The Mummy (1999)
เดอะ มัมมี่ คืนชีพคำสาปนรกล้างโลก
Director: Stephen Sommers
Genres: Action | Adventure | Fantasy
Grade: B+
เพราะเรื่องนี้ทำให้ตัวเองได้รู้จักมัมมี่มากขึ้น เมื่อตอนเด็กๆไม่รู้เรื่องอะไรหรอกนอกจากศพที่มีผ้าพันตามตัว แต่ไม่เคยคิดว่ามาจากอียิปต์จริงๆ ประมาณว่าไม่ค่อยมีหนังจำพวกมัมมี่เรื่องไหนให้ความรู้สึกถึงทะเลทรายเว้นกับเรื่องนี้ที่แห้งสมทะเลทราย
ว่าด้วยเรื่องราวการผจญภัยสุดเหนือธรรมชาติและมันส์ ด้วยเรื่องราวย้อนลงไปสมัยอียิปต์โบราณมีฟาโรห์นามว่าพระเจ้าเซติที่ 1 (Aharon Ipale) มีพระสนมเอกนามว่าอนัค ซู นามูน (Patricia Velasquez) แต่แล้วคืนหนึ่งความรักที่ไม่น่าเกิดขึ้นทำให้อนัค ซู นามูนต้องลอบไปหาอิมโฮเทป (Arnold Vosloo) ด้วยความรักแท้ที่ทั้งคู่มีให้กัน ทว่าพระเจ้าเซติมาเห็นความลับเช่นนี้เข้าจึงถูกอนัค ซู นามูนกับอิมโฮเทปลอบสังหารเสียก่อน หลังจากทั้งคู่ได้สังหารก็มีราชองครักษ์มาพอดีทำให้อิมโฮเทปต้องหลบหนีไปกับองค์รักษ์ของตัวเอง ส่วนอนัค ซู นามูนเลือกจบชีวิตตัวเองลงขณะนั้นเพราะเชื่อว่าคนรักของตนจะมาชุบชีวิตให้ และแล้วอิมโฮเทปได้กลับมาอีกครั้งโดยได้ขโมยศพอนัค ซู นามูนติดตัวไปฮามูนัดตานครแห่งความตายเพื่อสานต่อเรื่องชุบชีวิตคนรักให้สำเร็จ แต่แล้วทหารองครักษ์ได้ตามตัวมาเจอและได้ทำลายพิธีพร้อมกับจับตัวอิมโฮเทปไปทำมัมมี่ทั้งเป็น ทั้งนี่ยังห้ามไม่ให้ผู้ใดกระทำการยุ่งกับสุสานไม่ว่าใดๆทั้งสิ้น มีผู้ใดไปเปิดสุสานนี้เข้าเขาจะกลับมาด้วยพลังอำนาจล้างสรรพสัตว์ และโรคร้ายต่างๆมากมายไม่จบสิ้น
3000 ปีต่อมา เอฟเวอร์ลีน (Rachel Weisz) บรรณารักษ์ห้องสมุดในเมืองอียิปต์กับโจนาธาน (John Hannah) พี่ชายต่างค้นพบบางสิ่งบางอย่างเป็นเงื่อนงำไปสู่การค้นพบประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่ชักจูงไปสู่ฮามูนัดตา ทว่าการไปที่แห่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดจึงจำเป็นขอความช่วยเหลือจากริค โอ คอนเนลล์ (Brendan Fraser) มาช่วยชี้นำทางไปสู่เป้าหมายครั้งสำคัญนี้ หลังจากไปถึงสถานที่ดังกล่าวต้องพบกับคนกลุ่มหนึ่งที่จ้องจะทำร้ายเพื่อต้องการขับไล่ออกไปจากสถานที่แห่งนี้ แต่ก็ไม่ได้รับฟังเชื่ออะไรจนได้ไปเจอคัมภีร์มรณะซึ่งเอฟเได้เป็นคนอ่านบางส่วนของหนังสือจนไปปลุกคืนชีพให้กับมัมมี่ตนหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจก่อนจะรู้ว่านั่นคืออิมโฮเทมที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนาอยากคืนชีพให้กับตัวเองอย่างสมบูรณ์และแรงปรารถนาในการฟื้นคืนชีพให้กับคนรัก การกลับของอิมโฮเทปได้นำมาซึ่งหายะครั้งใหญ่แล้วเป็นหน้าที่พักพวกทั้งริคกับเอฟต้องจัดการมัมมี่ตนนี้ลงหลุมไปให้ได้
อย่าไปเทียบกับ The Mummy ฉบับเก่าๆเลยดีกว่า เพราะผู้กำกับ Stephen Sommers ได้ปลุกตำนานมัมมี่ไปอีกแบบในทางด้านความบันเทิงชวนสนุกกับการผจญภัยมากกว่าจะเป็นหนังสยองขวัญกับผีไม่รู้จักตายซากตัวนี้ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คอหนังสยองจะรู้สึกเอียนเอียงไปทางไม่ชอบที่สไตล์การดำเนินเรื่องค่อนข้างหลีกเลี่ยงฉากได้เลือดหรืออะไรแหวะๆไปซะแทบทุกฉาก ทั้งนี้ก็เพื่อให้รูปแบบออกมาดูสนุกเหมาะสมกับการผจญภัยอิงประวัติศาสตร์(โม้ๆ) แต่อย่าพึ่งบอกว่าเรื่องนี้จะไม่รู้สึกสนุกที่จะเลี่ยงฉากสยองขวัญเพราะตลอดทั้งเรื่องมีอยู่ไม่น้อยกับบางช่วงที่น่ากลัวจนเหวอทีเดียวกับพวกแมลงกินศพ หรือจะร่างกายมัมมี่อันแสนเน่าเปรื่อยมีหัวเป็นรูประมาณนี้ ถึงจะไม่อยู่ในระดับพาสยองจนน่าแหวะแต่พอจะให้ความกลัวชวนขนลุกมาได้บ้าง และเพราะเน้นความสนุกแนวผจญภัยจึงรู้สึกไปถึงหนังตำนานแนวแอ็คชั่นผจญภัย Indiana Jones ที่มีกลิ่นอายคล้ายคลึงกัน ถ้าจะเปรียบเทียบคิดว่า Steven Spielberg ทำมาตรฐานเอาไว้สูงกว่ามากทีเดียว ถ้าจะเทียบกันจริงๆมันคนละแนวกันเลยด้วยซ้ำ ที่ว่าคล้ายคือแนวผจญภัยที่อิงประวัติศาสตร์เป็นภูมิหลังของเรื่อง แต่เหมือน The Mummy จะใส่สีลงเยอะไปหน่อยจนออกมาเว่อร์
ทั้งบรรยากาศทั้งเสียงสีนี่มันมัมมี่ในอียิปต์ชัดๆ และนี่คือความชอบโดยส่วนตัวในโทนของหนังอันเหมาะสมที่สุดกับการสร้างหน้าตาของตัวหนังด้วยพื้นเพทะเลทรายอันแห้งแล้ง ที่น่าสนใจคือการเริ่มเรื่องด้วยการปูอดีตอันแสนเจ็บปวดของมัมมี่ตนนี้ว่ามีที่มาที่ไปยังไงบ้าง ซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะช่วยให้มัมมี่เป็นตัวละครมีมิติมากขึ้น จะว่าไปเป็นเรื่องเศร้าที่รักกันแต่อยู่สมปรารถนาในรักไม่ได้จนต้องมาวนเวียนติดอยู่กับความรักแบบนี้ จะว่าไปว่ากันตามเนื้อเรื่องไม่ค่อยมีอะไรลงลึกเท่าไหร่มายังไงไปอย่างนั้น แม้ตามตรงไปหน่อยในการดำเนินเรื่องแต่ไม่รู้ทำไมกับรู้สึกดีและเพลิดเพลินอย่างมากจนไม่คิดคำนึงเลยว่าเนื้อเรื่องจะเบาบางแค่ปลุกมัมมี่แล้วต้องกำจัดมัมมี่แค่นั่นเอง ต้องบอกเลยว่า Stephen Sommers มีทักษะใช่ได้ไม่เลวทีเดียวในการทำเนื้อเรื่องธรรมดาๆไปสู่ความต่อเนื่องอันแสนมันส์ได้ทั้งเรื่อง เนื่องจากตั้งแต่เปิดเรื่องมาหาเวลาพักแทบไม่เจอจะต้องมีอะไรเข้ามาให้ดูเป็นไฮไลท์ตลอดเวลา จะว่าไปแล้วตัวหนังทำให้เราตระหนักได้อย่างหนึ่งว่าการทำพล็อตเรื่องง่ายถ้าเรียบเรียงออกมาดีจะสนุกได้โดยไม่ต้องคิดว่าเนื้อเรื่องจะหลวมและเก่า ที่โดนใจคือความสมบูรณ์ด้านสถานที่ในเชิงความรู้สึกอารมณ์อย่างดนตรีประกอบที่เปอดเรื่องมาก็ใช่เลยกับทำนองนี้ ซึ่งคนประพันธ์คือ Jerry Goldsmith มาเพิ่มวิสัยทัศน์สไตล์อียิปต์ได้เยอะทีเดียว แล้วไหนจะงานด้านเอฟเฟคที่ดูๆแล้วทำได้ดีพอตัว ใช้ CG ได้เข้าท่าว่าช่วงไหนคือของจริงช่วงไหนต้องใช้ CG ให้ฉากออกมาอลังการอย่างพายุทรายที่โหมกระหน่ำลูกใหญ่ราวกับคลื่นสึนามิยักษ์ฉบับทะเลทราย
ด้านเนื้อเรื่องคงไม่ต้องหาความอะไรมากมายมาบรรจงเรียบเรียงในประวัติศาสตร์เพราะใส่ไข่ไปพอประมาณ ในเรื่องอิมโฮเทปคือนักบวชสูงสุดและมีชีวิตอันแสนไม่น่าจดจำ แต่ในประวัติศาสตร์ในอียิปต์ราว 2650 ปีก่อนคริสต์ศักราชได้บอกว่าอิมโฮเทปคือบุคคลในยุคพระเจ้าอันแสนสำคัญของโลกที่น่าจดจำอย่างยิ่ง เริ่มจากการเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกของโลก(ซึ่งน่าจะใช่ตามหลักการ แต่ตามหลักฐานยังระบุแน่ชัดไม่ได้ว่าใช่) เนื่องจากได้รับการยกย่องว่ามีความรู้ในด้านต่างๆอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะการแพทย์ อิมโฮเทปได้บันทึกโรคภัยไข้เจ็บไว้นับร้อยๆโรค และมีความเชี่ยวชาญด้านการรักษามากเสียจนผู้คนในยุคหลังยังนับถือเขาดุจเทพเจ้าหลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้วหลายพันปีที่เวลาต่อมาได้รับการยกย่องโดยชาวกรีกรุ่นต่อมาว่าเป็นเสมือนหนึ่งเทพเจ้าแห่งการแพทย์ เท่านั้นยังไม่หมดถ้าจะบอกว่าใครคือคนออกแบบรูปทรงพีระมิดล่ะ อันนี้คงจะนึกสงสัยไม่น้อยเพราะคนที่คิดคืออิมโฮเทปผู้เป็นคนออกแบบและควบคุมการสร้างพีระมิดแบบขั้นบันไดสูง 200 ฟุตเพื่อเป็นที่ฝังพระศพฟาโรห์โจเซอร์ ดูเหมือนหนังจะใส่ไข่ไว้เยอะทีเดียวกับการตีตัวละครอิมโฮเทป อ่าๆไม่เป็นไรถือเป็นความบันเทิงเอามันส์ไม่อิงประวัติศาตร์ เพราะใครจะไปคิดว่าจะมีมัมมี่เดินออกจากโลงศพอยู่จริงๆ หรือมีจริง!?
เป็น The Mummy อันแสนจะสนุกและเพลิดเพลินไปกับนักแสดงที่เข้ากับบทบาทของตัวเองได้ดีจนเหมาะสมอย่างถึงที่สุด โดยเฉพาะ Brendan Fraser ในบทริคที่ดูจะเข้าท่าเข้าทางไปซะหมด ตั้งแต่การแต่งกาย เอกลักษณ์ท่าทาง รูปร่าง หน้าตา และนิสัยตัวละครที่ทำออกมาได้น่าชื่นชม ลักษณะอย่างกับว่าเกิดมาเพื่อบทนี้โดยเฉพาะจริงๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ Arnold Vosloo ที่เล่นเป็นอิมโฮเทปหรือจะมัมมี่ก็ได้ รายนี้สร้างแบบฉบับมัมมี่ได้เหมือนพ่อมดเลยแน่ะ เพราะมีพลังอำนาจสร้างพายุทราย ร่ายคาถาเรียกมัมมี่ตัวอื่น งอกแขน ฟังแล้วใช่มัมมี่อย่างที่คุ้นเคยแน่เหรอ แต่มันก็ดีเหมือนกันที่ดัดแปลงให้ดูมีลูกเล่นมากขึ้นก็ยังดีกว่ามัมมี่มีแต่ผ้าพันตัวเดินฆ่าคนอย่างเดียวจนเห็นแล้วงั้นๆ ก็ว่าเลยล่ะเพราะบทดูจะเหมาะสมกันดียิ่งตอนพูดภาษาอียิปต์ยิ่งดูสมราคามากขึ้น จะว่าไปตลอดทั้งเรื่องจะไม่พูดภาษาอื่นเลยนะนอกจากภาษาอียิปต์ เพราะถ้าพูดภาษาอื่นได้คงฟังไร้เหตุผลว่าทำไมถึงรู้จักภาษาที่ม่ใช่ถิ่นบ้านเกิดตัวเองได้ทั้งที่ถูกขังในโลงมาตั้ง 3000 กว่าปี ที่ขาดไม่ได้คือ Rachel Weisz ในบทนางเอกสาวน้อยผู้หลงใหลในโบราณคดีจนเจออะไรที่ว่าแปลกต้องรีบไปหาทันที(เป็นเหตุผลเดียวที่ว่าทำไมมัมมี่จึงตื่นขึ้นมาได้ เพราะเธอนี่แหละ) เป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่มาได้บทเข้ากับคาแรกเตอร์ตัวละครจริงๆ จะว่าไปไม่มีเรื่องไหนจะฉาย Rachel Weisz ได้น่ารักเท่าเรื่องนี้อีกแล้วกระมั้ง ไม่ใช่เรื่องอื่นจะดูแย่หรอกนะแค่อารมณ์ประมาณว่าแลดูมีอายุเท่านั้นเอง พอมาเรื่องนี้นิสัยเหมือนเด็กมหาลัยที่คลั่งไคล้ในศาสตร์ของตัวเอง เป็นแบบฉบับน่ารักๆของนักโบาณคดีที่ต้องสืบเสาะหาคำตอบประมาณนั้นเลย ส่วนอีกคน John Hannah ในบทพี่ชายเอฟเวอร์ลีนแสนทะเล้นเป็นบางโอกาส นับเป็นอีกหนึ่งตัวเสริมสร้างความฮาได้ดี ที่ติดตามากสุดคือ Oded Fehr ในบทอาเด็ด เบย์ ผู้พิทักษ์เผ่ามาไจล์อันแสนลึกลับกับมาดของผู้พิทักษ์สุสาน และนักแสดงอีกหลายคนพร้อมฝีมือไม่ทำให้ผิดหวัง
การดำเนินเรื่องฉับไวจนไม่รู้สึกเบื่อทั้งยังมีตัวละครอันแสนน่าจดจำอีกมากมาย ทำให้เป็นฉบับมัมมี่ที่น่าสนใจอย่างมากกับการดูได้ทุกวัยเพราะหนังเลี่ยงจะมีฉากรุนแรง น่าเสียดายที่การวางมิติด้านตัวละครบางตัวยังดูไม่กระจ่างแน่ชัดเท่าไหร่นัก ซ้ำยังรู้สึกได้ว่ามีตัวละครมากมายในเรื่องนี้จนไม่ค่อยรู้สึกเสียดายในบางตัวละครที่เสียไปแต่กลับรู้สึกยินดีที่จะเสียตัวละครเพื่อให้ได้เห็นมัมมี่คืนร่างซึ่งดูจะสนุกและตื่นเต้นไม่น้อยในการโชว์พลังอำนาจที่มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างการพ่นแมลงออกจากปากนับพันเพื่อเป็นสัญญาณคำสาปแห่งโรคร้ายตามมา เพราะหลีกเลี่ยงฉากสยองเพื่อลดระดับมาเป็นน่ากลัวทำให้บางฉากดูเป็นการเลี่ยงมากเกินความจำเป็น แต่ความเป็นจริงเหตุผลเช่นนี้ไม่ได้ช่วยให้หน้าตาหนังดูน้อยลงไปเพียงแค่ทำให้คนติดภาพลักษณ์เดิมๆรู้สึกตะหงิดตามากกว่าเพราะอดเห็นเลือดสาด สิ่งที่ The Mummy ฉบับนี้ออกมาดีในด้านความบันเทิงคือมุขกับลีลาที่ไม่เว่อร์เกินไปมากำลังเหมาะบวกแอ็คชั่นที่วางคิวได้มันส์ดีจนไม่คิดว่าไม่ต้องกระหน่ำไม่ต้องระเบิดระเบ้อก็มันส์ได้กรอบของตัวเอง และที่สำคัญที่สุดคืออย่าพึ่งตัดสินว่าเนื้อเรื่องภาคนี้ยังไม่มีอะไรถ้ายังไม่หยิบ The Mummy Returns (2001) มาชมซะก่อน เพราะนั่นแหละเนื้อเรื่องจะเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวละครหลักที่ปรากฎในภาคนี้มีจุดเชื่อมโยงถึงอดีตชาติมาก่อน เอาล่ะสิจะยังไงหาชมความมันส์กันต่อเลย