ๊งขึ้นมากลางทางคนที่ช่วยเราได้คือคนที่ขับผ่านมาแต่จะมีสักกี่คนที่รับและช่วยเหลืออย่างจริงจัง ถือเป็นงานของประเทศออสเตรเลียที่น่าดูอีกเรื่องหนึ่งที่ถ่ายทอดทิวทัศน์แบบว่างเปล่าให้น่ากลัวคล้ายมีอะไรซ่อนอยู่เพราะยิ่งอยู่ในที่โล่งมากเท่าไหร่เรายิ่งเป็นเป้าสายตามากเท่านั้น

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)