Spanish Movie (2009) ยำหนังจี้ ผีคฤหาสน์หรรษา

Spanish Movie (2009) | ยำหนังจี้ ผีคฤหาสน์หรรษา
Director: Javier Ruiz Caldera
Genres: Comedy
Grade: D+

อีกแล้วกับหนังล้อเลียนที่รวมมิกซ์หนังเด่นหนังดังเข้าเอาไว้เป็นเนื้อเดียวกัน แต่สังเกตชื่อหนังหรือเปล่าอะไรคือภาษาสเปน ก็หนังเรื่องนี้เป็นสเปนทั้งเรื่องแถมยังหยิบหนังหลายเรื่องๆจากต่างประเทศเข้ามายำจนเป็นหนังนอกกระแส(หลอกๆ)ฉบับฮาไป ส่วนเรื่องราวเริ่มจากแม่บ้านคนใหม่ที่พึ่งรับงานวันแรกรามิร่า (Alexandra Jimenez) โดยเข้ามาในฐานะพี่เลี้ยงเด็กในคฤหาสน์อันดูลึกลับ โดยมีลอร่า (Silvia Abril) เป็นเจ้าของคฤหาสน์ และลูกสองคนคือซิมิออน (Oscar Lara) กับโอเฟนเดีย (Laia Alda) โดยทั้งสองต่างมีบุคลิกท่าทางแตกต่างออกอย่างสิ้นเชิง กับซิมิออนจะเป็นพวกแพ้แสงแดด ในขณะที่เโอเฟนเดียไม่ต่างอะไรกับเด็กโรคจิตหัวรุนแรง และที่ขาดไม่ได้คือพี่ชายตระกูลนี้เปโดร (Carlos Areces) ที่เกิดดวงไม่ดีเป็นอัมพาตตั้งแต่คางลงตัว แต่แล้วเรื่องไม่เป็นเรื่องความป่วนได้เริ่มต้นขึ้นหลังจากรามิร่าเหยียบเข้ามา ณ ที่แห่งนี้ ทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น? ตอบไม่ถูกหรอกเพราะมันเกิดคาด(จะ)เดา


แรกๆดูแล้วเป็นหนังตลกที่พิถีพิถันในตัวเองไม่เบา เริ่มจากมุขที่หยอดเข้ามาแบบไม่โอเว่อร์เกินไปบวกกับการเติมจุดเล็กจุดน้อยได้อย่างลงตัว ซึ่งจัดว่าทำได้เข้าท่ากว่าที่คิดเอาไว้ในหมู่หนังล้อเลียนบางเรื่องที่เล่นุขตั้งแต่เริ่มจนพาเนื้อเรื่องมั่ว สำหรับ Spanish Movie เป็นหนังล้อเลียนที่เกือบจะไม่เข้าใจมุขบางช่วงโดยเฉพาะตอนร้องเพลงที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ทำเอางงและปรับอารมณ์ไม่ถูกเลยว่าตัวละครกำลังสื่ออะไรอยู่ในบทเพลงนั้น แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรเพราะต่อให้ฟังเพลงไม่รู้เรื่องก็ยังมีมุขที่รองรับได้ทุกจังหวะอยู่ แต่ใช่ว่าจะฮาไปซะทุกมุขโดยอย่างยิ่งกับความตลกที่ขำไม่ออก หรือจะบอกว่าเป็นตลกร้ายที่เล่นงานผู้ชมจากความสนุกเป็นความโหดแทน ซึ่งเกิดจากตัวละครโอเฟนเดียที่เล่นโหด ใครจะรู้ว่าเด็กหญิงตัวน้อยจะมากพิษสง จะมีอยู่ฉากที่ไม่รู้มาไงนางฟ้าบินเข้ามาแล้วถามว่า"เธออยากช่วยฉันไหมล่ะ" โอเฟนเดียตอบว่า"ไม่"พร้อมกับใช้สเปรย์ฉีดใส่ไฟแช็คให้ไฟลุกโหมใส่นางฟ้าเต็มๆ แต่นางฟ้าไม่ตายนะแค่ปีกหายเท่านั้น(ไหม้หมดแล้ว) สุดท้ายก็ถูกจับใส่บ้านของเล่นให้กลายเป็นคนรับใช้เพื่อเอาไว้สนุกๆ

เท่านั้นยังพอเมื่อมีตัวละครหน้าตาคล้ายแพะหรือฟอว์น (Joaquin Reyes) ออกมา รู้สึกจะมาจากเรื่อง Pan's Labyrinth (2006) แต่เอ่ะเริ่มตะหงิดใจแล้วสิว่าการยำหนังครั้งนี้เป็นการรวมพล็อตที่มีตัวละครคล้ายกันด้วย เริ่มจากการแต่งกายของโอเฟนเดียตอนพบนางฟ้าบวกกับการวิ่งไล่นางฟ้ามันจะคล้ายๆเรื่อง The Chronicles of Narnia: The Lion, the Witch and the Wardrobe (2005) แค่เปลี่ยนจากเดิมวิ่งซ่อนแอบเป็นวิ่งตามนางฟ้า ส่วนนางฟ้ามาจากเรื่องอะไรคงไม่ต้องอธิบายมาก เพราะมาจากเรื่อง Peter Pan (2003) ชัวร์(หรือจะผิด ไม่มั้งก็นางฟ้าตัวเล็กแบบนั้นจะมีกี่เรื่องที่คุ้นตากันดีจริงไหม) และรายละเอียดเล็กๆที่ผ่านตาชวนสะกิดใจอีกเพียบ


โอเฟนเดียถือว่าเป็นตัวละครที่เกิดมาห้าวเต็มตัวจริงๆ เท่านั้นยังไม่พอเมื่อตัวละครอย่างซิมิออนเป็นตัวจุดประกายความฮาในช่วงแรก เมื่ออาการแพ้แสงของเขาเป็นความเข้าใจผิดของรามิร่า คิดว่าเป็นเด็กเก็บตัวไม่ยอมไปนอกบ้านขนาดไม่กระทั้งเปิดผ้าม่านรับแสง รามิร่าจึงดึงตัวออกไปข้างนอกเพื่อให้รับธรรมชาติข้างนอกก่อนจะเกิดอาการอย่างว่า พรึ้บ!(เหมือนจะได้กลิ่นอะไรไหม้ๆนะ) สุดท้ายรามีร่าที่พึ่งได้งานวันแรกก็ทำสร้างเรื่องใหญ่กับตัวเองเข้าจนได้ ทำให้ต้องปกปิดเรื่องนี้เป็นลับพร้อมกับพยายามแสร้งทำเป็นเรื่องดูซิมิออนต่อไป

ในขณะเดียวกันทางลอร่าเริ่มมีความกังวลในตัวลูกซิมิออนมากขึ้นจากความไม่ปกติแบบเหมือนก่อนที่เดี๋ยวหนีหายตัวบ่อยจนหายไปเลย(เพราะใครล่ะ หึๆ) และเป็นเหตุให้เธอต้องเจอเรื่องน่าประหลาดใจเมื่อเธอเห็นเด็กส่วมถุงปิดหน้าตัวเอง(จากเรื่อง The Orphanage (2007) ฮาเลยทีนี่ไม่สยองแล้ว) ในเวลานี้ลอร่าต้องเผชิญกับเรื่องของตัวเองที่กังวลไม่แพ้ความรักที่เกิดขึ้นกับรามิร่ากับเปโดร ที่ตอนนี้เริ่มจะสนิทสนมกันมากขึ้นเพราะความใกล้ชิดที่บ๊อยบ่อย อะไรเนี้ยอีกฝ่ายทุกข์ในขณะที่ตัวเองสุข


ระหว่างที่ทุกอย่างดำเนินเรื่องไปได้ดี แต่แล้วแพะปริศนาที่ไม่รู้โผล่มาซอกมุมมืดใดได้ปรากฏพร้อมกับเหมือนจะบอกว่ามาตามหาใครบางคนอยู่ แต่แล้ว ตุบ!ความจำเสื่อมกลายเป็นข้ารับใช้เด็กจอมโหดโอเฟนเดียในท้ายสุด สรุปจะมาทำไมเนี้ย เอาฮาใช่ไหม งั้นจัดไป ฮ่าๆๆ

Spanish Movie อาจจะมุขที่ไม่ได้เอาฮามากมายนอกจากความความทะเล้นในมุขเล็กๆ อย่างเรื่องของซิมิออนที่เอาเริ่มเรื่องก็ฮาซะเลย หรือจะความฮาที่ได้จากหนูน้อยโอเฟนเดียที่เปิดตัวตนที่แท้จริงได้น่าทึ่งกับความโหด และอีกหลายมุขที่บางมุขอาจจะดูซ้ำซากจำเจ แต่ดีที่ได้เสน่ห์เรื่องราวชวนให้แอบยิ้มได้ในฐานะเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างน่าติดตาม ในตลอดทั้งเรื่องแทบไม่ไปไหนเลยนอกจากในคฤหาสน์ จึงไม่แปลกว่าจะรู้สึกถึงความเบื่อที่เห็นมุมเดิมๆของข้างในบ้าน ซึ่งยังดีที่เรื่องราวยังพาไปที่อื่นได้บ้าง อย่างการไปบ้านของรามิร่าเพื่อแนะนำแอนโตนิโอ (Luis Zahera) ที่เป็นแฟนของรามิร่า แต่ตอนนี้รามิร่ามีเปโดรในใจเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นเนื้อหาจึงประมาณว่ารามิร่าต้องการตัดใจจากแฟนคนปัจจุบัน ส่วนจะใช้วิธีใดบอกเลิกยังไงนั้นลองพิสูจน์กันเอาเอง ซึ่งเป็นอีกจุดที่ฮาเช่นกันในความพยายามของแอนโตนิโอในการโชว์ความเป็นหัวหน้าครอบครัวให้โอเฟนเดียประจักษ์ในความเป็นผู้นำ แต่เกิดเป็นประเภทกลัวเมียก็เลยว่ากล่าวแฟนตัวเองไม่ถูก ที่ตลกมากเป็นตอนสั่งสปาเก็ตตี้เพื่อโชว์ความเป็นผู้นำครอบครัวแล้วก็ได้ในทันทีวางบนหัว


ส่วนใครจะขำหรือไม่ก็แล้วแต่จะชอบเลยจริงๆ เพราะนับมาตั้งแต่เปิดเรื่องจนถึงตรงฉากนี้ก็ชอบแบบอมยิ้มเลยแหละ แต่ว่าเสียดายมากเลยที่ผู้กำกับคุมเรื่องราวได้ไม่อยู่หมัดแถมยิ่งไปต่อมากเท่าไหร่ยิ่งเริ่มออกอาการมั่วคิดเรื่อยๆ ถึงกับเอาการหักมุมเรื่อง Vanilla Sky (2001) มาใช้ด้วยนี่สิยิ่งพาเละไปกว่าเดิมอีก ที่เซอร์ไพรส์คือแซว [Rec] (2007) ด้วยล่ะ

สิ่งที่คิดว่าเป็นตัวปัญหาของ Spanish Movie คือขาดความเข้าใจในเนื้อเรื่องอย่างเข้าใจ จริงที่ว่าเป็นหนังล้อเลียนที่เอาตลกขำขันเป็นหลักไม่จำเป็นต้องหาสาระมาอธิบาย ทว่ายิ่งกลับรู้สึกมุขเริ่มกร่อยจากการไม่ความรู้ว่ากำลังสื่อถึงเรื่องอะไรบ้าง การดำเนินเรื่องพยายามปูให้เข้ากับมุขตลกขำขันได้อย่างพอเหมาะ มีทิศทางตัวของหนังเองได้อย่างดี แต่ที่น่าเสียดายและกลายเป็นว่าพังทั้งเรื่องคือความคิดที่จะจบซะแบบนั้น ซึ่งโดยส่วนตัวทำเอาเซ็งในตอนจบไปซะแล้ว ภาพพจน์ที่เรียบเรียงให้พอดูสนุกก็เลยเป็นความเพี้ยนชวนปัญญาอ่อนในจังหวะท้าย


โอเคก็ต้องมีตัวละครทำตัวปัญญาอ่อนบ้างไม่ใช่ปัญหา แต่ที่คิดว่าทำเอาเบื่อคือบางจังหวะเล่นมุขนานเกินไป แทนที่จะออกมาตลกกลับตรงกันข้ามพาเบื่อจนได้  แม้จะมีลักษณะการรวมหนังมาล้อเลียนมากมายก็จริงแต่โครงหลักคือยังเป็นตัวหนังเพียงเรื่องเดียวเสียมากกว่าจึงไม่รู้สึกถึงความสนุกที่ได้ล้อเลียนหนังดังกล่าวตามคอนเซ็ปต์ที่วางเอาไว้ แต่ที่คิดว่าหนังดูหมดสนุกคือนักแสดงที่บางตัวไม่เหมาะกับบทบาทเลยก็ว่าได้ หรือบางทีมาจากมุมมองที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้จืดชืดมากกว่า อะไรๆก็เลยเหมือนจะมีแต่ไม่มี และนักแสดงที่ขาดไม่ได้ในหนังตลกล้อเลียนที่เพิ่มสีสันคือ Leslie Nielsen เจ้าเก่าที่อย่างน้อยโผล่มาสักนิดที่คราวนี้มาในบทหมอที่ไม่รู้ว่าตัวเองคือหมอ "อะไรที่ทำให้คุณคิดว่าผมเป็นหมอล่ะ" อ้าวหาเรื่องกันเหรอหมอ

เอาเป็นว่าสนุกแบบดูได้เรื่อยๆ ถึงจะเสียที่วางเรื่องแบบจับใส่ๆแบบไม่เกรงใจถึงความผิดเพี้ยน ตัวหนังก็พอดูสนุกได้บางอารมณ์แม้จะไม่มีอะไรที่น่าจดจำก็ตาม
รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)