The Devil's Rejects (2005) เกมล่าล้างคนพันธุ์นรก

The Devil's Rejects (2005)
เกมล่าล้างคนพันธุ์นรก
Director: Rob Zombie
Genres: Crime | Horror | Western

ตอนแรกน่าเสียดายตัวเองที่ไปดูเรื่องนี้ก่อน เพราะไม่รู้ว่าเป็นภาคต่อของ House of 1000 Corpses (2003) แต่ยังดีนะที่เนื้อเรื่องไม่ได้ประติดประต่อต้องดูภาคแรกก่อนเท่านั้น ไม่งั้นมีหวังได้งงเป็นพักๆแน่เลย ขอบอกก่อนเลยล่ะกันว่า The Devil's Rejects เป็นหนังที่ถูกใจไม่น้อยเลยทีเดียว


ผลงานเรื่องแรกอย่าง House of 1000 Corpses ของชาวร็อค Rob Zombie ทำเป็นหนังคัทล์เกินเหตุไปหน่อย พอคราวนี้กลับมายังคงหน้าตาเหล่านักแสดงเดิมๆ และเนื้อเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวโรคจิตเช่นเคย เพียงจะเจาะลึกเข้าครอบครัวแทน และเปลี่ยนตำแหน่งจากผู้ล่ากลายเป็นผู้ถูกล่า ฟังดูก็คงแปลกๆว่าใครจะมาล่าได้ จากคราวที่แล้วครอบครัวโรคจิตได้ดื่มด่ำไปกับการฆ่าอย่างเพลิดเพลิน มาตอนนี้เจ้าหน้าที่ไวเดล (William Forsythe) นายอำเภอไฟแรงสูงที่อยากจะจับกุมครอบครัวเหลานี้ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เป็นล้างบางให้สิ้นซาก พร้อมสาบานในใจเอาไว้ด้วยว่าจะกำจัดไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว เพื่อแก้แค้นให้กับพี่ชาย เมื่อกลุ่มตำรวจได้แห่มาถึงบ้าน ทำให้ต้องเกิดต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย จนเบบี้ (Sheri Moon Zombie) กับโอติส (Bill Moseley) ต้องหนีกันจ้าละหวั่น และติดต่อไปหาพ่อ กัปตันสปอลดิ้ง (Sid Haig) เพื่อเป็นการเตือน และขอความช่วยเหลือ ทว่าไวเดลไม่ยอมแม้จะปล่อยไปง่ายๆ เขายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้คนที่เหลือมาแม้จะต้องแหกกฎหมายก็ตาม ในขณะที่ครอบครัวโรคจิตที่เหลืออยู่ก็ใช่ว่าจะหยุดจัดการเหยื่อระหว่างทาง ทำให้การไล่ฆ่าที่ล่าอย่างดิบเถื่อนเต็มไปด้วยศพข้างทาง แต่ยิ่งตามล่ามากเท่าไหร่คนอย่างนายอำเภอไวดอลก็ยิ่งไม่ใช่คนรักยุติธรรมอย่างเคย เพราะตอนนี้เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อหาครอบครัวโรคจิตพวกนี้ให้ครบ และไม่สนด้วยว่าจะเป็นยังไง แต่ถ้าได้ตัวมันมาเขาจะทรมานให้สาหัสปางตาย


เปิดเรื่องได้น่าตื่นเต้นกับการเริ่มวิถีมุมมองใหม่จากคนลึกลับกลายเป็นคนที่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เคยเป็น ส่วนหนึ่งมาจากรู้นิสัยกันหมดแล้วกับ House of 1000 Corpses ที่มีครอบครัวโรคจิตมากันครบทุกคน และคงบ้าประสาทกันทั้งนั้น ทว่าไม่นึกเลยว่าตัวหนังจะเปิดเรื่องได้เร็วขนาดนี้ด้วยฉากกลุ่มตำรวจที่ยกคนในโรงพักไปดักรอหน้าบ้าน ซึ่งในระหว่างนั้นครอบครัวโรคจิตแต่ละคนกำลังหลับกันอย่างสบายใจก่อนจะตื่นขึ้นมากับเสียงของนายอำเภอที่ขอให้ยอมออกมาแต่โดยดี ถ้าใครรู้ก็คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไม่มีการต่อรองตามที่ขอเอาไว้ สุดท้ายฝ่ายที่เปิดศึกยิงก่อนคือพวกครอบครัวโรคจิตที่ยิงกันอย่างเอาตาย ในเวลาเดียวกันก็รู้ว่าเอาไม่อยู่แน่ๆจำต้องหนีไป ซึ่งมีแต่เบบี้กับโอติสเท่านั้นที่รอดออกมา ตอนที่ทั้งคู่หนีออกมาตัวหนังได้แสดงบรรยากาศข้าวของภายในตัวบ้านที่เปรียบเสมือนคุกเถื่อนที่หนึ่ง ด้วยการใส่รายละเอียดคนที่ถูกจับใส่กรงเอาไว้ แสดงให้เห็นถึงความโรคจิตที่เป็นกันทั้งครอบครัว แล้วเป็นไปได้ว่าคนที่ถูกจับก็ไม่ต่างอะไรจากของเล่นชิ้นดีที่จะอยากเล่นเมื่อไรก็ได้ตามใจชอบ ระหว่างที่รอดกันมาทั้งคู่ก็ยังไม่วายอดฆ่าคนเพื่อประทังชีวิตตัวเองด้วยการหลอก ที่จงใจทำเป็นแกล้งนอนเป็นคนป่วยบนถนนก่อนจะมีคนขับรถเข้ามาเพื่อให้เจ้าตัวออกจากรถไปดู แล้วค่อยฆ่าทีหลังจากข้างหลังที่อีกคนกำลังเฝ้ามองอยู่ ด้วยทักษะการเอาตัวรอดระดับนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่เขลาทางปัญญา ซึ่งยังนับว่าตัวร้ายยังมีสติที่สามารถหาทางรอดได้เสมอบวกกับความไม่สนใจชีวิตผู้อื่นจึงไม่ยากเลยที่จะหนีได้อย่างสบาย และโหดเหี้ยมกับเหยื่อบริสุทธิ์


ด้วยภาพลักษณ์บรรยากาศชวนอึดอัดแห้งๆก็อดนึกถึงเรื่อง The Texas Chain Saw Massacre (1974) ไม่ได้ โดยเฉพาะการให้ที่อยู่ในเท็กซัสเดียวกัน การมีสภาพแวดล้อมที่คล้ายกัน และยังมีครอบครัวที่โรคจิตพอกันอีกด้วย ที่น่าจะมีส่วนคล้ายอีกอย่างคือฉากที่โอติสเอาหนังหน้าคนมาใส่ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเลเทอร์เฟซนักฆ่าเลื่อยไฟฟ้าที่ต้องปกปิดใบหน้าด้วยหนังคน เป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจไม่น้อยทีเดียว เพราะไม่คิดว่าจะมีความคัลท์เข้ามาผสมอยู่ด้วย เนื่องจากภาคแรก House of 1000 Corpses นั้นเป็นหนังสยองที่เต็มตัว เต็มไปด้วยความบ้าบิ่นของการทรมาน และคัทล์ตามแบบฉบับของเลเทอร์เฟซต้นฉบับที่ตอนจบคล้ายกับตอนจับผู้หญิงมานั่งทรมาน แม้จะไม่กี่วินาทีก็ตามเพียงได้เห็นว่าเหยื่อไม่รอดเงื้อมมือก็เท่ากับว่าความสยองยังไม่จบ และกลายเป็นหนังขวัญประสาทไปสักระยะ ความคัลท์ในภาคนี้แม้จะมีอยู่บ้าง ถ้าไปเกิดไปเทียบกับภาคแรกระดับความสยองมีน้อยกว่ามาก จนระดับความสยองลดน้อยลงไปจนเทียบไม่ได้ในเรื่องความแหวะ สิ่งหนึ่งที่ทดแทนความสยองขึ้นมาคือเอาความโหดเหี้ยมมาใช้ที่ไม่ได้มีแต่เหล่าครอบครัวโรคจิตเท่านั้น ทว่าความโหดนี่ได้ตีขยายเข้ากับพฤติกรรมกับตัวละครอื่น และกลายเป็นความโหดปะทะโหดระหว่างครอบครัวกับนายอำเภอ ถ้าคิดว่านายอำเภอมาเพื่อปราบเหล่าร้ายนั้นอาจเป็นได้เพียงฉากหน้า หารู้ไม่ว่าภายในจิตใจมีความแค้นลึกๆซ่อนอยู่ ในภาคแรกถ้ายังจำกันได้จะมีตัวละครตำรวจที่มีลักษณะหัวโล้น แต่กลับพลาดท่าโดนฆ่า ก็นั้นแหละพี่ชายของนายอำเภอไวดอล ดูเหมือนว่าการแก้แค้นได้เริ่มขึ้นกับครอบครัวโรคจิตพวกนี้ซะแล้ว

ด้วยการเปิดเรื่องที่ฝ่ายตัวร้ายเป็นฝ่ายเสียเปรียบแต่เริ่ม ทำให้เห็นมุมมองใหม่จากการไล่ฆ่าเป็นผู้ถูกล่าซะแทน ทั้งนี้การดำเนินเนื้อเรื่องเองไม่ได้คิดหรือแม้แต่เกริ่นเอาไว้สักนิดเกี่ยวกับความเลวร้ายในภาคแรก ฉะนั้นถ้าอยากรู้อะไรที่เต็มๆไปความชั่วร้ายต้องหาภาคแรกมาดูก่อนจึงเข้าใจถึงความบ้าของครอบครัวนี้ เพราะไม่ได้เกริ่นเอาไว้ และเปิดด้วยการถล่มใส่ผู้ร้ายจึงเปลี่ยนรูปลักษณ์ของหนังจากที่ปกติต้องจับจ้องติดตามฝ่ายตำรวจ หรือไม่ก็เหยื่อผู้โชคร้ายกลับต้องมานั่งดูผู้ร้ายโรคจิตในการหาวิธีเอาตัวรอดของตัวเอง ทำให้หนังได้เข้าใกล้ตัวละครเหล่านั้นมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลนี่เองสภาพของหนังจึงสื่อออกมาได้เลวร้ายอย่างเต็มเปี่ยม ได้เห็นวิถีชีวิตที่ลึกๆก็คนธรรมดาเหมือนกัน และมีความเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเข้าใจซึ่งกันและกัน ถ้ามองไม่ออกว่ายังไงให้ดูกัปตันสปอลดิ้งเป็นตัวอย่างจากการเปิดเรื่องด้วยการมีเซ็กซ์บนเตียงกับสาวสวยๆที่บ่งบอกไม่ได้เลยว่าคนที่ยังแต่งหน้าตัวตลกยังมีอะไรกับผู้หญิงได้อย่างระรื่นใจได้ยังไง ทว่าหลังจากนั้นผู้หญิงที่มีเซ็กซ์ดังกล่าวถือปืนจ่อหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัวแล้วยิงเข้าใส่ ก่อนจะตัดเป็นฝันร้ายเสียแทน ซึ่งในความเป็นจริงสาวสวยคนนั้นไม่ได้มีเอวที่ดีอย่างในฝัน เพราะคนข้างๆกลับเป็นหญิงอ้วนที่อยากมีเซ็กซ์ก็เท่านั้น แต่หารู้ไม่กัปตันสปอลดิ้งมีชีวิตที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อฆ่าตามอำเภอใจ ในฐานะโลกกว้างเขายังมีอาชีพของตัวเอง และสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้โดยไม่ฆ่า และถ้านี่คือฝันร้ายของคนโรคจิต มันคงเป็นตลกร้ายที่ทำสร้างมาเพื่อคนเลวๆขำไม่ออก


แม้จะเป็นฝ่ายหนีมากกว่าสู้ก็ยังไม่อดหาเหยื่อที่หลงเข้ามา ตามความจริงต้องเรียกว่าพวกนักท่องเที่ยวพวกนั้นดวงซวยเองที่ดันมาเจอเบบี้กับโอติสได้ ทีแรกหนังไม่ได้เอาสยองตามเดิมซะแล้ว ที่จู่ๆเปิดเรื่องด้วยการยิงตลอดจนการไล่ล่าที่มอบหมายงานนี้เป็นทริลเลอร์ที่ทั้งดุดัน และมีแอ็คชั่นเข้ามาโหมหน่อย ทว่าการละทิ้งความสยองเป็นทริลเลอร์นั้นจะให้นิยามคำว่าสยองเป็นโหดแทน ซึ่งความดิบเถื่อนทั้งหลายแหล่จะถูกมาระบายกับครอบครัวดวงซวยที่โชคไม่ดี ด้วยการทรมานขืนใจที่เกินรับไวได้ การกระทำด้วยวิธีหยามหน้าผ่านสามี หรือจะปิดท้ายด้วยการฆ่าทิ้งให้สิ้นเรื่อง ถามว่าเป็นจุดที่ไม่ได้มีเพราะอย่างแรกคือมันไร้สาระที่ทำกับเหยื่อบริสุทธิ์ อันดับสองมันเปล่าประโยชน์อย่างมาก แต่ถ้ามองๆดูแล้วนี่เป็นการเล่าถึงความบันเทิงจากคนแปลกหน้าที่ไม่น่าเข้าไปทักคุยด้วยในตอนแรก ก่อนจะพาซวยด้วยกันทั้งหมด อีกด้านหนึ่งมันเป็นการฆ่าเวลาของเบบี้กับโอติสที่แสวงหาความอยากในการคอยพ่อหรือตัวตลกกัปตันสปอลดิ้งนั้นเอง ระหว่างที่คอยการทรมานเหยื่อจึงเริ่มขึ้นอย่างทีละช้าแสดงถึงความดิบในตัวเองที่ไม่สนใจอะไรนอกจากจองจะหาเรื่องให้ได้ แต่เชื่อไหมว่าถ้าสังเกตรูปแบบตัวหนังให้ดีคล้ายจะเป็นการบอกบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตที่ไม่ได้เป็นควบคุมเสมอไป ที่มีตั้งแต่ต้นเรื่องตลอดจนหนังจบที่บอกสถานะของครอบครัวโรคจิตที่เหลือเหล่านี้ว่าไม่มีอะไรแน่นอนเสมอ คนที่ร้ายก็ยังมีที่ร้ายกว่า การคิดว่าตัวเองรอดบางครั้งจำต้องเสี่ยงดวง แม้ว่าสุดท้ายจะต้องตายก็ตาม

จากที่รู้ว่า The Devil's Rejects คือภาคต่อ และคาดว่าเป็นภาคสุดท้ายของเรื่องราวสุดโหดของครอบครัวโรคจิตนี้ที่เห็นได้จากตอนจบที่ซาบซึ้งจนแอบคิดในใจทันทีเลยว่าตัวเองไปชื่นชมไอ้คนพวกนี้ได้ยังไง แต่ก็ว่าเถอะที่หนังในตอนท้ายทำให้เราอินไปกับวาระชีวิตสุดท้ายของพวกเขาได้อย่างไม่มีข้อกังขา และยังเป็นการเพิ่มความเท่ที่สะใจในตัวเขาได้อย่างลงตัว ซึ่งฉากดังกล่าวหลังจากที่รอดเงื้อมมือนายอำเภอนั้นได้กลับให้ความรู้สึกที่ว่าความเลวร้ายได้หายไปกับนายอำเภอด้วย ถ้ามองย้อนไปที่นายอำเภอไวดอลผู้ชมคงจะเลือกเชียร์ในตัวเขาที่ไม่ยอมละมือ ในขณะที่อีกด้านนึงของจิตใจเขาก็เริ่มออกลายถึงความรุนแรงออกมาเรื่อยๆ จนผู้ชมเองต้องพิจารณาใหม่แล้วถึงคนที่น่าเป็นพระเอกคนนี้ แม้เราจะเห็นพฤติกรรมที่โหดร้ายมามากกับครอบครัวโรคจิตเหล่านี้ที่เหลือเพียง 3 คนที่มีกัปตันสปอลดิ้ง พ่อที่เป็นตัวตลกที่หน้าตาชวนพะอึดพะอม เบบี้ลูกสาวที่ไม่แคร์ใจในการวาดลวดลายให้เหยื่อไขว้เขว้ที่แอบความร้ายกาจเอาไว้ และโอติสลูกชายที่ไม่เคารพชนชั้น และมองคนอื่นด้วยความเท่าเทียมอย่างสุดกู่ จริงๆอย่างที่รู้กันว่ายังมีตัวละครอื่นๆอีก แต่ด้วยการปะทะกับตำรวจในตอนเปิดเรื่องจึงกลายเป็นปัญหาที่เกิดกับตัวเองแทน


ตัวหนังเล่นพลิกบทได้พิสดารดีกับการให้ตัวร้ายไม่ได้ร้ายไปทุกครั้งต้องมีพลาดพลั้งได้เสมอ อย่างโอติสที่ให้นักท่องเที่ยวสองคนไปข้างนอกให้ไกลผู้คน ซึ่งตัวเองต้องพลาดท่าให้กับคนเหล่านี้ แต่ด้วยทักษะที่เหนือยังเอาความได้เปรียบกับตัวเองได้อย่างไม่ยากลำบากเกินไป หรือจะเบบี้ที่ถ้าไม่ใช่เตรียมปืนปลอมเอาไว้หลอกคงอาจตายเป็นรูไปแล้ว ที่อยากให้คำนึงมากที่สุดเห็นจะเป็นตอนจบอย่างบอกที่รู้สึกว่าทำได้อินคล้ายผู้กำกับ Rob Zombie ตั้งใจจะปิดเนื้อเรื่องให้จบอย่างสวยงาม ซื่อตรงมากที่สุด และให้เป็นที่จดจำมากกว่าที่ควรจะมองด้วยภาพลักษณ์หยาบๆ

จะเล่าตอนจบให้ฟัง ถ้ากลัวสปอยล์ให้ข้ามได้เลย เมื่อรอดพ้นจากนายอำเภอไวดอลที่โหดเดือดยิ่งกว่า ทั้งการทรมานตลอกจนเผาบ้านมาสำเร็จ ก็ต้องมีสภาพคนที่ล้มละลายไม่มีอะไรเหลืออีกต่อไป พวกเขาที่มีแค่สามคนจำต้องนั่งรถตามเส้นทางไปเรื่อยๆอย่างเหน็ดเหนื่อย โอติสนั่งมองด้วยสายตาที่การณ์ไกล พวกเขาต่างรำลึกถึงวันครอบครัวที่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขที่พร้อมหน้ากันกับรอยยิ้มที่เบิกบาน แต่แล้วเส้นทางที่เปิดโล่งมาตลอดต้องมาถึงทางตันที่ข้างหน้ามีตำรวจตั้งด่านปิดถนนเต็มไปหมด โอติสมองด้วยสายตาที่มุ่งมั่นพร้อมยอมรับจะตัดสินอะไรบางอย่างที่รู้ๆกันระหว่างครอบครัวโดยไม่ต้องถามสักคำ โอติสปลุกเบบี้กับพ่อที่นอนอยู่หลังรถพร้อมหยิบปืนที่อยู่หน้ารถให้อย่างไม่รีบร้อน และดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้เกรงกลัวเลยแม่แต่น้อย ซ้ำยังไม่คิดสนใจหนทางข้างหน้าว่าเป็นยังไงอีกต่อไป พวกเขาทั้งสามหยิบปืนมาเล็งพร้อมที่จะยิงได้ตลอด ในด้านของตำรวจเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่หยุดให้การมอบตัวคงต้องใช้วิธีเด็ดขาดในการปะทะเข้าใส่ พวกเขาเริ่มเล็ง โอติสขับรถพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วไม่แคร์ชีวิตอีกต่อ ปืนที่ถืออยู่ในมือได้ยิงเข้าใส่ไม่ยั้งมือ แม้จะรู้ว่าสู้ไม่ได้กับกลุ่มตำรวจพวกเขายังยินดีที่จะขอเสี่ยงกับโชคชะตา แต่อะไรกันกระสุนที่พุ่งเข้าใส่หาพวกเขาแบบๆไม่หยุดหย่อนที่เจาะพวกเขาเป็นรู จนสภาพที่ดูเละเทะกลับปรากฏรอยยิ้มที่ยินดีคล้ายนี่คือความสุขของชีวิตที่สุดที่จะได้อยู่ด้วยกันกับครอบครัว นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ทำอะไรด้วยความต้องการของตัวเอง แม้ไม่สำเร็จก็ขอให้รู้ว่านี่คือชะตาที่เราได้ลิขิตขึ้นมาเอง แต่ก็เล่าไปอาจยังไม่ได้อารมณ์มากพอ ถ้าหามาดูจะรู้เลยว่าเป็นจังหวะฉากที่เช็ตเรื่องเช็ตราวได้อารมณ์อย่างมาก ก็ว่าทำไมถึงเป็นที่ชื่นชอบกันนัก แม้จะรู้สึกกันน้อย แต่หนังดีตามต้องการจริงๆ


The Devil's Rejects คือหนังที่ดำเนินเนื้อเรื่องได้ลื่นไหลไปกับความเถื่อนของตัวละครที่ทั้งเลือดเย็น และโรคจิต เราคงคิดเห็นในสิ่งที่หนังเสนอได้ไม่ยากกับคนเราที่มีจิตใจที่ทั้งดีและร้ายปะปนกันไป ต่อให้เป็นตำรวจที่ยึดมั่นกฎหมายมากเพียงใดสุดท้ายยังต้องหลงไปกับจิตด้านมืดของตัวเองจนไม่ต่างอะไรกับศาลเตี้ยที่มักใหญ่ใฝ่อารมณ์ตามความแค้นส่วนตัว อีกด้านหนึ่งผู้ร้ายในโลกนี้ไม่ได้เกิดมาเก่งไปซะทุกครั้ง และทุกครั้งต้องมีเสี่ยงดวงกันบ้าง ไม่มีอะไรแน่นอนไปกว่าการตั้งตัวเองให้มั่นคง เป็นหนังที่เสียดสีได้อย่างมีระดับ แสดงจุดด้านมืดออกมาให้เห็นอย่างโจ้งแจ้งอย่างมีเหตุผล ถ้าใครชอบหนังเรื่องนี้ก็ถือว่าไม่แปลก ถ้าเกิดไม่ชอบก็ไม่แปลกเช่นกัน เพราะนี่คือหนังสยองที่เล่าเรื่องด้วยความเป็นทริลเลอร์ที่เถื่อนอย่างมีชั้นเชิง ทั้งสดทั้งดิบ จนไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้เกินคาด

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)