The Mummy Returns (2001) เดอะ มัมมี่ รีเทิร์น ฟื้นชีพกองทัพมัมมี่ล้างโลก

The Mummy Returns (2001)
เดอะ มัมมี่ รีเทิร์น ฟื้นชีพกองทัพมัมมี่ล้างโลก
Director: Stephen Sommers
Genres: Action | Adventure | Fantasy | Thriller

มาสานต่อความมันส์กันต่อด้วยเอฟเฟคมากกว่าคราว The Mummy (1999) กับการมาครั้งนี้มีหลายอย่างที่จัดยาวกว่าของเก่าจนแน่นไปกับแอ็คชั่น มันส์ แต่สาระหาไม่ เพราะโม้เนื้อเรื่องได้สนุกมาก


หลังจากไปปลุกมัมมี่อิมโฮเทป (Arnold Vosloo) มาแบบไม่ตั้งใจ ทั้งริค โอ คอนเนลล์ (Brendan Fraser) และเอฟเวอร์ลีน (Rachel Weisz) จึงต้องร่วมมือกันยับยั้งแผนการหายนะโลกของมัมมี่ตนนี้ จนในที่สุดก็สามารถจัดการส่งกลับบ้านเก่าได้สำเร็จ หลังจากนั้น 9 ปีถัดมาทั้งคู่ได้ถือกำเนิดอเล็กซ์ (Freddie Boath) พยานแห่งรักที่ตอนนี้อายุได้ 9 ขวบ ทว่าหายนะครั้งใหม่ได้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อนครแห่งความตายถูกรุกรานอีกครั้งจากเหล่าร้ายบัลตัซ ฮาเฟซ (Alun Armstrong) และมีลา (Patricia Velasquez) เพื่อปลุกอิมโฮเทปให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งขึ้นมา โดยมีแผนการจะยึดครองโลกทั้งใบด้วยการปลุกราชันย์แมงป่อง (Dwayne Johnson) เมื่อ 5000 ปีก่อนขึ้นมาอีกครั้งเพื่อให้ได้กองทัพของราชันย์แมงป่องฟื้นคืนชีพกลับมา แต่กุญแจสำคัญในการคืนชีพคือกำไลของราชันย์แมงป่องที่จะพาไปยังที่ๆแห่งนั้นจนพบ ซึ่งตอนนี้ติดอยู่ที่ข้อมืออเล็กซ์ และจะไม่มีวันถอดออกได้จนกว่าจะถึงที่หมาย ทำให้อเล็กซ์ถูกอิมโฮเทปจับตัวไปเพื่อใช้งานบอกตำแหน่งที่อยู่ของราชันย์แมงป่อง ทำให้ริคและพรรคพวกต้องตามล่าอิมโฮเทปเพื่อช่วยลูกและยับยั้งแผนการล้างโลกก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

เป็นการสานต่อเนื้อเรื่องได้อย่างลงตัวอยู่หลายขุมด้วยวิธีการเพิ่มในสิ่งที่ภาคแรกไม่ได้บอก จึงไม่แปลกอะไรเท่าไหร่ถ้าเนื้อเรื่องที่ปูมาในภาคแรกยังคงกระชับสั้นจนไม่เห็นว่าจะมีเรื่องราวอะไรใหญ่โต แต่พอมาภาคนี้ได้สร้างขยายเรื่องราวในเชิงลึกมากขึ้น ลึกจนระลึกชาติได้กันเลยทีเดียว คือเรื่องราวการระลึกชาติได้ตัวหนังจะไม่ตัดยาวแต่ตัดสลับไปมาระหว่างปัจจุบัน โดยคนที่เห็นเหตุการณ์มีอยู่สองคนคือเอฟเวอร์ลีนในฐานะลูกรักของกษัตริย์(ที่โดนอิมโฮเทปกับอนัคซูนามูนลอบปลงพระชนน์ในภาคแรก) กับอีกคนคือมีลาที่แท้จริงแล้วคืออนัคซูนามูนกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง(แม้จะแค่ร่างกาย แต่หลังจากนั้นอิมโฮเทปได้ปลุกวิญญาณอนัคซูนามูนมาสถิตในร่างอีกครั้งตามความปรารถนาในภาคแรกได้สำเร็จ) ซึ่งทั้งสองต่างเคยเป็นอริแค้นมาก่อน จึงไม่แปลกที่พอมาเจอกันอีกครั้งในชาตินี้จะฟัดดาบกันอย่างสุดเหวี่ยงแบบเมามันส์ ทั้งนี้ยังเป็นอีกหนึ่งเหตุผลเล็กๆด้วยว่าทำไมอิมโฮเทปกับอนัคซูนามูนจึงตกหลุมรักได้ ยังไม่หมดเท่านั้นในการระลึกชาติแต่รวมถึงการสืบทอดผู้รับใช้พระเจ้าอย่างริคผู้สามารถจัดการกับราชันย์แมงป่องได้ตามคำทำนายกับหอกแห่งโอซิริส(เผอิญอย่างมากที่ตัวหนังมีหอกมาตั้งแต่ต้นเรื่อง และมันก็มีประโยชน์ในท้ายที่สุด) ไม่รู้ว่าบังเอิญอะไรจะเหมาะเจาะขนาดนี้ ทั้งเรื่องชาติเก่าเอย นักรบของพระเจ้าเอย แหม Stephen Sommers นี่เข้าใจโยงเนื้อเรื่องเก่งอยู่เหมือนกันนะในการทำให้ทุกอย่างมีความนัยไปเกือบหมด จะว่าไปภาคนี้ไม่ใช่กำกับเองแต่ยังเขียนบทเองคนเดียวด้วยแน่ะ คงจะนึกมันส์มืออยู่คนเดียวไม่น้อย โดยส่วนตัวก็มันส์จริงๆน่ะแหละ


เอฟเฟคจัดได้ใหญ่กว่าของเดิมอยู่หลายฉาก ยิ่งใช้ CG มาช่วยทำให้ได้หลายอย่างดูอลังการไปในตัวมากกว่าของเก่า อาทิ ฉากคลื่นสึนามิตามซอกเขาที่ดูคล้ายๆภาคแรกแต่ต่างตรงที่คราวนี้เป็นน้ำจริงๆไม่ใช่ทราย ฉากกองทัพอานูบิสที่ขนยกทัพมาประจันรบเผ่ามาไจล์อย่างกับสงครามยุคโบราณ และฉากท้ายเรื่องที่พีระมิดดูดกลืนทุกอย่างรอบตัว นับว่าทำได้น่าพอใจไม่เลวในความสร้างสรรค์อยู่ไม่น้อย แต่ที่น่าสนใจเห็นจะเป็นเรื่องที่เพิ่มเข้าแต่งสีในภาคนี้ที่จัดองค์ประกอบความเว่อร์เข้ามาหลายอย่างต่อหลายอย่าง นับตั้งแต่เปิดเรื่องกับเรื่องเล่าตำนานราชันย์แมงป่องที่พ่ายสงครามจนทำสัญญากับอานูมิสให้ตัวเองรอด แล้วจะมอบทำชัยสงครามให้ แต่พอทำตามสัญญาลุล่วงสำเร็จคนสัญญากลับต้องกลายเป็นทาสรับใช้อานูมิสต่อไป เหลือเพียงกำไลของราชันย์แมงป่องอันเป็นกุญแจปลุกชีพให้กลับมาพร้อมกองทัพไม่มีวันหมดเพื่อยึดครองโลก เห็นได้ว่าตำนานที่ภาคแรกเกริ่นกับภาคนี้ล้วนมีจุดสเกลไปคนละเรื่องเลย เริ่มจากเรื่องรักๆต้องห้ามจนถูกทำมัมมี่พร้อมคำสาป อันนี้เป็นเรื่องวงเล็กๆ แต่นี้ว่าเรื่องใหญ่ๆขึ้นมาระดับล้างโลกกันเลยทีเดียว เห็นได้ชัดจากการพัฒนาเรื่องราวของภาคต่อที่ต้องกว้างขึ้น อลังการขึ้น และแน่นอนต้องมันส์ยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ใช่แค่ประวัติอียิปต์ที่แต่งขึ้นมาเองเท่านั้นเพราะยังรวมถึงสิ่งลึกลับในป่า คงงงกันไปเลยสำหรับเรื่องนี้ที่จู่ๆมีเจ้าที่ที่ไหนไม่รู้ตัวเล็กๆไล่ฆ่าไล่แทงหน้าตาเฉยแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าเป็นตัวอะไร แต่โดยส่วนตัวคิดว่าเข้าท่าที่เพิ่มอะไรแปลกๆเข้ามาออกมาสนุกๆ คือการเพิ่มลงส่วนเล็กส่วนน้อยทำได้ลงตัวอย่างกับผจญภัยในป่าลึกลับแล้วต้องเจออะไรแปลกตามมา ผิดกับภาคแรกที่ไม่คอยมีอะไรแปลกนอกจากมัมมี่นี่แหลพที่ไล่กวดกันทั้งเรื่อง นับว่าสีสันของเรื่องมีเยอะจนน่าจะเป็นแนวแฟนตาซีคงไม่ผิด แล้วไหนจะเรือบินล่ะ(ฟังไม่ผิดหรอก เรือติดบอลลูน) พาหนะชั้นดีผิดจากคราวก่อนที่เป็นเครื่องบิน แต่ไม่ล่ะงวดมีตัวละครติดไปด้วยเพียบเลยจัดของใหญ่ด้วยเรือบินแถมติดเทอร์โบเอาไว้ด้วย


เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรแปลกๆพิสดารอีกหน่อยคงได้แนวแฟนตาซีผสมตำนานอียิปต์ปลุกมัมมี่ชัวร์ ซึ่งในองค์ประกอบทั้งหมดที่กล่าวเมื่อมองรวมๆแล้วสามารถทำให้ตัวหนังมีโทนเช่นเคย ไม่นอกลู่นอกทางแต่อย่างใด(แม้ตัวเองจะยังคิดว่าแฟนตาซีก็เถอะ) ผู้กำกับ Stephen Sommers คุ้มหนังได้อยู่จริงๆมีกลิ่นอายแบบทะเลทรายอย่างเคย

เอฟเฟคดี แอ็คชั่นมันส์ อะไรที่เคยมาน้อยหนนี้มาเพิ่มมาอีก นับว่าเป็นสไตล์ของหนังภาคต่อที่พยายามงัดอะไรๆเด่นจากภาคแรกมาเพิ่มลงไป และหนนี้ถือว่าดีจริงๆกับภาคต่อที่ไม่ใช่แค่ว่าเป็นภาคต่อเฉยๆ แต่รวมถึงเนื้อเรื่องที่ประติดประต่อกันอีกด้วย แม้ว่าโดยส่วนตัวจะรู้สึกตะหงิดนิดหน่อยที่เนื้อเรื่องในหนังทิ้งยาวมา 9 ปีจนมันนานเกินไปหน่อย เอาสักปีสองปีน่าจะเหมาะกว่าแต่ทำไงได้ล่ะไม่งั้นจะมีตัวละครอเล็กซ์ถือกำเนิดมาได้ยังไงล่ะจริงไหม แถมเนื้อเรื่องหลักจำเป็นต้องพึ่งพาอเล็กซ์เป็นตัวเชื่อมโยงเหตุการณ์ในหนังด้วย ที่สำคัญคือในเรื่องไม่มีตัวละครมากวนใจเลยสักตัวเดียว แต่ละตัวต่างมีลายของตัวเอง


อย่างสมุนลูกน้อยของบัลตัสที่เล่นโดย Adewale Akinnuoye-Agbaje ในเรื่องเป็นตัวละครที่อาจไม่มีอะไรแต่โดดเด่นเรื่องหน้าตาที่เข้ากับคาแรกเตอร์ได้ดี ดูแล้วเหี้ยมแม้จ้องมองตาเฉยๆก็ตาม หรือจะตัวนำความฮากับ John Hannah ที่เล่นเป็นโจนาธานพี่ชายเอฟเวอร์ลีน อันที่จริงตามเนื้อเรื่องแล้วไม่จำเป็นต้องมีคนนี้ก็ยังได้ แต่พอคิดแบบนั้นถึงรู้ว่าคิดผิดเพราะในภาคนี้อย่าว่าแต่นำมาซึ่งความฮาแต่ยังเอามาเป็นตัวช่วยอีกด้วย เห็นฝีมือการขับรถเมล์สองชั้นหนีสมุนมัมมี่นี่มันส์ไปเลย หรือจะ Patricia Velasquez ที่เคยเป็นเพียงตัวประกอบเล่นช่วงเปิดเรื่องของภาคแรก คราวนี้มาเต็มยศเล่นเป็นหลักมีสองบทบาทกับมีลาสาวแกร่งอยากลองของปลุกอิมโฮเทปกับอีกบทเป็นอนัคซูนามูนผู้หญิงที่อิมโฮเทปหลงรักตั้งแต่ 3000 กว่าปีก่อน นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจและดีในการดึงตัวละครเด่นๆแต่ไม่ใช่ตัวหลักมาเป็นตัวลำคัญ ที่เพิ่มมาอีกคือ Freddie Boath ในบทอเล็กซ์ลูกชายของริคกับเอฟเวอร์ลีน ทีแรกคิดว่าจะมีปัญหากับการเพิ่มตัวละครนี้ขึ้นมาหรือเปล่า แต่พอยังไม่พ้นครึ่งเรื่องเท่านั้นแหละเห็นว่าเป็นอีกตัวสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย แล้วในเรื่องยังเป็นเด็กที่เก่ง ฉลาด และกล้าด้วย ทำให้เนื้อเรื่องน่าตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง

นักแสดงยังมาครบเครื่องเช่นเคยและยังแฝงเอกลักษณ์ตัวละครนั้นๆได้สมบทบาท ไม่ว่าจะริคที่เล่นโดย Brendan Fraser ได้เหมาะสมเช่นเกิดมาเพื่อรับบทบาทนี้ สำหรับริคยังคงเป็นพระเอกที่เก่งอย่างเคยแต่เหมือนจะกลับมาคล่องแคล้วยิ่งกว่าก่อนแถมยังเป็นนักรบของพระเจ้าด้วยแน่ะ หรือจะ Rachel Weisz เป็นเอฟเวอร์ลีนที่ตอนนี้ได้กลายเป็นนักโราณคดีไม่ใช่บรรณารักษ์หญิงซุ่มซ่ามอีกต่อไป ในเรื่องเอฟเวอร์ลีนจะมีนิสัยเปลี่ยนไปนิดนึงตรงที่เป็นชีวิตหลังแต่งงานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ภาคนี้จะลดความน่ารักลงเพราะผู้ชมรู้อยู่แล้วว่าใครคือพระเอกนางเอก ที่สำคัญคือยังเป็นตัวละครสำคัญในด้านปมอดีตชาติมาก่อน อะไรๆที่น่าสงสัยจะมีส่วนช่วยคลี่คลายออกมา และอีกอย่างคือเอฟเวอร์ลีนจะไม่ใช่สาวอ่อนแออีกต่อไป เพราะงวดนี้จับดาบฟันแหลกกันไปข้างหนึ่งเลย ไม่นึกว่าพอระลึกชาติได้จะเก่งขึ้นมาผิดคนละคนจากสาวน่ารักมาเป็นสาวสวยแกร่ง ดูแล้วเท่ไปอีกแบบ อีกคนที่เด่นกว่าเดิมคือ Oded Fehr เป็นอาเด็ด เบย์ผู้พิทักษ์เผ่ามาไจล์คราวก่อนมาคนเดียวดูแล้วน่าลึกลับ ตอนนี้มาร่วมขบวนกองทัพโผล่มาเต็มเรื่องสุดท้ายเลยมันส์แบบเต็มเหนี่ยว แต่ที่ผู้ชมจะลืมไปไม่ได้เห็นจะเป็นเจ้ามัมมี่อิมโฮเทปที่ยังคงเป็นนักแสดง Arnold Vosloo เช่นเคย(แน่นอนล่ะ ไม่งั้นเสียใจแน่ถ้ามีตัวละครจากภาคก่อนมาเปลี่ยนนักแสดงในภาคนี้) ในเรื่องยังคงแฝงความน่ากลัวไม่เปลี่ยนแถมพลังอำนาจดูจะใช้มากกว่าครั้งก่อนอีกด้วย ที่ชอบคือการแสดงในท้ายเรื่องกับจุดไคลแม็กซ์ความเป็นความตายว่าจะรอดหรือไม่รอดซึ่งแสดงได้ดีจนชววนเจ็บปวดหัวใจไปตามๆกันด้วยสายตาอันไร้คำพูดมาอธิบาย แค่นี้ก็เจ็บปวดมากแล้วสำหรับตัวละครนี้


เนื้อเรื่องมีปูมมิติมากขึ้นจากอดีตชาติทำให้การรับชมแบบต่อเนื่องจึงสนุกได้มากหลายเท่า ต่อให้ไม่ได้ดูภาคแรกก็ใช่ปัญหาใดๆที่จะดูไม่รู้เรื่องเพราะเนื้อเรื่องแจกแจงรายละเอียดได้เข้าใจง่าย น่าเสียดายที่เหมือนองค์ประกอบจะมากจนกลบกลืนความหมายคำว่ามัมมี่หายไปเกือบหมด ทำให้ไม่รู้สึกว่ามัมมี่จะเป็นมัมมี่สักเท่าไหร่เห็นแล้วจะหนักการผจญภัยตามลูกคืนมาเสียมากกว่า เรื่องอื่นยังคงทำได้ดีทั้งบรรยากาศ โทน หรือดนตรีประกอบที่ประพันธ์โดย Alan Silvestri ยังคงแฝงกลิ่นอายทะเลทรายแบบอียิปต์ๆ ถือว่าเป็นการสร้างภาคต่อที่ฉลาดในการชักเรื่องให้กว้างขึ้น ดูแล้วทำให้ภาคแรกที่ไม่ค่อยมีอะไรกลับมีขึ้นทันตา แถมยิ่งได้ดูต่อเนื่องทีเดียวสองภาคยิ่งรู้สึกได้อรรถรสความหนักแน่นที่มันส์ สนุก ตื่นเต้นเอาเรื่อง ฉะนั้นแล้วไม่สมควรจะพลาดรับชมอันเด็ดขาด

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)