Mystery Men (1999) | ฮีโร่พลังแสบรวมพลพิทักษ์โลก
Director: Kinka Usher
Genres: Action | Comedy | Fantasy | Sci-Fi
Grade: C+
รู้จัก X-Men กันไหมที่กลายเป็นทีมด้วยการร่วมรวมเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่มีพลังพิเศษจนเป็นฮีโร่ ก็เช่นเดียวกันกับเรื่องนี้ที่เกิดทีมพลังพิเศษขึ้นมาที่ปราบเหล่าร้ายในยามที่ผู้ร้ายสร้างปัญหา ณ เมืองแชมเปี้ยนมีฮีโร่อยู่ทีมหนึ่งที่ประกอบด้วยมิสเตอร์ ฟิวเรียส (Ben Stiller) ฉายาเทพพิโรธ ผู้ที่มีพลังได้เฉพาะตอนโกรธเท่านั้น(ไม่เหมือนฮัคล์นะ ประมาณว่าเลือดขึ้นหน้าจนหน้ามืดประมาณนั้น นั่นนับว่าเป็นพลังด้วยเหรอ),บลูราชา (Hank Azaria) จอมแม่นที่ปาสิ่งของได้แม่นยำ ในที่นี่ใช้อาวุธเป็นส้อม(จะว่าแปลกก็คงงั้น) และมนุษย์พลั่ว (William H. Macy) กับความสามารถขุดดินได้เก่ง(แต่เอาเข้าจริงไม่มีที่จะขุด) และก็คงไม่ต้องอธิบายนะว่าอาวุธที่ใช้คืออะไร
ทั้งสามใช้ชีวิตเป็นฮีโร่ที่ช่วยเหลือปราบเหล่าร้ายในยามวิกาลมาอย่างยาวนาน ทว่าก็มีฮีโร่ตัวจริงกัปตันอะเมซิ่ง (Greg Kinnear) ออกมาจัดการให้ทุกครั้งเสมอ ทำให้พวกเขาดูเป็นของเด็กเล่นธรรมดาที่แสร้งอยากเป็นฮีโร่ในสายตาใครหลายคน แต่พวกเขาไม่เคยคิดจะยอมแพ้แม้เป็นได้แค่ตัวประกอบ จนกระทั่งวันหนึ่งตัวร้ายตัวพ่อคาสโนว่า แฟรงเก้นสไตน์ (Geoffrey Rush) ถูกปล่อยตัวจากคุกออกมาได้อย่างอิสระ พอออกมาได้ไม่ทันไรก็ก่อเรื่องวุ่นวายระเบิดตึกซะแล้ว ทำให้กัปตันอะเมซิ่งต้องเข้าไปหาเพื่อจัดการกลับเข้าคุกเสียใหม่ แต่เกิดพลาดท่าถูกจับเสียเอง ด้านพวกฟิวเรียสเองก็สงสัยที่เห็นคาสโนว่า แฟรงเก้นสไตน์จึงไล่ตามไปที่บ้านแล้วพบว่ากัปตันอะเมซิ่งถูกจับตัวไป
งานนี้พวกฟิวเรียสได้ไอเดียต้องหากำลังหนุนมาเพิ่มจึงจัดเกณฑ์หาคนมีพลังวิเศษเข้ากลุ่ม และได้หน้าใหม่ทั้งสี่ประกอบด้วย เดอะ โบว์เลอร์ (Janeane Garofalo) นักโบว์ลิ่งสาวที่มีลูกโว์ลิ่งไม่ธรรมดา,เดอะ สพลีน (Paul Reubens) ความสามารถพิเศษที่อยากให้ใช้ด้วยพลังตดที่เอาถึงตายเป็นอาวุธ(พิลึกซะมัด),หนุ่มล่องหน (Kel Mitchell) ที่ล่องหนได้เฉพาะเวลาไม่มีใครมอง(ถ้าไม่มองแล้วจะเห็นไหมล่ะว่าล่องหนจริง สรุปนี่กวนเปล่า) และเดอะ สฟิงซ์ (Wes Studi) ฮีโร่ลึกลับที่มีชื่อเสียง เมื่อรวมเป็นทีมพวกเขาทั้ง 7 คนจะมาช่วยเหลือกัปตันอะเมซิ่งมาให้ได้ พร้อมกับทำลายแผนการของคาสโนว่า แฟรงเก้นสไตน์ที่ต้องการจะทำลายคนทั้งเมือง
เป็นไงบ้างกับซุปเปอร์ฮีโร่ที่มีพลังไม่ธรรมดา(กิ๊กก๊อก)เหล่านี้ ตั้งแต่สติแตกโกรธไร้เหตุผลจนพลังตดสุดแสนพิสดาร แต่ละคนนี่เยี่ยมจริงๆ เข้าสูตรตำราคนบ้าหนังฮาก็ว่างั้น แต่เดิมหนังเรื่องนี้มีที่มาจาก Bob Burden ที่เขียนลง Dark Horse Comics สมความดาร์คเลยประมาณว่าหดหู่นิดๆกับพลังฮีโร่พวกนี้ที่เถื่อนได้ใจจริงๆโดยเฉพาะพลังตดที่สมควรน่าจะเรียกว่าเป็นภัยกับสังคมมากกว่า เอาเถอะถ้าใจมีจิตอาสาอยากช่วยกู้โลกจะคิดในทางที่ดีเอาไว้ล่ะกัน ถ้ามองดีๆจะมีแต่พวกมีพลังแปลกๆทั้งนั้นเลย เป็นการบ่งบอกเลยว่าการเป็นฮีโร่ไม่จำต้องมีพลังเว่อร์ๆมันอยู่ที่ใจรักจริงๆ
แน่นอนว่าหนังได้แอบเล่นปมด้อยของพลังแต่ละครอยู่เหมือนกันที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเดี๋ยวมีประโยชน์บ้างไร้ประโยชน์ ฟิวเรียสเป็นคนที่จริงจังที่สุดในกลุ่ม และบางทีเข้มงวดกับการเป็นฮีโร่มากเกินไปจนหลายคนไม่ค่อยเข้ากับเขาได้เลยอย่างตอนที่สมาชิกในกลุ่มเข้าไปฝึกทักษะกับเดอะ สฟิงซ์ แต่เดิมทีเดอะ สฟิงซ์ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเลยตั้งแต่แรก พอดีไปเจอตอนมาช่วยเหลือเข้าจึงขอช่วยให้ฝึกให้หน่อย ซึ่งคนอื่นยินยอมโดยง่ายเลยนะที่จะยอมทำตามสั่ง ผิดกับฟิวเรียสที่ยังไม่อยากฝึกด้วยความเต็มใจเหมือนๆคนอื่น ด้านเดอะ สฟิงซ์เองยังบอกเลยว่าเอาแต่ใจเกินไป ทำให้เป็นคนใจร้อน จะว่าตามตรงพลังของฟิวเรียสก็เป็นข้อเสียกับตัวเองไม่น้อย เนื่องจากมีพลังได้เฉพาะโกรธจึงเป็นคนที่ต้องใจร้อนง่ายเพื่อขุดพลังออกมาใช้ง่ายๆ แต่เหมือนพลังจะไปไม่เท่าไหร่เลยจริงๆ จึงเหมือนปมด้อยที่พลังของตัวเองไม่ได้โดดเด่นอย่างคนอื่นที่มีทักษะกันอยู่บ้าง ยังดีอีกอย่างที่เรื่องราวไม่ทำให้ฟิวเรียสถูกทิ้งตอนที่ผิดใจไม่อยากร่วมฝึก เพราะคิดว่าเสียเวลาเปล่าแทนที่จะเข้าไปจัดการคาสโนว่า แฟรงเก้นสไตน์แล้วช่วยกัปตันอะเมซิ่งจะได้จบๆกันไป คนที่ยังไว้ใจคือมนุษย์พลั่วที่ยังเชื่อมั่นในตัวเขาอยู่บ้าง สังเกตได้ตอนฟิวเรียสกลับมายังให้โอกาสให้ปรับตัวใหม่ แต่คนตัวจริงที่ทำให้ฟิวเรียสดีขึ้นเป็นพนักงานในร้าน เผอิญเป็นว่าฟิวเรียสไปตกหลุมรัก และอีกฝ่ายผู้หญิงเองแม้จะลีลาไปบ้าง ก็ถือเป็นตัวละครที่พูดได้ดี เป็นตัวประกอบที่ให้อารมณ์ดีๆเข้ามากับตัวหนังได้อย่างมีทิศทาง ที่สำคัญคือตัวละครมีโอกาสได้ให้ผู้ชมได้มีความผูกผันเรื่องชีวิตอยู่บ้างไม่น้อย
การเป็นฮีโร่ช่วยเหลือคนอื่นถ้าทำผลลัพธ์ไม่งามใครก็มองว่าเป็นฮีโร่กำมะลอ เฉกเช่นพวกฟิวเรียสที่ไม่มีใครมองว่าต้องการพวกเขาอย่างจริงใจ รวมถึงเป็นว่าคนสนิทอย่างครอบครัวยังไม่สบอารมณ์ เห็นจะเห็นมนุษย์พลั่วที่มีครอบครัวอยู่แล้ว ทุกครั้งที่ไปหรือกลับบ้านต้องมีเมียมาบ่นตลอด ขอเลิกบ้างหยุดบ้าง ถิอเป็นปัญหาครอบครัวที่ต้องเลือกระหว่างเพื่อสังคมกับครอบครัว จะว่าในกลุ่มพวกซุปเปอร์เองก็มักไม่ประสบความสำเร็จชีวิตกันเท่าไหร่เลยจริง เพราะมีเวลาต้องปราบเหล่าร้าย ในขณะที่เวลาอยู่ด้วยกันกับคนรักอยู่จะน้อยลงไป ความเหินห่างจึงมีมาเสมอแล้วจะเกิดคำถามกับฝ่ายที่ทนไม่ได้ว่าเรารักกันจริงหรือเปล่า ทำไมไม่อยู่ด้วยกันอะไรทำนองนี้
น่าเสียดายไปหน่อยที่จังหวะประเด็นตรงนี้โดนมองข้ามในการแก้ปัญหาไปซะเฉยๆ ซ้ำร้ายยังชวนรู้สึกว่ากลายเป็นเรื่องตลกที่ไม่ได้เอาจริงอยู่แล้ว แค่เป็นคำขู่ที่โดนพูดเข้าหูทุกวัน จะว่าไปหนังขาดความจริงจังก็กระไรอยู่ เพราะเดิมทีควรจะออกมาตลกแล้วไม่สมควรให้คิดมากจึงออกมาสนุกอย่างที่เป็น Mystery Men เป็นหนังที่สนุกดีมีติงต๊องกันบ้างตามประสาความฮา แต่ตัวละครไม่ถึงขั้นว่าเพี้ยนจนเกินไปมากำลังพอเหมาะ อีกคือนักแสดงที่เล่นได้เก่งกันทั้งนั้นตามด้วยคาแรกเตอร์ที่ไม่เกินหรือขาดจนเกินไป ทำให้ภาพพจน์ดูไม่เว่อร์เกินเหตุ หรือธรรมดาชวนจืดเกินไป แต่คนที่เป็นหน้าเป็นตาได้ดีที่สุดคือ William H. Macy กับ Ben Stiller ที่โชว์สปิริตตามบทบาทของตัวเองได้เหมาะสม ดังนั้นนอกจากมีดาราชูหนังแล้วยังมีฝีมือที่ดึงดูดให้น่าติดตามอีกด้วย ทว่ารู้สึกอารมณ์ยังขุดไม่มากพอรู้สึกยังสนุกได้อีก แต่อีกอารมณ์กลับบอกว่ามันอิ่มไม่ต้องเพิ่มอะไรแล้ว ก็ไม่ว่ากันที่ยังดีที่สามารประคับประคองให้สนุกระดับหนึ่ง
ด้านโทนของหนังให้อารมณ์คุ้นเคยอย่างมากเลย โดยเฉพาะใครเคยดู Batman ของ Tim Burton เนี้ย สภาพบ้านเมืองดูดาร์คพอกันเลย นี่ถ้าบอกว่าเป็นเมืองก็อตแธมล่ะก็เชื่อนะ ทั้งความหม่นๆในยามวิกาล แสงสีดูชัดเจนเป็นจุดเด่น แถมยังคงสภาพไม่ได้ดูใหญ่โตเกินไปให้เห็นเป็นจุดเล็กๆไม่หวังอลังการ เก็บอารมณ์แบบการ์ตูนได้ครบดีจริงๆ เผลอๆออกแล้วผสมแฟนตาซีที่ออกดาร์คนิดนึงที่สังเกตได้จากการแต่งกายที่บางคนออกจะอาร์ตแปลกกว่าชาวบ้านชาวช่อง รวมถึงพวกอาวุธที่ได้มาตอนภายหลังจากดร.เฮลเลอร์ (Tom Waits) ที่แต่ละชิ้นจะว่าแปลกก็แปลกเต็มสูบ อย่างพายุอัดกระป๋องที่ขว้างไปแล้วจะเกิดพายุขึ้นมา หรือจะปืนโยนความผิดที่ใครถูกยิงจะพูดโดยความผิดให้ผู้อื่น เหมือนจะติงต๊องเกินไปแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพองานเข้าจริงๆกลับประสิทธิภาพได้ผล ส่วนพวกมุขตลกเฮฮาอาจมีแป๊กบ้างไม่ใช่เรื่องแปลกเพียงทำให้ดูเพลินได้จัดว่าเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ที่แจ่มแจ๋วแล้ว น่าเสียดายที่ยังปล่อยของได้ไม่สุด ตอนจบยังง่ายเกินไป ไหนบอกว่าเป็นผู้ร้ายที่เคยเก่งกาจที่สุด ทำไมดูไม่ค่อยมีรัศมีที่น่าจดจำ ผิดกับช่วงแรกๆที่มีบทบาทได้น่าสนใจ มีความฉลาดกับไหวพริบพอตัว ลองมานึกๆดูบางทีพวกพลังพิเศษที่ดูดียังอาจไม่เจ๋งเท่าพลังพวกนี้ก็ได้ที่ทำอะไรอย่างคาดไม่ถึงจึงเป็นจุดแข็งในตัวไปโดยปริยาย
Mystery Men เป็นแนวซุปเปอร์ฮีโร่ตลกๆเนื้อหาเบาๆว่ากันตามตรง ไม่มีอะไรชวนหักมุมหรือคิดมาก ถือว่าดูเอาเพลินพอตัวกับนักแสดงที่เล่นได้ดี อ่อเห็นว่าตอนแรกจะเอามนุษย์แครอทเข้ามาร่วมทีมด้วย คิดว่าแค่นี้ก็พอแล้วมั้ง มีกันอยู่ขนาดนั้นการดำเนินเรื่องก็ร่วมๆจะสองชั่วโมงได้