Green Chair (2005) | คว้ารักมาแนบเท้า
Director: Cheol-su Park
Genres: Drama | Romance
Grade: C+
คิมมูนฮี (Jung Suh) อาจารย์สาววัยสามสิบที่ต้องจำคุกเพราะการท้าทายในกฎหมายข้อหาพรากผู้เยาว์ฮยอน (Ji-ho Shim) ลูกศิษย์ของตัวเอง ทำให้เธอจำใจต้องเข้าคุกรับใช้ความผิด หลังจากครบกำหนดพ้นออกจากคุกมาได้คิมมูนฮีก็ได้เจอกับคนที่มารอรับคนแรกคือฮยอนนักเรียนของเธอที่ตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นผู้ใหญ่กว่าแต่ก่อนแม้ว่าจะเป็นเพียงวัย 19 ปีเท่านั้น แต่ด้วยความคิดของคิมมูนฮีที่มีต่อฮยอนนั้นเธอกลับคิดว่าเป็นเพียงที่ต้องการทางอารมณ์เรื่องเซ็กซ์จึงขอลาแยกทางออกไปเพื่อไปอยู่กับจีน (Yun-hong Oh) เพื่อนของเธอที่ไม่ยึดติดว่าคิมมูนฮีจะทำผิดมากต่อสังคมแค่ไหน
ทว่าในใจของคิมมูนฮีกลับรู้สึกเคืองในตัวฮยอนที่ไม่ยอมรั้งให้อยู่ต่อไป แต่กลายเป็นว่าคนที่เธอกำลังโกรธเคืองอยู่นั้นมาถึงที่ๆเธอจะมาถึงเสียอีก ทำให้คิมมูนฮีมั่นใจในความรักครั้งนี้มากขึ้นว่าครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องตลกที่ฟ้ากลั่นแกล้งแต่มันเป็นเรื่องจริงของคนทั้งสองที่อยู่ต่างวัยจะมีความรักต่อกันได้โดยไม่ต้องสนใจเรื่องอายุเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ไม่ใช่คิมมูนฮีจะต้องรับภาระจากสังคมที่มองว่าเธอไม่ดี แต่เป็นฮยอนที่ยังเด็กกว่ามากและไม่แน่ใจว่าสังคมจะมองยังไงในรักครั้งนี้ที่มีคำอ้างว่าเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นเรื่องเพศมากเกินไป ซึ่งนั้นเป็นปัญหาผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของทั้งสองที่ต้องเข้มแข็งต่อไป ถ้ายังรักกันจริงและอยากอยู่ด้วยกันจะต้องชนะอุปสรรคอีกมากมายเพื่อพิสูจน์ว่ารักต่างวัยไม่ใช่เรื่องผิดแปลก เพียงแค่มันเป็นความรู้สึกของคนสองคนที่รักกันเท่านั้นเองที่รู้สึกได้
อันดับแรกหนังเรื่องนี้ 18+ จากหลายๆฉากที่ค่อนข้างอีโรติคพอสมควร ซึ่งก็เป็นเรื่องของนักแสดงสองคนในเรื่องระหว่าง Ji-ho Shim กับ Jung Suh ที่ต้องลงทุนเปลือยร่างกายเล่นแบบโฉ่งฉ่าง แต่คำว่าโฉ่งฉ่างในที่นี่หมายถึงการแสดงบทเซ็กซ์กันอย่างใกล้ชิดชนิดเนื้อแนบเนื้อ ต่างฝ่ายต่างนอนทับ ส่วนจะเห็นมากน้อยแค่ไหนก็เป็นไปตามที่บอกคืออีโรติค ไม่เห็นอะไรไปมากกว่าท่าทางแบบใช้มุมกล้องกับสปิริตนักแสดงในท่าทางให้สมจริงสมจังออกมาให้มากที่สุด และทั้งคู่ต่างเหมาะสมกันดีคล้ายเป็นคู่กันจริงๆ ภาพลักษณ์ที่จะบอกว่าอีกคนอายุ 30 ปี อีกคนอายุ 19 ปีนั้นดูแทบไม่ออก เพราะตลอดทั้งเรื่องคนที่น่ามีประสบการณ์น้อยที่สุดกลับเป็นผู้กุมในหลายๆเรื่อง และยังไม่มีวี่แววของอารมณ์หวั่นไหวแม้แต่น้อย จึงเชื่อได้ว่าทั้งสองต่างมีความผูกพันที่ลึกซึ้งอย่างมากต่อกัน ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเวลาที่ให้ได้เห็นทั้งคู่เผชิญต่อโลกกว้างที่แน่นอนว่าย่อมเสียงที่ไม่ถูกปากและอาจไม่พอใจจนคิดว่าสมควรให้เลิกต่อกันดีกว่า ในขณะที่อีกเสียงกำลังจับตามองอยู่ห่างๆเพื่อคอยเล่นงานด้วยข้อหาเดิมๆ หรือจะอีกเสียงที่ไล่ตามหลังแอบส่องไปทั่วเพื่อมองชีวิตคู่เพื่อนำไปสร้างความบันเทิง โดยมองคิมมูนฮีฮยอนเป็นหนูทดลองตัวจริง สุดท้ายความวุ่นวายนี้จะหายไปอคติได้แค่ไหนกันเชียว
Green Chair คือหนังที่ต่อยอดการแทงจิกใจดำของมนุษย์ที่ไม่คิดสนใจกับเรื่องเซ็กซ์ที่ในใจกลับมีความอยากไม่แพ้กัน ด้วยปมของตัวละครที่เสนอมานั้นต่างมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ด้อยและเด่นแตกต่างกันออกไป สำหรับคิมมูนฮีเธอคือสาววัยย่างก้าวสามสิบที่เริ่มแก่ตัวลงตามเวลา ทว่าภายใต้จิตใจลึกๆแล้วยังรู้สึกได้ถึงความเป็นหนุ่มสาวที่อยากได้ความรักที่แท้จริงกับตัวเอง โดยเฉพาะคู่ของเธอที่ต้องมั่นใจในคำว่ารักแท้ไม่เปลี่ยนแปลง ในก่อนหน้านี้เธอเคยแต่งงานมีสามีมาก่อนแต่เกิดหย่าจากไปด้วยความไม่ซื่อสัตย์ของสามีของเธอเอง และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความรักที่น่าจดจำเลยสักนิด เพราะว่าตอนนี้การได้ความรักครั้งใหม่กลับช่วยให้ชีวิตเบ่งบาน มีความสุข และสมหวัง ดังนั้นการทำใจกับความรักที่เริ่มขึ้นใหม่แบบอายุต่างกัน 10 ปีจึงเริ่มขึ้นอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ แต่สิ่งที่ผู้ชมรู้น้อยมากๆเกี่ยวกับคิมมูนฮีคืออะไรเป็นแรงโดนใจให้เธอกับฮยอนมีจุดชีวิตมาถึงขั้นนี้ได้ แม้ตัวหนังจะอธิบายสั้นๆเพียงการเจอหน้ากันเพราะเก็บแผ่นซีดีก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผลลัพธ์ทางนี้ซะเมื่อไหร่ นั้นเองที่ตัวฮยอนทำเช่นกัน คือการทำต่อไปเรื่อยๆกับชีวิตคนรักแบบไม่จำเป็นต้องแคร์ ไม่คิดว่าตัวเองเคยเริ่มมายังไง และจบลงตรงไหน ที่เขาคิดเป็นการอยู่ร่วมต่อไปแบบชีวิตประจำวัน
สำหรับฮยอนถ้านี่คือเด็กวัย 19 ปีจริงก็นับว่าโตอย่างมากกับความคิดและทัศนคติการมองตัวเองต่อสังคมกับคนใกล้ตัว ตัวหนังเราเห็นว่าเขาโตดูเป็นผู้ใหญ่อย่างมากก็จริง แต่อย่าลืมว่าวัยแค่นี้สังคมยังเปลี่ยนมุมมองไม่ได้ถ้าไม่ใช่เป็นไปตามกำหนดการ เช่นการเจอด้านตำรวจแล้วพบว่าฮยอนยังไม่ได้ทำใบขับขี่แล้วให้คิมมูนฮีขับแทน ในสังคมกฎหมายต่อให้ขับดีแค่ไหนถ้ารู้ว่ายังเด็กแล้วไม่มีใบขับขี่สุดท้ายต้องถูกปรับไม่ก็จับอยู่ดี เนื่องจากเรายึดติดกับสิ่งที่เรียกว่าตัวแทน และตัวแทนในที่นี่คือใบขับขี่ที่เป็นเครื่องยื่นยันว่าคนๆนี้ขับรถได้อย่างปลอดภัยเพราะผ่านการสอบมาแล้ว ก็คล้ายๆกับคู่ชีวิตระหว่างคิมมูนฮีกับฮยอนที่ยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงเต็มร้อย เพราะยังไม่ได้สอบนั่นแหละ และกับการสอบครั้งนี้คือทำยังไงให้ทุกฝ่ายยอมรับได้ในแง่ดี แต่ด้วยคำยื่นยันที่ว่ามีใบขับขี่แล้วจะขับดีขับเป็นนั้นอาจเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้นไม่ได้แปลว่าจะไร้อุบัติเหตุตลอดที่ขับรถ ถ้าชีวิตของงคิมมูนฮีกับฮยอนเปรียบเสมือนการขับรถที่ยังไม่ได้ใบอนุญาตขับรถแล้วล่ะก็ คงไม่มีอะไรเป็นปัญหาจนกว่าจะเจอด่านตำรวจเรียกตัวเท่านั้นแหละที่จบจริงๆ ดังนั้นจะเห็นว่าต่อให้รักกันหวานแบบพล่ำเพลื่อแค่ไหนก็ยังไม่ประมาทในชีวิตของตัวเองที่ต้องระวังสื่อมาจับผิด ดูอย่างตอนที่ระหว่างจะมีเซ็กซ์กันเกิดคิมมูนฮีนึกได้ถามมีกล้องแบบดูในห้องหรือเปล่า ตอนที่นักเขียนมาถ่ายรูปก็ยึดหลักฐานคืนด้วยวิธีการรุนแรง หรือจะการทดสอบใจที่จงใจดื่มเหล้าทั้งที่ความจริงคือน้ำเปล่าเพื่อดูว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกทำใจยังไงเวลาคนที่อ่อนโยนกลายเป็นคนที่แข็งก้าว ทั้งหมดนี่เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อชีวิตในอนาคตที่ตอนฮยอนกลายเป็นผู้ใหญ่ในวัย 20 ปี ซึ่งถือว่าเป็นการสอบชีวิตตัวเองทั้งสองฝ่ายเช่นกัน
คิมมูนฮีเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ขาดไม่ได้เพราะความผูกพันที่ยังปรารถนาในใจ แต่ด้วยอะไรระหว่างรักกับเซ็กซ์ บ้างก็ว่ารักคือเซ็กซ์ เซ็กซ์คือรัก ถ้าเราไม่มีจุดนี้จะสามารถรักหรือเซ็กซ์ได้โดยไม่มีอีกอย่างได้หรือไม่ การที่ฮยอนยังไม่ล้มเลิกต่อความสัมพันที่มีต่ออาจารย์ที่ตอนนี้ไม่ใช่ในฐานะลูกศิษย์แต่เป็นคนรัก ที่น่าแปลกคือเส้นกั้นระหว่างเงื่อนไขใช้ไม่ได้ในการกำหนดแบ่งเกณฑ์ เนื้อหาของตัวหนังพยายามใส่สองสิ่งเข้าด้วยกัน โดยกำหนดหัวข้อหลักๆจะได้อย่างแรกคือเรื่องความต่างวัย อย่างที่สองคือการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งสองอย่างล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันเป็นความรักต่างวัย โดยเสนอในรูปแบบเสียดสีแบบกัดแล้วกัดอีก เห็นสภาพชีวิตของทั้งสองแบบเต็มตารางชีวิต หลังจากคิมมูนฮีออกจากคุกได้จริงก็ต้องทำงานรับใช้สังคมต่อข้างนอก งานในที่นี่คือการดูแลผู้ป่วยวัยชราในสถานบำบัด ทีแรกค่อนข้างยุ่งยากอย่างมากในการดูแลคนไข้ที่มีปัญหารายหนึ่งที่ไม่ยอมทำตามคำสั่ง และวิธีแก้ปัญหาคือการร้องเพลงให้ฟังและเป็นเพลงเดียวเท่านั้นที่ร้องได้แถมต้องร้องจากปากเปล่าเท่านั้น คล้ายกับว่าคนไข้วัยชราท่านนี้ยังมีส่วนยึดติดกับปมในใจอยู่ไม่น้อยจนแทบไม่สนใจเรื่องรอบตัว ครั้งหนึ่งคิมูนฮีทำผิดพลาดปล่อยให้หลุดออกไปข้างนอกจนโดนรถชนเพราะเธอไม่ได้ดูว่านอนหลับสนิทหรือยัง แล้วเธอต้องถูกติเตียนเพราะขาดความรอบคอบ ความผิดครั้งแรกคือการมีอะไรกับลูกศิษย์ตัวเอง ครั้งที่สองเธอเกือบทำให้คนอื่นเสียชีวิต และงานฉลองฮยอนอายุครบ 20 ปีโตเป็นผู้ใหญ่ที่เกือบๆจะเป็นความผิดพลาดครั้งที่สามของเธอ
ฮยอนเด็กหนุ่มหน้าใสที่กำลังเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตที่มั่นคงของตัวเองอย่างดีแบบไร้ที่ติ ทั้งชีวิตอิสระการอยู่นอกบ้านแบบไปไหนมาไหนได้อย่างสบาย ถ้าผู้ชมมองดูคงจะเห็นว่าเขาติดอยู่กับคิมมูนฮีทุกช่วงเวลาจนอยากจะคิดอยู่เหมือนกันว่าเขาไม่คิดถึงบ้านหรือพ่อแม่ที่จากมาหรือไม่ เพราะนับตั้งแต่ไปนับตัวในวันออกจากคุกเราแทบไม่เห็นทั้งคู่ห่างกันเลย แม้แต่เวลางานรับใช้สังคมที่ภายหลังฮยอนได้เข้ามาช่วยงานร้องเพลงให้ฟัง ประเด็นคือฮยอนหลงในรักครั้งนี้มากเกินไปจนง้อหัวไม่ขึ้น ไม่ใช่ว่าหลงใหลจนหน้ามืด น่าจะหมายถึงการก้าวข้ามจิตสามัญสำนึกของตัวเองแบบเกินวัยมากกว่า นับตั้งแต่เกิดคดีมีเรื่องมีราว เราแทบไม่เห็นว่าฮยอนจะมีพฤติกรรมอันส่อถึงความสับสนของตัวเอง ไม่กระทั่งตั้งคำถามถึงว่าที่ตัวเองทำไปนั้นถูกต้องแล้วอย่างงั้นหรือ สิ่งที่เราเห็นจากความรักอันมั่นคงอาจเป็นความเห็นแก่ตัวของตัวเองที่ฟังอาจจะมักใหญ่เกินตัว ไม่รู้ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง คล้ายๆกับว่าตัวฮยอนคือหิ่งห้อยที่บินเข้าหาหลอดไฟแล้วพยายามอยู่กับสิ่งนั้นตลอดเวลา เพียงปัญหามันอยู่ตรงที่เวลาเมื่อไหร่ไฟจะดับเพราะหลังจากนั้นตัวเขาอาจไม่มีที่ให้อยู่ต่อไปอีกก็เป็นได้
Green Chair นับว่ามีจุดน่าสนใจพอจะบอกถึงสังคมได้ดีในช่วงท้ายเรื่องที่นำตัวละครสำคัญๆมารวมเอาไว้ ทว่าตัวละครสำคัญเหล่านี้กลับมีบทบาทในช่วงท้ายเรื่องเท่านั้น เนื่องจากตลอดเกือบทั้งเรื่องเรามองเห็นแต่โลกของคิมมูนฮีกับฮยอนอยู่ด้วยกัน นี่อาจเป็นจุดประกายคำถามเกี่ยวกับว่าพวกเขาอยู่ได้ยังไง มีความผูกพันลึกซึ้งแค่ไหน รวมถึงว่าการเกี่ยวพันถึงการมีอะไรกันโดยเซ็กซ์เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ต่างปรารถนาต่อกันแม้จะอยากปฏิเสธแต่พอเอาเข้าจริงกับรู้สึกถึงความสุขต่อกันได้ อีกด้านหนึ่งคล้ายตัวหนังกำลังตั้งใจเผชิญหน้าต่อทางโลกเป็นหลักโดยพยายามสื่อถึงเรื่องกามต่อสังคม
ในท้ายเรื่องเราจะเห็นตัวละครมากมายนับตั้งแต่อดีตสามีของคิมมูนฮี พ่อแม่ของฮยอนตลอดจนถึงผู้หญิงที่ตามโทรศัพท์ฮยอนเป็นประจำ ผู้ชมจะเห็นได้ว่างานฉลองการโตเป็นผู้ใหญ่ฮยอนคือก้าวที่ใหญ่มาก และคิดว่าเป็นข้อเสียของหนังที่เลือกลงทางนี้แต่อีกทางคงบอกไม่ได้ว่านี่เป็นการเตรียมพร้อมของฮยอนที่มีเพียงเขาที่เตรียมตัวเตรียมใจมาแต่ไกลแล้ว ในด้านผู้ใหญ่พ่อกับแม่ฮยอนนั้นค่อนข้างมีทั้งดีและอคติ สำหรับแม่แล้วการมองลูกโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ทำผิดอะไรคงฟังเป็นเรื่องปกติที่ไม่หนักหนาสาหัส จะมีแต่ฝ่ายพ่อที่ไม่ชอบเนื่องจากมองฮยอนเป็นเพียงเด็กที่อยากรู้อยากเห็นในเรื่องเพศมากไปเท่านั้น ไม่ใช่แค่ฝ่ายพ่อของฮยอนที่มองแบบไม่ยอมรับเท่านั้น ยังมีอดีตสามีของคิมูนฮีที่ตั้งใจมางานนี้เพื่อทวงตัวคิมูนฮีคืน ซึ่งแน่นอนว่าฮยอนไม่ยอมเรื่องเสียหน้าแบบนี้แน่ ในด้านตัวคิมมูนฮีเองก็พร้อมใจอยู่กับฮยอนแบบไม่เหลือเหยื่อใยให้อดีตสามีเพราะปมในใจที่ไม่อาจรักชายคนนี้ได้อีกแล้ว นอกจากนี้ยังมีคนที่พยายามเข้ามาขัดขวางแบบอ้อมๆคือตำรวจที่ทำคดีนี้มางานเลี้ยงนี่เช่นกัน แต่เชื่อไหมว่าเขามาเพื่อจะจับคิมมูนฮีในข้อหาเดิมๆแค่เปลี่ยนจากพรากผู้เยาว์เป็นลักพาตัว เพียงแต่ต้องคอยฟังเสียงจากพ่อแม่ว่าจะยินดีบอกแจ้งความหรือไม่เท่านั้นเอง
แต่เชื่อไหมว่าตลอดทั้งเรื่องเราแทบไม่เห็นความยกลำบากเลยสักนิดกับชีวิตที่คล้ายเริ่มใหม่ ทุกอย่างเหมือนเป็นไปโดยง่าย สวยหรูแบบไม่มีอุปสรรคเกินตัว แม้จะเป็นงานเลี้ยงที่รวมคนมากอคติก็ตามก็ยังสามารถคลี่คลายได้โดยฮยอนเอง เหตุที่ว่าตัวหนังเจาะจงมาที่ตัวฮยอนในช่วงท้ายก็เพราะเป็นวันครบรอบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ดังนั้นตัวหนังจึงพยายามบ่งบอกถึงหลักการคิด เหตุผล และความรู้ความสามารถของฮยอนว่าสมควรปล่อยไปตามชะตากรรมของตัวเองได้มากแค่ไหน ในขณะที่คิมมูนฮีจะนำเสนอในช่วงแรกๆของเรื่องเพื่อให้รู้ว่าเธอคนนี้มีความคิดที่ไม่ได้ผิดอย่างที่สังคมตำหนิเธอ สำหรับฉากที่น่าจดจำคงจะเป็นฉากฮยอนแกล้งดื่มเหล้าหลายคนทั้งที่เป็นน้ำเปล่าเพื่อทำท่าทางเป็นคนเมาไร้สติเพื่อลองใจคิมมูนฮีถึงความรักที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ยังไงฉากที่น่าครุ่นคิดอาจจะเป็นตอนที่ทั้งสองเจอกันครั้งแรกหลังจากพบกันในวันปล่อยตัวจากคุกที่ฝ่ายคิมมูนฮีกำลังแสดงท่าทางโอบร่างกายคล้ายไม่ได้เจอคนๆนี้มานานแสนนานและเธออยากเจอมาก คงเป็นหนังที่ดูได้เรื่อยๆแบบไม่มีอะไรมากมายกับความรักต่างวัยที่กำลังบอกถึงว่าโลกทั้งสองที่อยู่ด้วยกันได้โดยไม่ต้องพึ่งอาศัยจากคนรอบข้าง
นี่อาจเป็นเรื่องราวชวนพลิกจากคนที่เด็กกว่าอยากปกป้องคนที่แก่กว่าด้วยความรักจริงๆ