Romeo + Juliet (1996)
โรมิโอ แอนด์ จูเลียต
Director: Baz Luhrmann
Genres: Drama | Romance
Grade: B
เรื่องของเรื่องมาจากคนจาก 2 ตระกูลระหว่างตระกูลมอนตะคิวกับตระกูลคาปุเล็ตที่มีความแค้นชนิดอยู่ร่วมโลกไม่ได้จนสร้างความปั่นป่วนให้กับเมืองจนต้องมีกฎเหล็กบังคับทั้งสองตระกูลให้อยู่อย่างสันติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเมื่อเกิดเหตุการณ์สร้างความวุ่นวายเกิดขึ้นเมื่อไหร่เจ้าหน้าที่พรินซ์ (Vondie Curtis-Hall) จะเป็นคนบอกว่าสมควรรับโทษหนักแค่ไหนโดยว่ากันตามถูกผิดอย่างเด็ดขาด แต่เรื่องไม่ได้ว่ากันตามโดยง่ายตลอดเวลาเพราะคนทั้งสองตระกูลยังคงอาฆาตต่อกันตลอดเวลา เพียงแค่สบสายตาก็พร้อมจะชักปืนรัวกระสุนแบบไม่ต้องถามไถ่ว่ามีเหตุผลอะไรต้องฆ่าแกงกันนอกจากคำว่าศัตรู แม้ว่าจะเกิดเรื่องจนสร้างเหตุชุลมุนเอาไว้มากเพียงไหนแต่มีอยู่คนๆหนึ่งที่ไม่ได้รู้สึกเป็นปัญหาอะไรกับตัวเขา เพราะเขาเข้าใจดีกับชีวิตอันแสนสงบในนอกเมืองเวโรนากับชีวิตรักสนุกริมหาดทะเลที่มีแต่ความสนุกกับบรรยากาศธรรมชาติอันแสนไม่มีเป็นพิษเป็นภัย ซึ่งเขาคือโรมิโอ (Leonardo DiCaprio) ชายหนุ่มหน้างามที่ไม่คิดยึดติดกับทางโลกแต่อย่างใดคล้ายต้องการปล่อยให้มันผ่านไปเช่นสายลมพริ้วไหว จนกระทั่งในงานเลี้ยงราตรีได้ไปเจอกับหญิงงามนางหนึ่งจนเขาเองยากจะละสายตาออกห่างได้โดยง่ายจนในใจเต็มไปด้วยแรงผลักดันที่ทำให้ตัวเองมีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งนางมีชื่อจูเลียต (Claire Danes) และด้วยการพบกันครั้งแรกก็เหมือนได้พิสูจน์การพบกันดุจรักแรกพบที่ได้เห็นก็รู้สึกถึงในความโหยหาในทันทีว่าคนนี้คือคนที่ตามหา ทว่าเรื่องราวได้นำพาทั้งสองสู่ความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เพียงเพราะต่างฝ่ายต่างมาจากสองตระกูลแค้นที่โรมิโออยู่ฝั่งมอนตะคิวและจูเลียตมาจากคาปุเล็ต กระนั้นทั้งคู่ต่างไม่คิดจะเลิกรักต่อกันแม้จะเสี่ยงแค่ไหนก็ตาม และนับแต่นั้นมาก็เกิดเรื่องโศกนาฏกรรมนำพามาสู่คนทั้งสองตระกูลในท้ายที่สุด
ใครเคยอ่านโรมิโอกับจูเลียตมาก่อนคงไม่ต้องอธิบายเนื้อเรื่องโดยละเอียดว่าเป็นยังไงบ้าง เนื่องจากถ้าว่ากันตามท้องเรื่องคือยังคงดำเนินตามแบบต้นฉบับเช่นเคย จะมีในส่วนของการดัดแปลงเรื่องยุคสมัยให้ดูเป็นปัจจุบันมากยิ่งขึ้นในทุกส่วน พูดง่ายๆคือจากดั้งเดิมดวลดาบกลายเป็นดวลปืน ฉากวิ่งไล่ล่าเป็นฉากแข่งรถยนต์ รวมถึงแรงจูงใจของสองตระกูลที่ขัดผลประโยชน์จากการแข่งขันทางการค้าระหว่างบริษัท ด้วยภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงให้ดูร่วมสมัยยิ่งขึ้นจึงเหมาะกับกลุ่มคนประเภทวัยรุ่นพอสมควร เพราะอย่างแรกคือหลายสิ่งทำให้ดูง่ายสบายตาพร้อมกับลูกเล่นแสงสีที่เปล่งประกายความสดมาแต่ไกลกับองค์ประกอบต่างๆรวมถึงเสื้อผ้าอันแสนโดดเด่นเรื่องสี
นอกจากนี้ยังต้องยอมรับว่าเรื่องของฉากต่างๆทำได้แบบแอบแฝงพลังเอาไว้มากมายจนไม่ต่างกับกำลังรับชมละครเวทีเคลื่อนที่ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา และถึงแม้จะถูกดัดแปลงไปแทบทุกอย่างจนเหลือเค้าโครงเรื่องหลักๆเอาไว้เพราะเปลี่ยนให้เข้ากับผู้ชมโดยง่าย แต่บทสนทนายังใช้สำนวนภาษาดั้งเดิมของเชกสเปียร์อยู่แทบทั้งสิ้น ว่ากันง่ายๆคือตัวละครจะไม่พูดกันแบบธรรมดาตามประชาชาวบ้านที่พูดก็พูดได้เลยโดยไม่ต้องใช้ศัพท์สำนวนอะไรมากมาย แต่นี้นั้นไม่ใช่เลย ตั้งแต่เริ่มเรื่องมาถึงตัวละครก็เปิดการพูดจาแบบกลอนกวีที่ขับนำลำไพร่ไม่ต่างกับส่งต่อบทกลอนเป็นการพูดจากันอย่างรู้เรื่อง ซึ่งลักษณะอันโดดเด่นอันเป็นข้อแตกต่างนี้เองที่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเรื่อง เนื่องจากถ้อยคำแต่ละคำนั้นล้วนมีความสวยงามอันพิถีพิถัน ก็นั้นเป็นปัญหาอยู่อย่างคือถ้ารู้สึกเบื่อไม่ชอบขึ้นมาจะรู้สึกเบื่อจริงๆเหมือนตัวเองมานั่งเรียนกลอนร่วม 2 ชั่วโมง คือมันต้องตีความหมายในบางจุดว่าที่ฟังๆกำลังสื่ออะไรอยู่บ้าง บางครั้งนี่ลีลามากเหลือเกินกว่าจะพูดกันรู้เรื่อง แต่นั่นแหละเพื่อคงความคลาสสิคไว้
ตัวหนังทำรายได้ 147 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากงบประมาณสร้าง 14.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แถมยังได้คำชมงามๆจากนักวิจารณ์ในเชิงบวก พอรู้แบบนี้จึงอดแปลกใจไม่ได้เพราะในเรื่องมีการใช้ภาษาด้วยความสวยงามบวกกับการดัดแปลงที่ยังอยู่ในขอบเขตที่เป็นไปด้วยดีไม่ออกทะเล ผลที่ได้คือไม่ต่างจากฉบับดั้งเดิมที่ถูกสร้างขึ้นในอีกยุคสมัยที่ยังคงเน้นความเป็นพลังกับฉากสะเทือนใจที่บ่งบอกถึงสาระดีๆทิ้งท้ายให้ตระหนักในคุณค่าในเชิงที่ว่า"ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา" จะว่าแล้วเนื้อหาของเรื่องที่กำลังสื่อมานั้นไปไวมาไวจนตัวเองแปลกใจในความฉับไวของเรื่องที่ดำเนินกันแบบไม่พักหายใจหายคอกัน
เนื่องจากถ้ามาหั่นส่วนต่างๆออกไปจะมีหลักของเรื่องที่สั้นมากๆคือโรมิโอกับจูเลียตมาเจอกันแล้วตกหลุมรักกัน แต่เกิดมาจากคนของตระกูลที่ต่างห่ำหั่นจ้องทำสงครามกันตลอดเวลา และด้วยความที่ว่าตัวหนังยาวประมาณ 2 ชั่วโมงบวกกับการดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็ว ทำไมพล็อตสั่นๆจึงอยู่ยาวได้ตลอดทั้งเรื่องราวกับไม่ได้ไปไหน นั้นคงเพราะมาจากการจัดแจงเรื่องบทบาทตัวละครอื่นๆให้ออกมามีส่วนร่วมสำคัญๆในท้องเรื่องจนมีน้ำหนักมากขึ้นและมิติมุมมองที่สะท้อนตัวละครได้หลากหลาย อย่างเช่นติบอลท์ (John Leguizamo) คนฝั่งตระกูลคาปุเล็ตที่ทำหน้าที่เสมือนบอดี้การ์ดทำหน้าที่ปกป้องและใช้กำลังจัดการตระกูลมอนตะคิว
ฟังเหมือนตัวร้ายแต่อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นตัวละครที่พอมีศักดิ์ศรีพอตัว อย่างตอนไปขอรบกับโรมิโอเพราะเห็นว่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับจูเลียตมากเกินไปด้วยการดวลตัวต่อตัว แสดงให้เห็นถึงการปกป้องอย่างถึงที่สุดกับคนในตระกูล แต่ที่เห็นจะขาดไปไม่ได้คือคนที่อยู่เป็นกลางกับเมอร์คิวซิโอ (Harold Perrineau) เป็นเพื่อนโรมิโอจนสนิทกันดีแต่ตัวเองไม่เคยคิดจะให้เกิดเรื่องบานปลายเกิดขึ้นมากไปกว่านี้ แม้อาจต้องบังคับให้ทำเพื่อแสดงความเป็นลูกชายแต่ก็ไม่เคยคิดเข้าข้างฝั่งไหนเต็มร้อย และที่สำคัญสุดคือหลวงพ่อลอเรนซ์ (Pete Postlethwaite) ที่เกิดขึ้นมีความเห็นว่าการมีความรักของสองหนุ่มสาวโรมิโอกับจูเลียตเป็นเรื่องที่ดี เพราะนี้จะช่วยทำให้คนต่างตระกูลที่แค้นกันยอมจับมือสันติความบาดหมางก็เป็นได้ ดังนั้นจึงพยายามสนับสนุนโรมิโอกับจูเลียตให้เป็นไปตามแผนของตนเอง เพื่อที่สุดท้ายแล้วจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขโดยไม่มีภัยเข้ามาเกี่ยวโยงเกิดขึ้น
อย่าว่าแต่ในทางเนื้อเรื่องเลยเพราะในด้านนักแสดงขนกันมาแต่ละครนั้นโดดเด่นไม่ต่างจากตัวละครในเรื่องที่มีคาแรกเตอร์อันแสนเตะตา ทั้ง John Leguizamo ที่ดูเป็นพิสมัยกับสไตล์ของตัวเองเป็นอย่างมาก หรือจะ Harold Perrineau ที่เล่นได้สมน้ำสมเนื้อจนเป็นอีกตัวละครที่มีเสน่ห์ไม่ต่างกับตัวหลักของเรื่อง แต่ที่น่าสนใจคือ Leonardo DiCaprio กับ Claire Danes กับบทบาทที่เรียกแจ้งเกิดกันอย่างเต็มเนื้อเต็มตัวกันเลยทีเดียว เพราะในเรื่องมีหลายอารมณ์ที่ปะปนกันไปไม่ต่างกับบทกลอนที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายมีประชดประชันกัน ซึ่งเล่นกันได้ดีมากกันทั้งคู่โดยเฉพาะฉากเจอกันครั้งแรกที่ตู้ปลาที่ส่อแววตาได้หวานหยาดเยิ้ม เป็นใครโดนลองแบบในฉากนี้คงต้องมีเขินแอบคิดรักกันบ้างแน่นอน พอมาลองคิดดีๆการได้นักแสดง Leonardo DiCaprio เป็นอะไรที่พิเศษสุดจากช่วงวัยบวกหน้าตาที่หล่อแบบเด็กๆแต่ทัศนะเป็นผู้ใหญ่ ชอบมากในช่วงเปิดตัวที่ใช้ถ้อยคำพูดออกมาได้น่ากินใจไม่ต่างกับมาฟังธรรมให้อย่าหลงไปกับทางโลกมากนัก แล้วยังพวกแอคติ้งต่างๆกับฉากร้องไห้บ้างตะโกนบ้างทำได้ดีแบบใส่อารมณ์กันสุดๆ ไม่ต้องพูดว่าสหน้าจะจัดเต็มแค่ไหนกันเลย ส่วน Claire Danes มาหน้าหวานชนิดต้องมีใจละลายกันบ้างในหมู่หนุ่มๆ ในเรื่องแสดงได้ดีมีเสน่ห์น่าจับมอง แต่อย่าว่าเป็นแค่ผู้หญิงน่ารักๆแล้วจะอ่อนแอซะที่ไหน ดูเอาว่าหลังจากโรมิโอไม่อยู่ต้องทำใจมากแค่ไหนและไหนจะแผนในตอนท้ายเรื่องอีก แสดงให้เห็นว่าเป็นสาวแกร่งได้อย่างน่าเชื่อถือกันเลย
การดำเนินเรื่องฉับไว มุมกล้องมาแปลกๆ องค์ประกอบต่างๆน่าสนใจ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าตัวหนังกำลังเด่นทางด้านไหนบ้าง ไม่ใช่แค่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเท่านั้นแต่ยังรวมถึงเรื่องอารมณ์ร่วมทางองค์ประกอยศิลป์ที่ขายจุดนี้กันอย่างชัดเจน ทั้งการร้องเพลง การแต่งกาย รวมถึงอารมณ์ร่วมต่างๆ ทว่าข้อเสียคือไม่รู้สึกว่าความรักดูเข้มข้นเท่าไหร่นักเหมือนยังไม่หนักแน่นพอจะทำให้ท้ายเรื่องเป็นอะไรที่ช็อกกันสุดๆได้ อย่างน้อยการเรียบเรียงในช่วงท้ายเป็นอะไรที่เข้าใจง่ายและไวจนร่วมลุ้นได้ว่าจะลงเอยยังไงบ้างนับว่ายังพอกลบข้อเสียเรื่องน้ำหนักในตอนท้ายเรื่องได้อย่างดี
นอกจากนี้ยังสรุปเรื่องราวให้เข้าใจว่าท้ายที่สุดแล้วการเป็นศัตรูต่อกันนั้นจะเป็นการกีดกั้นความรักอันสวยงามให้จบลงด้วยโศกนาฏกรรมอันน่าสลดใจ ไม่ใช่โรมิโอหรือจูเลียตที่ต้องเสียใจที่สุด แต่เป็นคนผู้ใหญ่ที่ยังเหลืออยู่ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่รักกันปรองดองต่อกัน เราจะเกลียดกันไปทำไมในเมื่อไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลยสักอย่าง และโรมิโอกับจูเลียตคือตัวอย่างที่สวยงามที่ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องเรื่องน่าแฮปปี้ก็ตาม
Romeo + Juliet ฉบับนี้ทำได้สนุก ไหลลื่นกับการดำเนินเรื่องอย่างต่อเนื่องจนไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ซ้ำยังได้สปิริตนักแสดงเข้าเสริมจึงทำให้หน้าตาของหนังเต็มไปด้วยพลังของตัวนักแสดงเอง และสุดท้ายสำหรับใครที่อยากได้ทัศนะมุมมองแบบจัดเต็มเรื่องศิลป์ต้องยกให้กับเรื่องนี้ด้วยเรื่องหนึ่งที่วางลีลาท่าทางกับองค์ประกอบได้น่าตื่นตา