Event Horizon (1997) ฝ่านรก สุดขอบฟ้า

Event Horizon (1997) | ฝ่านรก สุดขอบฟ้า | B+
Director: Paul W.S. Anderson
Genres: Horror | Sci-Fi | Thriller

ประเด็นแรกคือเข้าใจว่าหนังเรื่องนี้คือหนังประเภทไซไฟท่องอวกาศมีเทคโนโลยีล้ำสมัยพร้อมกับอิงหลักวิทยาศาสตร์ แต่ที่ไม่เข้าใจคือเนื้อเรื่องที่กำลังนำเสนอเป็นแนวลึกลับที่ไม่ใช่แค่น่าสงสัยเพียงอย่างเดียวเพราะดันเป็นแนวหนังผสมผีๆหลอนๆที่อยู่นอกเหนือหลักเกณฑ์วิทยาศาสตร์จนกลายเป็นเรื่องสยองที่พาหายนะกันทั้งลำยาน อันที่จริงการหาเหตุผลมาอธิบายคงเป็นประเด็นรองลงไปเพราะเอาเข้าจริงมันทะลุทะลวงความเป็นไซไฟไปไกลแล้วโดยเฉพาะหลังจากที่เหยียบลำยานแล้วพบแต่เรื่องน่ากลัว แล้วเผอิญว่าความน่ากลัวไม่ได้เป็นแบบชวนระทึกเสียวหลังมีเอเลี่ยนบุกยานซะเมื่อไร หรือจะบอกว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตต่างดาวกลายพันธุ์แต่อย่างใดนอกจากคนด้วยกันนี่แหละที่เป็นสิ่งมีชีวิต ฉะนั้นรับประกันได้เลยว่าอะไรที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าไม่มีอยู่จริงนั้นเรื่องนี้จะทำให้เห็นว่าจะหนังไซไฟวิทยาศาสตร์แค่ไหนก็ยังหลุดมิติไปเข้าเรื่องลึกลับน่ากลัวขวัญประสาทได้กับเรื่องหลอนๆที่ไม่ต่างกับบ้านผีสิงเป็นยานอวกาศผีสิงแทน แต่นั้นยังไม่เท่ากับความลึกลับของเรื่องนี้ที่ถ้ามองพิจารณาอีกหน่อยมีโอกาสเป็นไปได้ไหมว่าตลอดทั้งเรื่องเกิดจากความวิปริตทางจิต ประมาณว่าอาการประสาทหลอนจากการท่องยานอวกาศ แต่นั้นคงไม่ใช่กับทุกคนได้หรอกเพราะทั้งเรื่องแต่ละคนโดนแจ็คพอตกันทั้งนั้น


กลับมาเข้าเรื่องกับการเดินทางครั้งนี้ที่เรื่องราวได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการค้นพบยานอวกาศที่หายสาบสูญไปนานถึง 7 ปีนามว่า"อีเวนท์ ฮอไรซัน"ที่ไม่รู้เลยว่ามาปรากฏโผล่มาได้ยังไงแถวดาวพฤหัส งานนี้จึงเป็นภารกิจในการกู้ยานกลับคืนมาโดยได้กัปตันมิลเลอร์ (Laurence Fishburne) เป็นผู้นำทีมนำพาลูกยานที่ประกอบด้วยจัสติน (Jack Noseworthy), ดีเจ (Jason Isaacs) , สมิธ (Sean Pertwee) , ปีเตอร์ส เมด เทค (Kathleen Quinlan) และคูเปอร์ (Richard T. Jones) และที่สำคัญสุดสำหรับเจ้าของภารกิจกู้ยานครั้งนี้คือดร.วิลเลี่ยม เวียร์ (Sam Neill) ผู้สร้างยานอีเวนท์ ฮอไรซัน และไม่ใช่แค่ตัวยานที่ออกแบบสร้างเองแต่ยังรวมถึงอุปกรณ์ชิ้นพิเศษสุดในตัวลำยานคือเครื่องสร้างประตูทะลุมิติที่มีศักยภาพมากกว่าการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง ทว่าผลการทดลองในครั้งนั้นเกินเรื่องความคาดหมายเมื่อเข้าประตูมิติไปแล้วกลับหายไปไม่ย้อนกลับคืนมาอีกเลย และไม่มีข้อมูลใดบอกไว้เลยว่ายานลำนั้นได้เปิดมิติไปที่ไหนมาจวบจนหนนี้ที่ยานได้กลับมาอีกครั้งนึง และเพื่อคำตอบนั้นพวกเขาต้องไปพิสูจน์ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในระยะ 7 ปีที่ผ่านมา

ทว่ายังไม่ทันได้เข้าไปในตัวยานต้องพบเรื่องราวสุดประหลาดเมื่อเครื่องจับสิ่งมีชีวิตพบว่ามีอยู่กระจัดกระจายเต็มลำไปหมด ซึ่งพอได้เข้าไปในอีเวนท์ ฮอไรซันจริงๆกลับไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆหลงเหลืออยู่เลยสักอย่างราวกับไม่เคยมีใครอาศัยอยู่มาก่อน ไร้ซึ่งวี่แววผู้คนไม่แม้กระทั่งร่องรอยของลูกเรือที่มากับยานก่อนหน้านี้ คำถามคือพวกเขาหายไปไหนกันหมดและเจ้ายานลำนี้ได้แหวกมิติข้ามผ่านไปที่ไหนมากันแน่ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ และเพื่อการนั้นก่อนจะกู้ยานกลับคืนได้สำเร็จต้องเข้าไปดูภายในก่อนว่าเป็นยังไงบ้างพร้อมกับหาความจริงเกี่ยวกับตัวยานอันเป็นปริศนามากมาย


แต่แล้วหายนะก็ได้พุ่งเข้าสู่ทุกคนที่ได้เหยียบอีเวนท์ ฮอไรซันคล้ายกับเมื่อเข้ามาจะไม่มีทางปล่อยให้ออกไปได้ ซึ่งไม่ทันได้ทักทวงอะไรก็เจอแต่เรื่องสุดสยองกันชนิดไม่พักหายใจก่อนจะพบความจริงบางประการเกี่ยวกับการข้ามมิติว่าอีเวนท์ ฮอไรซันได้ไปที่ๆไกลมากและที่นั้นไม่ใช่สถานที่ใดเลยนอกจากที่เราเรียกว่านรกอันแสนวิปริตผิดแปลก ซึ่งอีเวนท์ ฮอไรซันได้นำบางอย่างติดมาด้วย

ประหนึ่งว่าตัวเองกำลังก้าวข้ามบางอย่างไปเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ เนื่องจากช่วงแรกของหนังสามารถเล่าเรื่องได้อย่างมีหลักมีเกณฑ์มีการอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ในการเดินทางข้ามมิติราวกับหนังไซไฟท่องอวกาศที่อาจจะมาทางแอ็คชั่นไปเจอผู้รุกรานทำลายดวงดาว ทว่ากับ Event Horizon ไปไกลกว่าที่คิดเอาไว้ค่อนข้างมากถ้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านี่คือหนังสยองขวัญสั่นประสาทอันแสนจะท่าทางผู้ชมในแง่ของความสดจนไม่แปลกใจเลยว่าไม่เป็นที่ถูกใจเหล่านักวิจารณ์นักเพราะคำว่าไซไฟมักจะอยู่ด้านตรงข้ามกับไสยศาสตร์และนั้นเองที่ความเป็นไปได้ของหนังถูกตีค่าในทางลบเพราะความกล้านำเสนอ


ซึ่งก่อนจะได้พล็อตเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งลึกลับเชิงหลอนประหนึ่งนรกแตกได้นั้นเดิมทีตั้งใจจะให้มีสัตว์ประหลาดติดมากับยานด้วย แต่ทาง Paul W.S. Anderson เล็งเห็นว่าจะเข้าเค้าคล้าย Alien (1979) มากเกินไปจึงได้ปรับแต่งใหม่ให้สวนกระแสขนบธรรมเนียมเดิมๆด้วยการทำเป็นหนัง Horror-Scifi ด้วยภาพลักษณ์ของบ้านผีสิง และด้วยความสดใหม่ของสไตล์นี้เองจึงจัดได้ว่าเป็นหนังเรื่องแรกๆที่เอาความสยองแบบผีๆมาใช้แทนที่จะมีสิ่งมีชีวิตอันแสนจะแปลกประหลาดมาใช้ แต่ด้วยการเล่าเรื่องของหนังที่ไม่ธรรมดาทำให้มีทฤษฎีเป็นไปได้นอกจากผีสิงยานคือหลอนกันไปเอง อย่างดร.วิลเลี่ยมบอกเอาไว้ในกรณีที่ออกซิเจนน้อยอาจทำให้เกิดภาพหลอนและฟุ้งซ่านไปเองได้ ซึ่งตัวหนังก็ใช่ว่าจะทำให้ตัวละครแต่ละรายหลอนอย่างไร้เหตุผลเนื่องจากเป็นการดึงส่วนที่อยู่ภายใต้จิตใจกับเรื่องที่ตัวเองอยากลืมเลือน อย่างเรื่องลูกที่ตายไปแต่ทำใจไม่ได้ เพื่อนร่วมงานที่มาตายไปเพราะความผิดของตัวเองที่ไม่อาจช่วยได้ ความหวาดกลัวต่อเรื่องของตนเองที่ยังค้างคาใจ และอีกหลายๆมุมมองที่เป็นการตีแผ่ด้านมืดของจิตใจแต่ละคนออกมาให้กลายเป็นการบั่นทอนกำลังใจ นับว่าเป็นการปรุงแต่งที่ไม่เลวเพราะมีส่วนที่น่าสนใจกับความหลากหลายที่แตกต่างกันออกไป

บางคนอาจจะคุ้นๆชื่อผู้กำกับก็คงไม่แปลกเพราะเคยสร้าง Mortal Kombat (1995) เกี่ยวกับหนังต่อสู้หวังเอามันส์กันแบบเน้นๆไม่อิงเนื้อหาสาระมาประกอบมากมายจนเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกด้วยตัวละครที่หลากหลายรูปแบบความสามารถจนแปลกใจอยู่หลายขุมตรงที่พอมากำกับ Event Horizon ดันกลายเป็นหนังสยองชนิดคัลท์กันอย่างโหด แต่จะโหดกว่านี้ถ้าเอาตัวเต็มมาให้ชมกันเนื่องจากตัวหนังโดนตัดออกไปประมาณ 30 นาทีเพื่อรักษาเรตติ้งผู้ชมแม้ว่าจะอยู่เรต R ก็ตาม ส่วนที่โดนตัดไปนั้นมาจากความจัดเต็มของ Paul W.S. Anderson ที่ลงความสยองอย่างเข้มข้น


ที่ว่าเข้มข้นคือทำให้ออกมาน่าสยดสยองจนน่าขนลุกขนพองไม่ต่างกับหนังคัลท์เอาเลือดเอาเนื้อมีอวัยวะมากองสาดเลือด ทว่านั่นแหละที่ผู้บริหาร Paramouth กับกลุ่มผู้ชมรอบทดลองไม่อาจทนได้จนต้องเบือนหน้าหนีเพราะความรุนแรงของหนังจึงเป็นเหตุต้องถูกตัดออกไป ซึ่ง Paul W.S. Anderson ยังคงรู้สึกเสียใจกับการถูกตัดฉากดังกล่าวออกไป แต่ความเสียใจยังไม่จบลงเมื่อรวมรายได้แล้วกลับทำเงินได้ไม่เข้าเป้าซ้ำยังขาดทุนจากทุนสร้าง 60 ล้านดอลลาร์ฯที่ทำรายได้เพียง 27 ล้านดอลลาร์ฯเท่านั้น จึงกลายเป็นหนังเจ๊งที่ทำรายได้ไม่ถึงครึ่งทั้งที่น่าจะได้รับความสนใจในความแปลกใหม่ ทว่าตอนฉายในโรงอาจไปไม่ได้สวยอย่างที่คิดแต่กลับไปได้สวยหลังจากส่งลงแผ่นจนเป็นที่ถูกอกถูกใจคอหนังสยองขวัญ(เผื่อๆอาจถูกใจคอหนังไซไฟด้วย)

Event Horizon จัดว่าเป็นอะไรที่สนุกและการดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างต่อเนื่องกันแบบยังไม่ทันเข้าตัวยานดีพร้อมก็เจอเรื่องน่าขนลุกอยู่ก่อนแล้ว แต่ก่อนจะเข้าตัวยานอีเวนท์ ฮอไรซันนั้นตัวหนังได้ทำในสิ่งที่ทุกเรื่องต้อง กระทำคือการเกริ่นเหล่าตัวละครว่ามีลักษณะท่าทางกันยังไงบ้าง ซึ่งทำได้ดีแม้จะจำเจไม่ต่างกับหนังไซไฟทั่วๆไปที่บอกว่าใครคือหัวหน้าใครทำหน้าที่อะไรและต้องมีคนมาอธิบายภารกิจให้ฟังอย่างชัดเจนหลังจากออกเดินทางไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าตัวยานขนาดมหึมาอย่างอีเวนท์ ฮอไรซันไม่เป็นที่น่าไว้วางใจตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วด้วยการเปิดความหลอนบางอย่างเข้าใส่ผู้ชม


ช่วงแรกๆของหนังเต็มไปด้วยพล็อตเรื่องดึงตัวละครรนหาที่ตายอย่างไม่ปฏิเสธว่ามันคือเรื่องจริง แต่มองอีกมุมหนึ่งกลับให้ความรู้สึกว่าบางสิ่งกำลังเล่นกับส่วนลึกของจิตใจโดยเฉพาะความอยากรู้อยากเห็นอยากลองอยากสัมผัส และนั่นเองที่ทำใหผู้ชมเกิดคิดเดาทิศทางของตัวหนังได้ว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้างอย่างไม่มีข้อกังขาเลยว่าต้องมีการหักมุมชวนเหวอแต่อย่างใดเพราะตลอดทั้งเรื่องมุ่งมาแบบตรงๆกับเรื่องราวหลอนๆประมาณว่าผีหลอกถึงตายจนกลายเป็นหนังคัลท์แรงๆที่มีฉากชวนน่าสะอิดสะเอียนทั้งเส้นเลือดขึ้นปูดปาดตามแขนพร้อมระเบิด ตกจากที่สูงจนเนื้อเละ ดูเทปบันทึกลูกยานก่อนหน้านี้กับการควักเศษเนื้อจากร่างกายอย่างบ้าคลั่ง และอีกหลายฉากที่โหดก็โหดกันจริงๆ แม้ว่าที่บอกจะเป็นอะไรที่เกือบมีหมดในเรื่องแต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันควรจะเยอะกว่านี้ถ้าไม่ชิงถูกตัดไปเสียก่อน ก็อย่างน้อยสิ่งที่ตัวหนังได้มีนั้นยังเป็นอะไรที่น่าลิ้มลองเหมาะกับคอหนังโหดไม่มากก็น้อย ยิ่งมาช่วงหลังๆด้วยแล้วตัวหนังจะไม่มีคำว่าปราณีอีกต่อไปเสมือนนรกแตกจัดฉากแรงๆมาอย่างต่อเนื่องผิดกับช่วงแรกแค่เอาหลอนมากสยองน้อยเป็นการเจิ่มลงของ

ในแง่ความหลอนนั้นทำได้ดีมากน้อยแค่ไหนต้องยกผลประโยชน์ให้กับยานอีเวนท์ ฮอไรซันที่ได้รับการออกแบบได้น่าขนลุก ยิ่งขนาดตัวยานที่ใหญ่มากๆด้วยแล้วนั้นทำให้ยิ่งนึกสงสัยด้วยว่าจะมีอะไรแอบหลงเหลือในมุมมืดบ้างหรือไม่ ทั้งองค์ประกอบ การหามุมตลอดจนการทำในส่วนปกติกลับไม่ปกติ อาทิ ฉากตัวยานอีเวนท์ ฮอไรซันที่ถ้าเป็นหนังไซไฟเฉยๆคงดูอลังการและทรงพลัง ทว่ากับเรื่องนี้ทำให้บรรยากาศดังกล่าวดูหม่นหมองไม่น่าไว้ใจจนไม่อยากเข้าไปเกี่ยว โดยส่วนตัวแล้วจะมีอยู่ 2 ฉากที่ทำได้น่าสนใจและติดตาเป็นอย่างมากคือฉากดร.วิลเลี่ยมต้องคลานเข้าไปในแฝงวงจรไฟฟ้าที่เต็มไปด้วยทางยาวพร้อมกับทางที่มีแต่สีเขียวเต็มไปหมด ก่อนสักพักจะมีเสียงเรียกชื่อดร.วิลเลี่ยมและหลังจากนั้น...(ไม่บอกปล่อยให้ลุ้น)และฉากเข้าไปหาแกนกลางของตัวยานอีเวนท์ ฮอไรซันกับตัวแกนปั่นแรงดึงดูดอันเป็นปัจจัยการเดินเครื่องข้ามมิติด้วยการสร้างหลุมดำเพื่อใช้เดินทางด้วยการย่นระยะ ซึ่งฉากนี้เป็นอะไรที่คุ้มค่ามากๆกับการออกแบบที่ดูอลังการกับทรงกลมขนาดใหญ่ที่มีแกนหมุนไปมาราวกับเครื่องจักรชิ้นนี้มีชีวิต ถือว่าการออกแบบทำได้จนน่าสนใจทั้งที่ไม่น่ามีอะไรพร้อมกับการทำบรรยากาศให้ออกมาสไตล์ Darkness จนรับรู้ได้ถึงความชั่วร้ายอยู่ใกล้ๆ


แม้ว่านักแสดงจะมีกันไม่กี่คนกระนั้นยังต่างเล่นกันได้ดีตามคาแรกเตอร์ของตัวเอง ซึ่งจะมีอยู่หลักคือ Laurence Fishburne ในบทกัปตันมิลเลอร์ที่พยายามทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบไม่เป็นกระต่ายตื่นตูม เป็นคาแรกเตอร์ที่ตัวเองค่อนข้างชอบเพราะมีความเก่งและฉลาดพอจะรู้ว่าฮีเวนท์ ฮอไรซันชักไม่ชอบมาพากลและเริ่มจะอยากออกไปจากยานลำนี้เดี๋ยวนี้อย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ และอีกคนคือ Sam Neill ในบทดร.วิลเลี่ยมที่ช่วงแรกยังดีๆอยู่แต่มาช่วงหลังๆนี้คนละคนเลย จัดว่าแสดงได้เข้าถึงบทบาทจริงๆทั้งการแสดงกับบุคลิกที่มองว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว

ส่วนที่เหลือต่างแสดงได้ดีกันทุกคน เว้นแต่กับ Richard T. Jones ที่อยากให้มีบทมากกว่าอีกสักหน่อยเพื่อที่ว่าจะได้บรรลุในมุขที่ตัวหนังใส่เข้ามาอย่างเต็มที่ ฟังไม่ผิดหรอกที่หนังทั้งสยองทั้งจริงจังจะมีมุขขำๆเข้ามากระนั้นแค่มุขเดียวที่หนังจะมีได้และเป็นมุขที่ค่อนข้างแน่จริงกับความตลกร้ายจนผู้ชมอาจจะต้องทึ่งได้(ยังดีนะที่การใส่มุขเด็ดมุขเดียวนี้ไม่ได้ทำให้โทนของหนังเปลี่ยนไป) สรุปว่านักแสดงดี องค์ประกอบดี คุ้มจังหวะถูก ความสยองน้อยไปหน่อยแต่กับคนไม่ชินกับแนวนี้นับว่ามาแต่ละครั้งก็สยองพอควร เอาเป็นว่าโดยส่วนตัวค่อนข้างชอบสไตล์ Horror-Scifi แบบเรื่องนี้เป็นอย่างมากและคิดว่ามันสนุกได้ที่เลยล่ะ


"นรกเป็นแค่สรรพนาม"

อันนี้จะไม่เกี่ยวกับหนังโดยตรงแค่เป็นการคิดเล็กคิดน้อยของผู้เขียนเกี่ยวกับการบอกว่าอะไรคือนรกอย่างที่ตัวหนังได้เอ่ยออกมา เริ่มกันที่ว่าจักรวาลนั้นกว้างใหญ่จนเราไม่อาจบอกได้ว่ามีสิ่งใดอยู่บ้างและอะไรคือขอบเขตของจักรวาลที่มีอยู่ สำหรับโลกนั้นมนุษย์ได้ตั้งความเชื่ออยู่สองรูปแบบคือนรกกับสวรรค์ สถานที่ที่ดีคือสวรรค์แต่ทางตรงกันข้ามที่เลวร้ายคือนรก สำหรับนรกคือสิ่งที่ได้สมมุติขึ้นมาจากความคิดในเรื่องที่ชั่วร้ายอันเป็นการรวมแหล่งความทรมานสุดแสนเจ็บปวดเข้าไว้ด้วยกัน เหตุที่เราเรียกว่านรกนั้นเป็นแค่คำเรียกนิยามสถานที่หลังความตายอันรวมเก็บคนชั่วไว้ชดใช้ผลกรรมเท่านั้น

ในความเป็นไปได้ไม่มีใครรู้ว่าสถานที่ดังกล่าวมีอยู่จริงเพราะไม่เคยปรากฏให้ใครได้เห็นมาก่อนโดยเฉพาะต่อสายตาประชาชนหมู่เหล่า เว้นแต่กรณีคิดไปเองว่าตอนนี้กำลังประสบเหตุการณ์แบบนรกทั้งเป็นหรือตายทั้งเป็นด้วยความไม่สู้ดี สำหรับจักรวาลนั้นนับว่ากว้างเกินไปกับการสำรวจตรวจสอบว่ามีอะไรบ้างและจะไม่มีใครรู้ไปทุกเรื่องทุกดวงดาวว่ามีอะไรอยู่ที่แห่งนั้น ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าในความมืดที่เห็นไปทั่วจักรวาลอาจประหนึ่งเศษเสี้ยวของความตายที่ฟุ้งซ่านหลุดลอยออกมา ในความมืดไม่มีใครเห็นว่าอะไรอยู่ในนั้นจนกว่าจะมีแสงสว่างและเจ้าแสงสว่างนี้ก็ไม่มีเคยมีให้เห็นมากพอจะรู้ลึกหนาได้เลยต่อให้ดวงอาทิตย์ระเบิดก็ตาม


เป็นไปได้ไหมว่าที่เรากลัวไม่ใช่การจะต้องเจอกับอะไรแต่เป็นการกลัวกับสิ่งที่ไม่เคยได้เห็นเช่นดาวทุกดวงที่ไม่เคยเหยียบ มิติที่ไม่เคยไป รวมถึงการเดินทางที่จะกลับบ้านได้หรือเปล่า นรกเป็นแค่คำเรียกสั้นๆเพื่อให้เข้าใจถึงความชั่วร้ายแต่บางครั้งมันก็คือความเลวร้ายที่ไม่ได้เกิดจากภายในแต่เป็นการดึงจากภายนอกให้เจอแต่เรื่องร้ายๆคล้ายกับว่าคุกคือสถานที่ที่หนึ่งเท่านั้นแต่ต้องกลายเป็นที่หลายคนไม่อยากเข้าใกล้เพียงเพราะการนำคนเลวเข้าสู่คุกจนกลายเป็นสถานที่รวมคนเลว ซึ่งนั้นไม่ได้แปลว่าเลวเจอเลวจะดีขึ้นได้ซะเมื่อไหร่หลังจากปล่อยตัวออกมา ดังนั้นนรกคงหมายถึงสภาวะหนึ่งที่อาจรวมถึงจิตใจที่ไม่สามารถมองเห็นได้ และด้วยความที่เราไม่อาจมองได้นี้นั้นคงเป็นการทำให้เรากลัวเพียงเพราะไม่อาจมองหรือสัมผัสได้อย่างชัดเจน เช่นดังการเดินในทางที่มืดโดยไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่รอบข้างและถึงจะมีก็ไม่รู้ว่าอะไร กับความกลัวก็คือนรกขุมหนึ่งที่รู้สึกเจ็บปวดที่ต้องผวาพร้อมกับเล่นงานเรื่องผิดพลาดในครั้งอดีตให้กลับมาหลอกหลอน สำหรับนรกคือชื่อเรียกชื่อหนึ่งเท่านั้น มันไม่ได้ห่างไกลหรือใกล้กับมิติชั้นสูงที่เต็มไปด้วยความวิปลาสแต่อย่างใด

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)