Team America: World Police (2004)
หน่วยพิทักษ์กู้ภัยโลก
Director: Trey Parker
Genres: Action | Comedy
Grade: B
หนังเสียดสีอเมริกาที่เป็นมากกว่าธรรมดาแบบกล่มกล่อมผ่านหุ่นกระบอกที่สื่อว่าเป็นการชักใยจากผู้มีอิทธิพล พร้อมกับวิธีที่ยิงกราดไม่สนใจใครทั้งนั้นแม้แต่ประชาชนตัวเองเพื่อความเห็นแก่หน้าตัวเองในการจัดการผู้ก่อการร้ายชนิดวินาศสันตะโร
บางท่านอาจคุ้นเคยกับผู้กำกับ Trey Parker มาก่อนอย่างการ์ตูนคลาสลิคเรื่อง South Park ที่เป็นตัวการ์ตูนเด็กตัวเล็กๆ ครั้งนี้จึงขอแยกตัวมาสร้างเป็นหนังฟอร์มจิ๋วสเกลใหญ่ที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มพิทักษ์โลกภายใต้ชื่อว่าทีมอเมริกาที่พร้อมด้วยทักษะประสิทธิภาพทั้งอาวุธและบุคลากรมือหนึ่งเพื่อปราบเหล่าร้ายที่จะทำลายโลก โดยครั้งนี้ทีมอเมริกามีแผนใหม่ในการปลอมตัวเข้ากลุ่มก่อการร้ายที่อาศัยเกลี่นักแสดงจากละครบรอดเวย์มาช่วยทำภารกิจให้ในการปลอมเข้าหาตัววางระเบิดก่อนจะมีการจุดหัวนิวเคลียร์ล้างโลกเกิดขึ้น แต่ด้วยเกลี่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องของตัวเองจึงขอปฏิเสธก่อนจะมาคิดทบทวนเรื่องต่างๆว่าเหมาะสมหรือไม่ที่ตัวเองไม่ร่วมมือเพื่อประเทศชาติ กระนั้นสุดท้ายเขาเลือกจะกลับมาหาทีมอเมริกาเพื่อหาผู้ร้ายที่สืบสาวไส้ความจริงจนพบว่าตัวการหัวใหญ่คือคิมจ็องอิลที่มีแผนถล่มทีมอเมริกาด้วยการดึงนักแสดงจากฮอลลีวู้ดมาร่วมมือเพื่อแสดงให้ทั่วโลกเชื่อว่าหายนะเกิดจากทีมอเมริกาที่ก่อเรื่องขึ้น สุดท้ายเกลี่จะใช้ความสามารถของนักแสดงบอกความจริงแก่คนทั้งโลกได้หรือไม่ ทั้งยังต้องร่วมต่อสู้กับเหล่าร้ายที่จ้องเขมือบได้ทุกเวลาจากทั่วมุมโลก
ทีแรกคงไม่มีอะไรสำหรับเรื่องนี้ที่อาจมีอะไรที่ไม่เกินผู้ใหญ่เขาคิดกันหรือจะบอกว่าเด็กดูได้มากกว่า ทว่าพอได้สัมผัสเรื่องนี้จริงๆทำให้ตัวเองต้องตั้งข้อสังเกตแล้วว่าเพราะอะไรทำไมเรื่องนี้ถึงได้เรต R ซึ่งอันที่จริงเกือบได้ NC-17 ด้วยซ้ำไป ดังนั้นโปรดพึงระวังกลุ่มเด็กที่จะรับชมเรื่องนี้ด้วยความสนุกเพราะคิดว่ามันคงเป็นแนวเดียวกับการ์ตูน เนื่องจากเรื่องนี้มีประเด็นแง่เสียดสีชนิดไม่แคร์ความอยู่รอดของตัวเอง(จึงได้เรต R ไปครอง) ทั้งภาษาที่ไม่ต้องอธิบายว่าต้องมีหยาบบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่ให้ตายเถอะนี่คือหนังที่ใช้หุ่นไม้เป็นตัวละครหลักมาเชิดชักใยขย่มบนเตียงได้ยังไงมิทราบ ความจริงก่อนฉากดังกล่าวจะมาถึงมันควรจบลงที่การจูบฝีปากของพระนางแค่นั้นพอก็รู้แล้วว่ามีความรักให้กัน แต่ไม่ล่ะเราจะได้เห็นหุ่นไม้มีอะไรกันด้วยลีลา 108 เกินจะคาดเดากับกระบวนยุทธ์ที่ตัวเองยังนึกขำไม่หายกับผู้กำกับคนนี้ที่เอาจริงสิกับฉากพวกนี้ได้ยังไงกัน อ่อลืมไปหนังเสียดสีได้กระทั่งจรรยาความเป็นมนุษย์ด้วยแหละ โดยเฉพาะเรื่องคำพูดเนี่ยเห็นได้ชัดว่าเอาจริงได้จริง ฉะนั้นก่อนจะได้เห็นฉากหุ่นไม้กระบอกมีเซ็กซ์กันก็ล้วนมาจากคำพูดที่เหมือนจะล้อเลียนไม่คิดอะไรแต่เอาจริงซะงั้น แหม่ๆบอกว่าสัญญาสิคุณจะไม่ตายจากฉันไป เกลี่บอกด้วยถ้อยคำราบเรียบที่ไม่อาจสัญญาได้ก่อนลิซ่าที่เป็นหนึ่งในสมาชิกทีมอเมริกาจะบอกถ้าคุณสัญญาฉันจะร่วมรักกับคุณ เกลี่ตอบตกลงทันควันอย่างไม่ไตร่ตรองว่าจะปฏิเสธ พอหลังจากนั้นเป็นฉากจูบหวานๆ และฉากอย่างว่าที่ห้ามไม่ได้เลยกับสิ่งที่ตาตัวเองเห็น มันตลกร้ายเหลือเชื่อกับสิ่งที่หนังเสนอมา ทว่านี่แค่อย่างหนึ่งที่น่าจดจำ(จะจำเหรอ)เท่านั้นเพราะแง่เสียดสีบวกความเป็นกลางยังรุนแรงอยู่
ที่ตัวเองบอกว่าความเป็นกลางคือเนื้อหาที่สะท้อนแง่มุมทางการเมืองออกมา แม้จะไม่ระบุอย่างชัดเจนว่าเกี่ยวกันยังไงบ้าง ซึ่งด้วยเรื่องราวที่เกิดอยู่ตั้งแต่ผู้ก่อการร้ายตลอดจนเรื่องผู้นำประเทศเกาหลีเหนือ เราจึงพอรู้คร่าวๆได้ว่ามีส่วนทางการเมืองมาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน และถ้าบวก UN ไปมีเอี่ยวด้วยยิ่งไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวายว่าจุดประสงค์ของปัญหาอยู่ที่เบื้องบนมากกว่าจะมาลงเอยที่เบื้องล่าง กระนั้นผู้กำกับ Trey Parker ไม่มีพรรคฝ่ายใดที่เข้าข้างเพราะยึดตัวเองเป็นหลักในทางสายกลาง ไม่มีเลี้ยวซ้ายเอียงขวา เป็นฉบับของตัวเองที่มีลักษณะทางการเมืองว่าด้วยคนนอกในเชิงที่น่าขบขัน แต่แฝงความน่าขบคิดเอาไว้ในทำนองเบื้องหลังที่ประชาชนไม่มีวันได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในตอนที่พวกเขาทำงาน ดูสิตอนที่ตัวแทนจากสหประชาชาติมาหาคิมจ็องอิลเพื่อตรวจบ้านว่าปลอดจากอาวุธนิวเคลียร์หรือไม่กลับต้องกลายเป็นว่าถูกคิมจ็องอิลส่งไปให้ฉลามแทะ(เหมือนปลาบึกมากกว่า มองผ่านๆก็ฉลามล่ะนะ) แต่กระนั้นเวลาผ่านไปไม่ได้มีข้อสงสัยใดๆเกี่ยวกับคิมจ็องอิลเลยว่าเป็นผู้ต้องสงสัยที่แอบเก็บนิวเคลียร์ไว้ใช้เองทั้งการกระทำอันแสนโหดร้ายนี่ได้ประจักษ์ออกมาแล้ว ก็คิดอยู่ว่าการนำคิมจ็องอิลมาเป็นตัวร้ายของเรื่องแบบใสซื่อตรงเช่นนี้จะส่งผลกระทบอะไรบ้างกับโลกภายนอกหรือเปล่า เพราะมันตรงเกินไปคล้ายกำลังป้ายสีในแง่ความบันเทิง แน่นอนล่ะว่าอเมริกาต้องเป็นตัวร้ายเช่นกันในฐานะเป็นตัวทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่
กำลังคิดอยู่ว่าทำไมไม่ตัดหรือเซ็นเส้นที่โยงกับหุ่นออกไปเพื่อให้ดูหุ่นไม้พวกนี้มีชีวิตจริงๆ เพราะรู้สึกตะหงิดตาในบางฉากที่เห็นเชือกหรือเอ็นนี่แหละ เพราะอะไรกันน่ะ? เดิมทีหุ่นไม้พวกนี้จะขยับได้ต้องมีคนชักใยอยู่ข้างบนใช่ไหม แล้วถ้าเรื่องนี้กำลังจะบอกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นแผนบ่งการจากเบื้องบนล่ะจะว่าไง นับตั้งแต่การก่อการร้ายที่แสดงจุดยืนของตัวเองภายใต้การดกดขี่ของอเมริกาผ่านบทพูดของเกลี่ตอนที่ปลอมตัวทำให้ผู้ชมเห็นทันทีว่าทำไมผู้ก่อการร้ายถึงความเครียดแค้นกับอเมริกาจนอยากระเบิดได้แม้กระทั่งตัวเอง แล้วมันก็บังเอิญที่หนังไปพัวพันเหตุการณ์เก่าๆอย่าง 9/11 ที่นับตั้งแต่เรื่องผู้ก่อการร้ายได้กลายเป็นเรื่องเข้มงวดในการจัดการเช่นเดียวกับทีมอเมริกาที่ไม่รู้สึกจักแคร์ชาวบ้านชาวช่อง สามารถทำได้ทุกวิถีทางเพื่อจัดการผู้ร้ายโดยไม่จักเรื่องรอบข้างว่าจะโดนอะไรไปบ้าง ซึ่งมันชัดเจนตั้งแต่เปิดเรื่องที่ไปถล่มหอไอเฟลจนโค่นพังล้มเป็นหน้ากอง แล้วไหนจะไปถล่มสถานที่สำคัญด้วยจรวดเพื่อจัดการเพียงคนเดียว แน่นอนล่ะว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นไปๆมาๆจะมากกว่าระเบิดของผู้ก่อการร้ายสร้างขึ้นเองเสียอีก นี่ยังไม่พอไปถล่มถึงทะเลทรายกับสถานที่สำคัญของโลกในอียิปต์ด้วยระเบิดกับจรวดต่อหน้าสฟิงซ์ และภูเขาจนพังวายวอด ดังนั้นในสายตาของผู้ตกอยู่ในเหตุการณ์รวมถึงผู้ชมที่กำลังมองการปฏิบัติหน้าที่ของทีมอเมริกาจะบอกได้หรือไม่ว่ามันเหมาะสมที่จะเสี่ยงและเสียเพื่อจัดการผู้ร้ายระดับโลก
ในความเห็นส่วนตัวคิดว่าไม่เลย ทีมอเมริกาได้กระทำที่เกินเลยไปมาก ไม่รู้จักคำว่าไม้อ่อนมีแต่จะเล่นไม้แข็งตลอดเวลา สุดท้ายรู้จักแต่คำว่าทำลายล้างมากกว่าผู้ร้ายเสียอีก จึงไม่แปลกใจถ้าจะมองว่าทีมอเมริกาในเนื้อเรื่องมีคนเกลียดจนต้องร้อนไปถึงฮอลลีวู้ดที่เรียกสันติด้วยการโหวตจากเหล่านักแสดงมากมาย(ที่ต่างล้วนเคยเสนอหน้าพูดเรื่องการเมือง) ประกอบด้วย อเล็กซ์ บาววินหัวหน้าขบวน,ซูเซิน ซาแรนดอน,ทิม ร็อบบินส์,ฌอน เพนน์,แซมมวล แอล แจ็คสัน และแมต เดมอนผู้ไม่มีความเห็นใดๆเลยนอกจากพร่ำพูดคำว่า"แมต เดมอน"
สำหรับแมต เดมอนถือเป็นไร้บทพูด(เพราะพูดเป็นคำเดียว"แมต เดมอน") กระนั้นทำให้เห็นสิ่งที่น่าสนใจคือเสียงส่วนมากมีเสียงส่วนน้อยที่ไร้ความเห็นแต่ต้องไปอยู่ฝ่ายมากเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องซวย และด้วยการที่ว่าพูดอะไรไม่เป็นนอกจากชื่อตัวเองคล้ายกำลังบ่งบอกถึงวิสัยการคิดเข้าข้างตัวเอง ไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไงถ้ามีประโยชน์ย่อมตามน้ำไปด้วย เสมือนตัวเกาะผลประโยชน์อันแสนเรียบง่ายที่ไม่ว่าอะไรก็ทำตามไปหมด หรืออีกแง่ทางการเมืองคือพวกไร้เสียงไม่มีความเหตุหรือข้อกังขาใดมาอภิปรายให้ฟัง
"มีคนอยู่ 3 ประเภท คนเลว คนดี และก็คนโง่ คนดีคิดว่าทุกคนคบกันได้ ส่วนคนเลวชอบซำส่อนตลอดเวลาโดยไม่คิดไตร่ตรอง แล้วก็นั่นเรายังมีคนโง่ ซึ่งคนโง่ทุกคนชอบทำให้เล็กเรื่องเป็นเรื่องใหญ่ บางครั้งบางคราวคนดีอาจโกรธคนเลวเป็นเพราะว่าคนดีไปคบกับคนเลว แต่คนเลวก็คบกับคนโง่ หรือทั้งสองไม่ได้คบกับคนโง่ แต่รู้ไปเจออะไร ทั้งคนดีและคนเลวต่างซวยเพราะคนโง่ก่อไงเล่า" เป็นอีกประโยคที่เก็บเอาไว้ให้เราผู้ชมได้เข้าใจว่าตัวหนังกำลังสื่ออะไร และใครคือคนดีกับคนเลว และใครที่ทำตัวโง่จนพาคนอื่นซวย
Team America: World Police มีความสนุกในแง่สร้างความแปลกตาด้วยตัวละครหุ่นไม้กับท่าทางอันแปลกตาจนผู้ชมนึกขำอยู่บ้างกับความพิลึกพิลั่นอย่างการต่อสู้ด้วยมือเปล่าที่ไม่ต่างจากจินตนาการของเด็กน้อยที่นำของเล่นมาชนๆกันก่อนจะคิดเอาว่าของเล่นของตัวเองกำลังใช้ท่าโน้นท่านี่จัดการอีกฝ่ายอยู่อย่างเมามันส์ กระนั้นต้องชื่นชมที่สามารถนำหุ่นไม้มาเชิดได้ราวกับมีชีวิตชีวาทั้งการแสดงสีหน้าอันไม่ใช่ข้อกำจัดเรื่องอารมณ์ หรือจะการโชว์ฉากอ้วกมาราธอนที่เป็นมุขบวกกับดนตรีประกอบที่ไม่รู้ว่าเข้ากันได้ยังไง แต่ดูมีพลัง(แหวะ)เหลือเชื่อ
ที่ชอบจริงๆคือการทำฉากใหญ่ๆได้ราวกับไปดูมุมมองหนึ่งของสังคมหุ่นเชิดที่ใช้ชีวิตในตลาดก่อนจะมีฉากระเบิดเขื่อนในเวลาต่อมากับน้ำทะลักราวกับวิกฤติเขื่อนแตกจริงๆ เพราะดูมีชีวิตอย่างมากที่ทำให้สิ่งใหญ่ๆกลายเป็นสิ่งเล็กๆได้ กระนั้นต้องรวมถึงการทำทุกอย่างให้ออกมาสมจริงยิ่งกล่ามุมมองของเล่นกับเรื่องราวหนักแน่นด้วยความเป็นผู้ใหญ่(ไม่รวมฉากหุ่นเมคเลิฟนะ)ผ่านกระบวนการในหลายๆแง่จนใครรู้รายละเอียดคงชอบอย่างมากกับเรื่องที่เสียดสีแบบกัดแล้วกัดอีก กัดจนไม่มีอะไรจะกัด อย่างตอนที่มีไมเคิล มัวร์มาประท้วงต่อต้านทีมอเมริกา คงไม่ต้องอธิบายว่าทำไมเพราะดูได้จากเรื่อง Fahrenheit 9/11 (2004) ที่ไปกัดจนถึงนายกจอร์จ ดับเบิลยู. บุชมาแล้วคงไม่หลีกเลี่ยงไม่ได้กับความรุนแรงที่เกิดขึ้น กระนั้นตัวหนังพยายามไม่เข้าข้างฝ่ายใดแล้วปล่อยให้ผู้ต่อต้านความรุนแรงใช้ความรุนแรงซะเอง เป็นการใช้กำลังเข้าต้านกำลัง คงไม่แตกต่างจากสังคมที่ใช้วิธียุติดีๆไม่เป็นนอกจากต้องลงไม้ลงมือก่อนจะรู้ว่าผลลัพธ์ไปไหนจึงจะสำนึก
อยากได้สาระอะไรอย่าหวังเลยดีกว่า จะมีแค่เอาเพลินกับสติปัญญาเชิงเหยียดยามที่พาลระรานชาวบ้านไปทั่ว ตลอดเวลาแทบทุกนาทีของหนังคือการยัดประเด็นเสียดสีตลอดเวลาจนรู้สึกว่าเยอะมาก ซ้ำยังหาส่วนดีๆของเรื่องแทบไม่เจอนอกจากธรรมะชนะอธรรม ธรรมะเหรอ ใช่พวกที่ไปทำลายชาวบ้านเพราะลูกหลงเนี่ยนะธรรมะ เอาเถอะอย่างน้อยเรื่องทำออกมาได้สนุกกว่าที่คิดล่ะกัน(โดยเฉพาะเรื่องพาลกัดกราดไปทั่วเนี่ย) แล้วอย่าลืมไปหาเพลงประกอบ America Fuck Yeah มาฟังแล้วจะรู้ว่าเพลงนี้กำลังหมายถึงอะไร สรุปที่ได้คือแอ็คชั่นระห่ำ โลโคชั่นเอย สเกลเอยใช้ได้ทั้งนั้น เป็นความมันส์บ้าดีเดือดฉบับไร้คนแสดงหุ่นขอเล่นที่ดูๆแล้ว"เจ๋งอ่ะ"