Friday the 13th Part III (1982) ศุกร์ 13 ฝันหวาน ภาค 3

Friday the 13th Part III (1982) | ศุกร์ 13 ฝันหวาน ภาค 3
Director: Steve Miner
Genres: Horror| Thriller

แต่เอ่ะนี่เรื่องราวยังไม่จบอีกอย่างงั้นหรือเนี้ย ใช่แล้วเนื้อเรื่องยังคงสานต่อจากภาคที่แล้วหลังจากเจสัน วอร์ฮีส์โดนมีดสับไหล่นอนกองกับพื้นจนเข้าใจว่าน่าจะตายแล้วเพราะฟันลึกขนาดนั้น ทว่าความจริงเรื่องของเรื่องคือผู้กำกับดูจะจงใจสร้างให้เกิดภาคนี้ออกมาต่อจากเค้าโครงตอนที่เรื่องแล้วแบบให้เห็นชัดๆ โดยเปิดเรื่องด้วยตอนจบของภาคคราวก่อนที่ไล่ล่ากันจนเจสันต้องสยบให้กับปัญญาความฉลาดของนางเอกที่ทำให้เจสันหลงคิดว่าเป็นแม่ตัวเองจนพลาดท่าไป จนกระทั่งเจสันได้สติก็ลุกเดินไปเรื่อยจนไปเจอแคมป์ใกล้ๆแห่งหนึ่ง(อันที่จริงน่าจะเรียกว่าฟาร์มมากกว่า) ด้วยเหตุบังเอิญได้มีกลุ่มวัยรุ่นมาเที่ยวอาศัยที่บริเวณนั้นพอดี จึงสรุปได้ว่าซวยไป อ้าวก็ซวยจริงๆดันมาเที่ยวหาความสำราญอย่างมีความสุขกับต้องวิ่งกรี๊ดสติแตกไปซะงั้น นึกแล้วยังคิดอยู่เลยว่ามันช่างบังเอิญไปหรือเปล่า แบบพึ่งมาเที่ยวเองนะ เจสันเองก็ไปพักฟื้นตัวที่นั้นอยู่ก่อนด้วย พอมาเจอะวัยรุ่นเท่านั้นแหละความสยองจึงบังเกิดเข้าอีกครั้ง โดยครั้งนี้แตกต่างมากในเรื่องของอารมณ์เดิมๆที่มีอยู่ เนื่องจากเดิมทีไล่ฆ่าแถวแคมป์คริสตัล เลคบรรยากาศเลยมาแนวป่าริมทะเลสาป พอภาคนี้เหมือนจะได้กลิ่นกองฟาง


ไม่แค่ภาคต่อเฉยๆอย่างที่เคยเป็นมาก่อน เพราะภาคนี้ปรับแต่งให้มีมุมกล้องแบบทะลุจอหรือจะบอกว่าทำเป็น 3D คงไม่ผิด ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจเรื่องภาพที่จงใจทำทิ่มหน้าทิ่มตาอย่างใกล้ชิด แล้วทำไมต้องเลือกให้ออกมาสามมิติด้วยล่ะ ก็เพื่อความสยองขวัญแบบใกล้ชิดยังไงล่ะ ยิ่งบางฉากทำเอาเข้าตาผู้ชมกันไปเลย ถือเป็นอีกความสะใจอย่างหนึ่งที่คอหนังสยองอาจชอบก็ได้ แม้จะรู้สึกแปลกไปนิดแต่ยังจัดว่าสมจริงเช่นเคย ที่ว่าสมจริงอันนี้คงไม่ต้องอธิบายมากเกี่ยวกับการเมคอัพที่เฉาะกันถึงเลือดถึงเนื้อ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญกันดีถึงความสยองที่ว่าโหดก็โหดกันจริงๆ ที่น่าแปลกคงไม่พ้นกลวิธีเพิ่มมุมใหม่เปลี่ยนจากมุมสองมิติเป็นสามมิติอย่างที่บอกในข้างต้นว่าเพื่อความสยองแบบโผล่ใกล้ชิด ทีนี่เมื่อเปลี่ยนทิศทางรูปแบบไปกลิ่นอายจึงชวนแปลกไปด้วย เริ่มจากมันไม่แอบๆฆ่าอย่างที่สองภาคแรกทำ ทำให้เวลาฆ่าแต่ละครั้งเราจะเห็นตัวตนของเจสันประกอบไปด้วยผิดกับการเห็นมือกับอาวุธฆ่าคนที่ชวนน่าวิตกว่าอาจเป็นไปใครก็ได้ แต่ภาคนี้ลูกเล่นมาทะลุจอเวลาฆ่าหรือทำอะไรจำต้องมาจอทะลุให้สมชื่อ ยิ่งฉากเจสันเอาปืนฉมวกมายิงนี่แทบจะยิงสายตาผู้ชมไปด้วยเลย หรือจะฉากบีบหัวจนลูกตาทะล้นเด้งออกมายังชวนสะดุ้งกันบ้างเลย นับเป็นอีกเสน่ห์อย่างหนึ่งสำหรับหนังชุดนี้ที่ไม่ต้องการจำเจไปซะทุกเรื่อง โดยอย่างยิ่งเรื่องสูตรแล้วภาคนี้พยายามตีห่างจากสถานที่เดิมๆจนเห็นได้ชัดบวกกับสภาพแวดล้อมที่ทำเปลี่ยนไปด้วย นับว่าความพยายามที่จะสร้างสรรค์ยังมีประโยชน์ไม่น้อย

แม้จะพยายามเลี่ยงในสูตรของตัวเองเกี่ยวกับการฆ่าวัยรุ่นแล้วก็ตามที แต่สุดท้ายไม่มีอะไรเปลี่ยนหรือใหม่มากนัก จะมีคือการปรับสถานที่ใหม่ มีตัวละครนอกเหนือกลุ่มวัยรุ่น และการฆ่าที่อาจจะเปลี่ยนไปบ้างด้วยการเปิดตัวตนที่เด่นชัดยิ่งขึ้นจากการเผยตัวตน ซึ่งกับอย่างหลังคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าจะให้ยังมีการฆ่าแบบแอบๆอยู่อีก เพราะเรารู้แล้วว่าใครคือฆาตกรคนนั้น ดังนั้นไม่ต้องนั่งคิดวิเคราะห์ให้เดาว่าใคร ที่ดีคือการฆ่าแบบแอบๆยังคงใช้ได้ดีในแง่ชวนลุ้นกับการมาไม่ทันตั้งตัว ฉะนั้นใครคิดว่ายืดยาดเสียเวลามัวแต่ไล่กวดกัน อันนี้ขอตอบว่าไม่มีสิ่งนั้นอยู่หรอก เพราะตัวละครที่โดนหมายหัวมีโอกาสตายเกินกว่าครึ่งแน่ๆ โดยอย่างยิ่งพวกที่ชอบเสพความสุขกันบนเตียงยิ่งมีโอกาสความเป็นไปได้ว่าถูกฆ่าอย่างไม่ต้องสงสัย นี่แหละสูตรเด็ดประจำ Friday the 13th ที่ใครเซ็กซ์กันจำต้องตายคาเตียง ดูเหมือนสูตรนี้จะใช้ได้ดีกว่าที่คิด เพราะเป็นการตรอกย้ำในใจด้วยว่าการมีอะไรกันไม่ได้ช่วยให้เรามีความสุขสมใจได้จริง เป็นข้อคิดสั้นๆว่าอย่ามีอะไรกันก่อนเวลาเพราะเดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่ อย่างการท้องก่อนแต่ง เป็นต้น ลองกล่าวถึงสิ่งเก่าๆไปแล้วก็ขอเริ่มสิ่งใหม่ที่เปลี่ยนไปบ้างในบางส่วนกับภาคนี้ที่ไม่ได้ฆ่าแค่วัยรุ่นซะแล้ว ตอนนี้เหมารวมกลุ่มผู้ใหญ่ที่เผอิญร่วมเหตุการณ์ด้วย คงเพราะพลาดท่าในภาคสองเลยแค้นหาที่ระบายลงคนวัยทองซะเลย งานนี้เป็นตัวอันตรายเต็มตัวไปแล้ว นอกจากเหยื่อที่เดิมวัยรุ่นอย่างเดียวตอนนี้ยังเปลี่ยนเป็นเหมาหมด จึงไม่แปลกว่าจะมีตัวละครนอกประเภทหลงติดเข้ามาพัวพันในเนื้อเรื่องด้วยอย่างแก๊งมอเตอร์ไซค์ที่ตั้งใจเอาคืนที่โดนเชลลี่ย์ (Larry Zerner) ชนรถอย่างไม่ตั้งใจ ทีนี่พวกแก๊งมอไซค์ได้แอบตามจนไปเจอบ้านกลางฟาร์มที่ตั้งเอาไว้ ด้วยที่ว่าจะแกล้งเอาคืนเลยขโมยน้ำมันจากรถยนต์แล้วระหว่างนั้นแหละมีตัวละครว่างงานเข้าไปในฟาร์ม แล้วยังไงต่อล่ะ ก็ไปเจอเจสันเข้านะสิ


ลืมบอกไป หลังจากภาคสองแล้วเจสันไม่มีที่ไปอีกแล้ว เพราะถ้าจะย้อนกลับที่แคมป์คริสตัล เลคคงต้องเจอพวกตำรวจแน่นอน เนื่องจากตอนนี้เจสันกลายเป็นฆาตกรลอยนวล เห็นได้ชัดแล้วนะว่ามีตัวละครเพิ่มมาอีกกลุ่มเพื่อจะได้ไม่จำเจเป็นวัยรุ่นในพื้นที่ดังกล่าวเสมอไป และอีกอย่างคือสาระแฝงที่ยังมีเนื้อหามาให้คิดเสมอ ไม่ใช่จะฆ่าก็เอาแต่ฆ่าเช่นหนังสยองหมกมุ่นซะเมื่อไร

เหมือนจะคาราวะภาคแรกกับภาคสองด้วยเนื้อท้ายตอนจบกึ่งผสมที่บ้างคนได้ชมแล้วออกอาการคุ้นเคย เริ่มจากกลิ่นอายแวดล้อมในป่าริมทะเลสาปที่ยังมีอยู่ สไตล์การฆ่าที่ดูกี่ทียิ่งรุนแรงและสะใจในความโจ้งแจ้ง ต้องขอบคุณทีมงานที่คัดฉากสยองได้อย่างเต็มอิ่มไม่แพ้สองภาคแรก เรื่องเอกลักษณ์รูปแบบของตัวเองยังไม่ถึงกับพลิกแพลงมากเท่าไหร่ จะมีคือเนื้อหาปมของตัวละครที่ยังหยิบยืมให้มีมิติมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องของวัยรุ่น อย่างเชลลี่ย์ที่มีนิสัยชอบแกล้งเพื่อนจนหลายคนไม่พอใจออกตีห่างเพราะรำคาญในพฤติกรรมแบบนี้ จะทำไงได้ทั้งอ้วน ไม่หล่อ ใครจะมาสนใจอย่างคนรอบข้างที่มีคู่กัน

นี่ขนาดเรียกร้องแล้วแท้ๆกลับไม่มีใครคิดสนใจแถมยังมองว่าเป็นเรื่องแย่ๆอีก อันที่จริงเชลลี่ย์มีความปรารถนาดีอยากให้เพื่อนๆของตัวเองสนใจเขาบ้าง เรื่องอำอะไรนั้นไม่ได้ตั้งใจให้กลัวเกินเหตุแต่อย่างใด น่าเสียดายที่ดูเหมือนจะเล่นแรงเกินไปจนทำให้คู่เดทที่น่าจะใกล้ชิดที่สุดอย่างเวร่า (Catherine Parks) ต้องรู้สึกรำคาญไม่อยากอยู่ใกล้ไปด้วย ทว่าความจริงที่โหดร้ายยังมีความเห็นใจซ่อนอยู่และกับตัวเวร่าเธอเข้าใจความรู้สึกนี้ดีเพียงไม่แสดงออกมาเท่านั้น


ตั้งแต่ชมภาคหนึ่งตลอดจนมาถึงภาคสาม มีภาคนี้นี่แหละที่รู้สึกได้ถึงความรักที่ไม่ใช่เรื่องเซ็กซ์มาเกี่ยวข้องจนในใจลึกๆอยากเชียร์เชลลี่ย์ให้สมหวังในสิ่งที่ตัวเองต้องการกับเขาบ้าง ในช่วงชีวิตวัยรุ่นน่าจะเรียกว่าเป็นเวลาของการเรียกร้องความสนใจอย่างหนึ่งเพื่อให้ตัวเองมีคุณค่ามากขึ้น ซึ่งอีกแง่คงไม่พ้นประเด็นการมีแฟนหรือคู่ใจ นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องแก้เหงาได้อีกด้วย เนื่องจากการที่เราจะมีคู่ใจได้นั้นมาจากอะไรๆที่เหมือนกัน ซ้ำยังยอมรับซึ่งกันและกันจนสนิทสนมอีกด้วย แต่จุดที่เราควรคำนึงคือเรื่องมนุษย์สัมพันธ์ ยิ่งเรามีมนุษย์สัมพันธ์ดีมากเท่าไหร่จะยิ่งมีคนอยากคบหามากขึ้นเท่านั้น สำหรับเชลลี่ย์ยังเป็นอีกแง่ที่เป็นปัญหาในเรื่องนี้อย่างมาก

เริ่มจากการทักทายที่ไม่มาแบบตรงๆอย่างที่ชาวบ้านทำกัน กลับเรื่องทำในสิ่งที่คนอื่นตกใจกลัวแทน แล้วยังจะเรื่องอำที่หลอกคนอื่นจนไม่ต่างกับนิทานเด็กเลี้ยงแกะจนชาวบ้านรังเกียจไม่สนใจใยดีต่อไป ด้วยความที่ว่าขาดจุดนี้ไปโอกาสที่เขาจะสนิทเพื่อนฝูงจึงมีน้อย ทำให้เพื่อนๆต่างเซ็งและเบื่อเขามากทว่าบทหนังยังมีเยื้อใยให้เขารู้สำนึกในสิ่งที่ทำลงไปในบทสรุปที่ลงเอยด้วยผลลัพธ์ที่ย่ำแย่ จากเรื่องสนุก(ส่วนตัว)กลายเป็นเรื่องน่าอัปอาย จนลึกๆนึกโทษตัวเองว่าทำไมถึงทำเรื่องแย่ๆไปได้ ซึ่งในระหว่างนี้มีตัวละครอยู่ตัวหนึ่งที่มองเชลลี่ย์เข้าใจว่าเขาทำไปเพื่ออะไร และเพราะอะไรเขาจึงเป็นเช่นนี้ นั้นคือการเรียกร้องความสนใจ


เนื่องจากตัวเองไร้คู่ปราศจากผู้หญิงรู้ใจเช่นคนอื่นๆที่เดินไปไหนมาไหนด้วยกัน พูดง่ายๆคือเริ่มอิจฉาจนอยากจะมีบ้าง สังเกตได้จากคำพูดที่ว่าตัวเองเรื่องรูปลักษณ์ที่ไม่เฟอร์เฟคอย่างคนอื่น ในขณะเดียวกันเวร่าคือตัวละครที่ช่วยดึงเขาออกจากโลกที่เราเห็นว่าน่ารำคาญนี้อย่างเข้าใจ เริ่มจากความเหงาเปล่าเปลี่ยว และความเหงานี่แหละที่เป็นต้นเหตุของพฤติกรรมเชลลี่ย์ เวร่าเป็นตัวละครที่เรามองเห็นว่ามีความใกล้ชิดมากที่สุดตั้งแต่นั่งรถไปซื้อของ ที่ตอนนั้นเองที่เราเห็นบางอย่างในใจของเธอว่ารู้สึกภูมิใจไม่น้อยกับเชลลี่ย์ที่กล้าจะทำจัดการพวกแก๊งมอไซค์(แม้จะเป็นแค่การไปเหยียบรถซ้ำก็ตามที) และในฉากหนึ่งนั้นเองที่เรารู้ว่าเวร่ารู้สึกกับเชลลี่ย์จริงๆคือตอนหยิบกระเป๋าตังค์ของเชลลี่ย์ที่คิดว่าน่าจะถูกขโมยไปในร้านสะดวกซื้อกับแก๊งมอไซค์ แต่อันที่จริงเวร่าหยิบออกมาเพียงไม่ได้ให้คืน เวร่ารู้สึกดีใจกับเชลลี่ย์ และคิดว่ากระเป๋าน่าจะสื่อถึงใจของกันและกันได้อย่างดี นี่แหละที่คิดว่าเป็นเรื่องน่าคิดที่แตกต่างจากเนื้อหาของครั้งก่อนๆที่มองแง่ตัวร้ายซะมาก ตอนนี้มาเจาะใจตัวละครบ้างชวนให้มีมิติน่าค้นหาไปอีกแบบ

เพราะมีความรักที่กำลังจะสื่อใจถึงกันและกันได้ ทำให้ชวนรู้สึกสะเทือนอย่างมากกับตัวละครทั้งสองระหว่างเชลลี่ย์กับเวร่า นี่ถ้าเลือกได้ขอเปลี่ยนบทนางเอกจะดีกว่าแล้วขอเปลี่ยนพระเอกเป็นเชลลี่ย์ด้วยจะรู้สึกว่าน่าเอาใจช่วยอย่างเต็มล้นเปี่ยมเลย เป็นภาคที่ทำเอาตัวเองสลดใจไม่น้อยเกี่ยวกับตัวละครสองคนนี้ที่บ่นว่า"ไม่น่าเลย อุตส่าห์เชียร์แล้วเชียว ชักเริ่มไม่ชอบเจสันที่มาขัดจังหวะซะแล้วสิ" ที่ว่าบ่นไม่ชอบนี่ไม่ใช่บอกว่าเกลียดนะแค่บทมันชวนเศร้ากับตัวละครเท่านั้นเอง จัดว่าเป็นหนังสยองที่เล่นไม่ปล่อยกันเลย แต่ที่แน่ๆอย่างแรกคือตอนจบที่ใช้รูปแบบนี้มาตั้งแต่ภาคแรกแล้วนะ และเป็นแบบแผนความสยองที่เอาลุ้นอย่างเหลือเชื่อเลยด้วย


ถามว่ารูปแบบยังไง จะตอบให้ฟังว่า"เคยสังเกตตัวละครที่รอดคนสุดท้ายไหมว่าเป็นเพศอะไร เหลือกี่คน และตอนท้ายเรื่องต้องเหลือเวลาประมาณ 10-15 นาทีเพื่อเสิร์ฟอารมณ์ช็อคกรี๊ดใช่ไหมล่ะ" อันที่จริงวิธีนี้ช่วยได้เยอะเวลาเคลียร์ตัวละครพวกไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวออกไป แล้วจะเหลือผู้รอดคนสุดท้ายที่รู้ความจริงออกมา ซึ่งคนที่รู้คือนางเอกของเรื่องเป็นส่วนใหญ่(รวมถึงภาคนี้) ทำไมต้องนางเอกล่ะส่วนพระเอกทำไมถึงไม่มี เพราะฉากไล่ล่าตอนท้ายเรื่องเป็นไม้ตายที่เอาไว้ลุยหน้าทีเดียวจบ ผู้ชมจะรู้สึกทั้งลุ้นทั้งมันส์อย่างมากกับฉากนี้ ในขณะที่ต้องนางเอกเพราะเป็นเพศหญิง อารมณ์ที่เห็นผู้หญิงหนีจะช่วยแสดงความเร้าใจได้มาก

ที่ได้อารมณ์เนื่องจากการกรี๊ดบ้างล่ะ การแสดงบ้างล่ะ รวมถึงการละในความเท่ หนังสยองเราไม่ต้องการตอนจบที่ออกมามาดเท่อย่างหนังแอ็คชั่น และการที่มัตัวละครฝ่ายชายมักจะมีความเอาเปรียบในส่วนลึกๆ ผิดกับฝ่ายหญิงชวนลุกลี้ลุกลนดีกว่า ที่ต้องการคืออารมณ์ที่เก็บเอาไปให้กลัว ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ตอนจบนางเอกมักจะสติแตกจนเห็นภาพหลอน เท่ากับว่าเธอกลัวจนช็อคสุดๆไปเลย เป็นการบ่งบอกตัวหนังอีกด้วยว่าความสยองที่ได้จาก Friday the 13th มีความน่ากลัวเก็บไปคิดเพ้อฝันจนผวา ซึ่งภาคนี้ได้ทำตอนจบแบบเดียวกับภาคแรกเอาไว้ เป็นอย่างที่บอกว่าต้องการคาระวะ


อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เราจำได้ว่าเป็นเจสัน วอร์ฮีส์ฆาตกรสุดโหดแห่งโลกสยองขวัญ เราจำได้ไหมว่าสโลแกนอย่างแรกเป็นถุงผ้าที่เอามาคลุมหัว แต่แน่นอนล่ะว่าคงไม่เป็นที่น่าจดจำเพราะดูธรรมดา พอมาภาคนี้สโลแกนที่ทำให้ผู้ชมจำชื่อนักฆ่ารายนี้ได้คือหน้ากากฮอกกี้ที่ใส่แล้วราศีจับขึ้นทันตา แล้วมันก็กลายเป็นเครดิตประตัวที่หาหน้ากากใหม่มาแทนไม่ได้อีกแล้ว และภาคนี้คือจุดกำเนิดเจสันหน้ากากฮอกกี้ นอกจากนี้ยังมีท่าคลาสสิคในภาคนี้ที่แสดงความหลอนผ่านมุมสามมิติคือฉากที่เจสันโดนขวานจามหัว พอหลังจากนั้นเจสันจะชูสองขึ้นมาคล้ายจะบีบคอ ฉากนี้ถ้าว่าเป็นสามมิติแล้วคือผู้ชมกำลังจะถูกเจสันจ้องบีบคอนั้นเอง ทำให้กลายเป็นท่าประจำเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่แสดงความน่ากลัวยังไม่จบลงง่ายๆ

กับภาคสามเป็นอีกภาคที่ดูแล้วสนุกพอตัว การฆ่าเหยื่อแต่ละทียังเด็ดในเรื่องความสยองเช่นเคย แม้จะหลุดๆประเด็นเดิมไปหน่อยแต่ถือว่าเป็นอีกอารมณ์ให้สัมผัสกันไป ที่ชอบคือตอนท้ายเรื่องที่ว่ามันส์กับบทคริส (Dana Kimmell) เล่นเป็นนางเอกที่สะใจมาก เพระสู้กับเจสันแบบสู้ยิบตา ใครไม่รู้เป็นไงลองหาชมได้เลย ยิ่งตอนท้ายนี่สนุกไม่เบาเลยทั้งลุ้น ทั้งมันส์ ตื่นเต้นดีมาก

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)