EL MASCARADO MASSACRE (2006)
ถลกหน้า แล้วก็ฆ่า
Director: Jesse Baget
Genres: Horror
Grade: D
นี่ๆมันหนังสยองหรอกนะแล้วมันเกี่ยวอะไรกับมวยปล้ำ ก็เผอิญนักฆ่ามันเป็นนักมวยปล้ำนะสิ ไม่ๆหมายถึงในเนื้อเรื่องมันเป็นนักมวยปล้ำไม่ใช่การแสดงของนักแสดงนักมวยปล้ำ ที่สำคัญมีอีกชื่อหนึ่งว่า Wrestlemaniac แล้วเรื่องราวก็เริ่มขึ้นที่เมืองลาซานเกรเดอดิออสเป็นเมืองร้างไร้ผู้คน เว้นแต่คนกลุ่มหนึ่งที่มาที่แห่งนี้โดยบังเอิญจึงเป็นแรงบันดาลใจในการทำหนังโป๊ที่ได้โลเคชั่นโดนใจ ทว่าก่อนหน้านี้ก็เคยถูกชายแก่คนหนึ่งทักเอาไว้เกี่ยวกับเมืองแห่งนี้ที่ไม่ว่ายังไงต้องห้ามจอดไม่ว่าด้วยกรณีใดทั้งสิ้นพร้อมทั้งให้ขับผ่านไปโดยเร็ว แต่ตอนนี้ไม่เป็นแบบนั้นซะแล้วเมื่อพวกเขาที่มี อัลฟอนส์ (Adam Huss),สตีฟ (Jeremy Radin) , ดัลลัส (Leyla Milani),เด๊บบี้ (Margaret Scarborough),เดซี (Catherine Wreford) และจิมโบ (Zack Bennett) เลือกจะเข้าเมืองดังกล่าวเพื่อถ่ายทำหนังให้เสร็จก่อนจะกลับไป แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นเมื่อตำนานข่าวลือที่ว่าเอลมาสคาราโด (Rey Misterio Sr.) ถูกทิ้งเอาไว้ในเมืองแห่งนี้ได้เกิดขึ้นจริง ในตอนนี้สิ่งที่พวกเขาทำได้คือหนีอย่างเดียว แต่จะไปไหนพ้นเมื่อเขาอยู่ทุกที่ทุกเวลา และฆ่าเพื่อถลกหน้าอย่างเหี้ยมโหด
ไม่มีอะไรมากสำหรับหนังเรื่องนี้ที่ว่ากันสื่อๆเตือนแล้วไม่ฟังดันอยากแวะเมืองต้องห้ามเข้า ซึ่งจะเป็นยังไงก็ว่ากันตามสูตรหนังสยองขวัญที่มักจะเจอเรื่องแปลกๆเข้าให้ และต้องมีตัวละครหายตัวไปสักคนสองคนก่อนจะวิ่งกันแยกย้ายตามหาพร้อมตะโกนชื่อว่าอยู่ไหน ทว่าการกระทำนี้ไม่ต่างอะไรกับการบอกตำแหน่งตัวเองให้รู้ว่าอยู่ที่ไหนและกี่คน ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าถ้าตัวละครถ้าหลายจะดีหรือเดินไปทางไหนจะพบแต่เจ้าฆาตกรใส่หน้ากากมวยปล้ำที่เกิดเป็นว่าคือตำนานนักมวยปล้ำที่เนื้อเรื่องได้ใส่มิติเข้ามา คงไม่ว่าอะไรถ้าอยากให้พล็อตเรื่องแบบสบายเช่นนี้สามารถทำเนื้อหาได้บ้างกับฆาตกรมวยปล้ำที่มีที่มาที่ไปอย่างเข้าใจ โดยผู้ที่รู้เรื่องราวดีคือสตีฟที่เกิดมีความรู้(และอาจบ้าทางนี้)ในการบอกเรื่องราวในเมืองตำนานลาซานเกรเดอดิออสว่าเคยมีที่มายังไงในสถานที่แห่งนี้ที่เกี่ยวโยงกับนักมวยปล้ำที่หายสาปสูญไปของเอลมาสคาราโด ซึ่งในประเด็นนี้น่าจะเพียงพอบอกเป็นนัยๆในช่วงแรกของหนังได้ดีว่าอีกหน่อยคงต้องเจอกับอะไรเข้า และไม่ต้องอธิบายว่าใครที่กำลังตามฆ่าอยู่เพราะเค้าเรื่องก็ว่าแบบนั้น แต่สิ่งที่ตัวหนังกำลังจะบอกคือสิ่งที่ว่าทำไมถึงเกิดขึ้นกับนักมวยปล้ำรายนี้ที่กลายเป็นบ้าคลั่งฆ่าคนอย่างเดียว ด้วยการปล่อยให้ตัวละครวิ่งหนีไปทั่วจนในที่สุดเหมือนจะไปข้อมูลเทปบางอย่างที่นึกยังไงไม่รู้ถึงเอาเทปนั้นมาฟังทั้งๆที่เวลาเช่นนี้ควรจะตั้งสติว่าจะหนียังไง ก็ต้องยอมรับว่าบางทีคงเป็นเทปบันทึกอะไรสักอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับเอลมาสคาราโดก็เป็นได้ โดยปกติมันคงแปลกถ้าเกิดเทปนั้นเปิดมาเป็นสิ่งที่นอกเรื่องเพราะตัวละครจะทำอะไรมันต้องมีเหตุผลมาอธิบาย ซึ่งหนังกำลังหาทางบอกที่ลงเอยสักทางด้วยเทป
หลังจากฟังเสียงในเทปที่ไม่รู้ว่าเปิดได้ไงในสภาพเช่นนั้นสิ่งที่เรียกว่าเหตุผลจึงบังเกิดขึ้นพร้อมอธิบายด้วยว่าเหตุใดเมืองแห่งนี้จึงร้างไร้ผู้คนเช่นนี้ได้ และมันเกิดขึ้นจากการทดลองอย่างลับๆที่นำหนูทดลองนักมวยปล้ำเอลมาสคาราโดมาใช้จนเกิดผิดพลาดคลั่งไร้สติ ซึ่งสิ่งที่หลงเหลือคือจิตวิญญาณในการต่อสู้แบบมวยปล้ำที่เอาจริงกับความโหด แต่สิ่งที่ไม่เข้าเลยจริงๆคือการบอกในสิ่งที่ไม่เห็นจะมีประโยชน์อย่างเรื่องพื้นที่สี่เหลี่ยม โดยพื้นที่ดังกล่าวเปรียบเสมือนสนามต่อสู้ ดังนั้นจงหนีพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจึงจะรอด ไม่รู้อีกว่าบังเอิญหรืออะไรกันแน่ที่พื้นที่สี่เหลี่ยมเหมือนจะอยู่ทุกๆที่จนตัวละครของเหล่าวิ่งหอบแล้วหอบอีกยังหนีไม่ได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือการโค่นเจ้ายักษ์มวยปล้ำนั้นได้จำเป็นต้องถอดหน้ากากของมันออกจึงจะเป็นวิธีเดียวที่จัดการได้ ปัญหาคือวิธีดังกล่าวเกิดมารู้ในช่วงท้ายๆเรื่องเพราะสตีฟดันนึกขึ้นได้ว่าถ้านี่เป็นไปตามกติกามวยปล้ำแล้ว การถอดหน้ากากถือเป็นเรื่องอัปยศของนักมวยปล้ำที่ต้องถูกไล่เนรเทศออกไป ซึ่งเหตุผลที่ไม่รู้ว่างี่เง่าแบบนี้ฟังขึ้นไหมแต่สุดท้ายก็ลอง
ตอนเครดิตเปิดเรื่องไม่ได้คิดว่ามีอะไรน่าสงสัยที่ฉายฉากมวยปล้ำที่กำลังฟัดเหวี่ยงกันที่ไม่รู้ว่าใครแพ้ใครชนะ ซึ่งไปๆมาๆเรื่องของเรื่องดันเกี่ยวกับมวยปล้ำขึ้นมาซะอย่างงั้น บางทีการเห็นคนฟัดกันแต่เริ่มอาจช่วยให้ดูเพลินแต่แรกเริ่ม(อันที่จริงค่อนข้างแปลกตามากกว่ากับมวยปล้ำยุคเก่าๆ) ทำให้ตัวเองเกิดคิดไปว่าจะมีฉากมวยปล้ำในเรื่องนี้บ้างหรือเปล่าในการจัดการเหยื่อที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่พวกนี้ ซึ่งมันก็มีจริงๆแค่ไม่นานเท่านั้นก่อนจะจัดการเหยื่อแต่ละรายหลายอย่างง่ายดาย กระนั้นคงไม่พ้นความโหดที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ที่เหวี้ยงจับกระเด็นไปมาคล้ายนุ่นจนถูกกระทำแบบเถื่อนๆจนฟันหลุดปาก พอเห็นแบบนี้ทำให้ตัวเองสักเริ่มหมดหวังกับการรอดชีวิตของคนกลุ่มนี้ที่ตั้งหน้าตั้งตาหนีขวัญกระเจิงแบบไร้หนทางสู้(เพราะสู้ไม่ได้มากกว่า ดูเอาล่ะกันว่าในเรื่องมีใครไปสู้เจ้าฆาตกรโรคจิตรายนี้ได้บ้างทั้งๆที่มันมามือเปล่าๆ)
ถ้าว่ากันตามเนื้อเรื่องเริ่มความสยองได้ตรงตำราหนังสยองขวัญได้ง่ายมาก เมื่อตัวละครตัวใดตัวหนึ่งเดินไปข้างนอกคนเดียวแล้วหายไปแบบไม่กลับมา จึงเป็นหน้าที่ที่ต้องตามหาคนที่หายและจนแล้วจนรอดก็กลายเป็นว่าต้องหนีแทน ที่น่าเชื่อมากที่สุดคือเรื่องรถที่ขับมาที่ดูเหมือนจะหมดประโยชน์ไปมากในช่วงกลางเรื่องตลอดจนท้ายเรื่อง ทำไมน่ะเหรอ? เพราะรถเกิดเสียขึ้นมาเพราะการที่คนขับไม่ดูทางจนไปชนกับก้อนหินอันใหญ่จนเครื่องดับไป ถ้าว่าตามจริงๆน่าจะเห็นหินก้อนนั้นด้วยซ้ำเพราะมันเป็นทางตรง เอาเป็นว่าไม่ว่ากันที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ ซ้ำยังเป็นข้อดีที่ช่วยให้กลุ่มตัวละครติดแหง่กกับฆาตรกรมวยปล้ำนั้นได้โดยไม่ต้องหนีไปไหนไกลเพราะติดอยู่ในเมืองร้าง เมื่อพูดถึงเมืองร้างจัดได้ว่ามีบรรยากาศที่น่าสนใจในเรื่องความดิบ ชวนให้รู้สึกได้ว่าที่แห่งนี้ไร้สิ่งมีชีวิตแห้งแล้งไม่น่ามีใคร หรือจะบอกว่าสถานที่แห่งนี้ปลอดภัยอยู่แล้วแหละเพราะมันร้างนี่จริงไหม บอกแบบนี้ทำให้ตัวเองสงสัยในความอยู่รอดของฆาตกรมวยปล้ำที่อยู่ที่นี้ได้ยังไงกัน ก็ดูสิว่าแห้งอย่างกับทะเลทรายที่ไม่เหลือความสดชื้นใดๆเลย หรือจะเป็นเพราะการใช้ของเหลือในการประทังชีวิตรอด เนื่องจากในหนังเล่าด้วยว่าฆาตกรมวยปล้ำนั้นฆ่าทุกคนในเมืองจนเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเมืองถึงร้าง เป็นเหตุผลที่ฟังดูไม่ค่อยเข้าหูเท่าไหร่ เพราะมันทั้งเมืองเลยนะ
ด้วยการแสดงของแต่ละคนทำให้ตัวเองไม่หวังอะไรเข้าไปใหญ่กับเรื่องนี้ที่คงไม่มีอะไรมากนอกจากบทบาทของหนังสยองขวัญที่เจอประจำ เว้นแต่นักแสดงรายหนึ่งที่คิดว่าคนนี้สวยสุดในเรื่อง ไม่แค่พอดูสวยเท่านั้นที่พอเป็นจุดเด่นแต่ยังมีอยู่ฉากที่แอบคิดว่ามีของเด็ดอยู่เหมือนกับฉาก Leyla Milani ทำรูปตัว M ที่ตัวเองกำลังแอบหนีอยู่นั้นเอง เป็นการแอบในมุมที่ค่อนข้างแปลกตาและพิลึกดี ส่วนคนอื่นๆไม่ได้คิดว่ามีอะไรแปลกตาเพราะยังเล่นไปตามบทบาทของตัวเอง ที่น่าเสียดายคือการแจกบทที่ไม่เท่าเทียมกันมากๆ สังเกตเลยว่าตัวละครบางตัวเป็นตัวเกินของเรื่องด้วยซ้ำ ในขณะที่บางตัวเล่นมากเกินเหตุจนเสียเรื่องมิติตัวละครที่ยังไม่ทันรู้ว่าเป็นยังไงก็เรียบร้อยซะแล้ว
ข้อดีสำหรับหนังสยองขวัญเรื่องนี้คือการเดินเรื่องแบบต่อเนื่องเร็วใช่ได้ จึงไม่แปลกใจกับความยาวของเรื่องนี้ที่กินเวลาประมาณ 75 นาที ดังนั้นจึงมีการดำเนินเรื่องไม่อืดสักเท่าไหร่ ส่วนความสยองที่ได้รับก็มีฉากถลกหนังหน้าเท่านั้นแหละที่ว่าสยอง แต่พอมีอย่างอื่นๆบ้างผสมๆไปไม่ให้จำเจ แต่ถลกหนังนี่เล่นถลกด้วยมือเลยนะไม่ใช้อุปกรณ์ช่วย เอาเป็นว่าเอาให้ดูในตอนกำลังว่างๆเลยล่ะกันเพราะตลอดทั้งเรื่องหาอะไรให้คิดไม่ค่อยได้หรอก ดูๆฉากไล่ล่ากับฉากถลกหหนังหน้าแบบโหดๆไปนี่แหละ