The Place Beyond the Pines (2012) | พลิกชะตาท้าหัวใจระห่ำ | A
Director: Derek Cianfrance
Genres: Crime | Drama | Thriller
The Place Beyond the Pines ไม่ต่างกับหนังที่มีการดำเนินเรื่องที่แบ่งเป็นตอนๆเพียงแค่ว่าแต่ละตอนล้วนถูกนำมาเชื่อมโยงเข้ามากันได้เป็นเนื้อเดียวกัน
ซึ่งเหตุการณ์ทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้จากตอนแรกของเรื่องแล้วนำมาสู่อีกตอนและผลของอีกตอนก็กลายเป็นอีกตอนในช่วงสุดท้ายอันเป็นบทสรุปของเรื่องราวที่เกิดขึ้น
โดยเนื้อเรื่องได้เริ่มขึ้นที่ลุค (Ryan Gosling) นักขับมอเตอร์ไซค์ผาดโผนที่ใช้ชีวิตของตนเองอย่างชินชาคล้ายทุกอย่างเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดาและปกติเช่นทุกวัน
แต่วันนี้ไม่ใช่อย่างที่แล้วมาเมื่อครั้งนี้ตัวเองได้พบกับโรมินา (Eva Mendes)
แฟนเก่าที่เคยร้างห่างกันมานาน
ซึ่งการพบกันครั้งนี้ได้นำพาไปสู่ความลับที่ฝ่ายหญิงปิดเอาไว้นั้นคือลูกวัยเบเบาะที่ถือกำเนิดจากลุคและโรมินา
หลังจากที่ลุคได้รู้เรื่องเข้าทำให้เขาอยากแสดงความเป็นพ่อด้วยการเข้าไปเลี้ยงดูในฐานะพ่อตัวจริง
และจะถ้าเป็นไปได้จะขออยู่กับลูกตลอดเวลาเท่าที่มีโอกาสแม้ว่าฝ่ายโรมินาจะมีคู่ของเธอแล้วก็ตาม
ทว่าโอกาสนั้นดูจะน่าเศร้าเกินไปเมื่อความลับที่ปิดไว้แล้วไม่ได้บอกนั้นส่งผลร้ายแรงต่ออนาคตที่เกิดขึ้น
เมื่อลุคเริ่มอยากเลี้ยงดูลูกของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆจนอยากซื้อของมาให้ชนิดไม่สนใจว่าตัวเองจะมีรายได้แค่ไหน
ซึ่งเงินที่เดิมมีย่อมไม่พอจะให้ความสุขแก่โรมินากับลูกได้
ดังนั้นเขาจึงคิดใช้ความสามารถที่เป็นอยู่ในการหนีตำรวจจากการปล้นธนาคารที่ได้ความร่วมมือกับแจ็ค
(Craig Van Hook)
เพื่อนผู้มีประสบการณ์การปล้นมากกว่าเขา
น่าเสียดายที่ลุคกับแจ็คมีข้อแตกต่างที่ไม่เหมือนกันเนื่องจากลุคเริ่มเสพติดการปล้นมากขึ้นเรื่อยๆเพราะความสุขจากการใช้เงินให้กับคนที่รัก
และนั้นก็ยิ่งทำให้ลุคมีชะตากรรมที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังในท้ายที่สุด
สำหรับในส่วนของพาร์ทแรกถือเป็นการเปิดเรื่องที่น่าสนใจอย่างมาก คิดว่าทั้งนี้คงหนีไม่พ้นตัวนักแสดง Ryan Gosling
ที่มักจะได้บทบาทที่ไม่ธรรมดาและเจ้าตัวเองยังเล่นได้ไม่ธรรมดาอีกด้วย
นี่จึงเป็นเครื่องหมายการันตีที่ดึงดูดสายตาผู้ชมได้ไม่ยาก
ที่สำคัญยังเป็นการจับมืออีกครั้งกับผู้กำกับ Derek Cianfrance แต่เชื่อไหมว่าเนื้อเรื่องในพาร์ทแรกนี้ได้แนวคิดมาจาก Ryan Gosling เมื่อครั้งตอนยังทำงานด้วยกันครั้งแรกใน Blue Valentine (2010) โดย Derek Cianfrance ได้เข้าไปถามว่าอยากทำอะไรในชีวิตนี้แต่ยังไม่ได้ทำ
คำตอบที่ได้คือการปล้นธนาคาร
ไม่ใช่แค่บอกว่าจะปล้นเงินเฉยๆแต่ยังบอกรายละเอียดวิธีการปล้นที่ต้องใช้มอเตอร์ไซค์ในการหลบหนี
และนั้นจึงกลายเป็นเนื้อเรื่องในส่วนนี้ที่ตัวละครเอกใช้มอเตอร์ไซค์ในการปล้นและหลบหนีอย่างว่องไว
กระนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกอีกเมื่อไปถามเจ้าตัวไอเดียนี้ว่าจะมาเล่นบทนี้ไหม
ผลคือไม่ปฏิเสธอยู่แล้วซ้ำยังรู้สึกดีใจที่ได้ทำจริงๆอย่างที่คิดแม้จะเป็นแค่โลกหนังก็เถอะ
เนื้อเรื่องในพาร์ทแรกได้วางเอาไว้ให้เข้าใจได้ไม่ยาก
แต่จะยิ่งลึกลงไปในด้านความรู้สึกทางอารมณ์ที่สุดท้ายส่งผลกระทบกับจิตใจคนที่เกรงกลัวความผิดแต่ก็คิดเลือกจะทำผิด
เริ่มที่ลุคอันเป็นตัวละครที่ค่อนข้างมีมิติตายตัวทว่ากลับดูลึกกว่าที่คาด
เริ่มจากภายนอกตามร่างกายที่สักเอาไว้ตามตัวหลายจุดแสดงถึงความเถื่อนแล้วอย่างหนึ่งแต่ตัวเจ้าหาใช่ลักษณะแบบนั้นไม่
เนื่องจากลุคเป็นคนนิ่งรักสงบและยังเห็นความสำคัญในความรักกับเมียและลูกชนิดเป็นห่วงเป็นใยไม่ขาดสาย
ทว่าคำว่าห่วงก็คือหวงได้เช่นกัน
เพราะลุคพึ่งมารู้ความจริงในภายหลังแต่การมารู้ความจริงก็ไม่อาจช่วยให้เขามาเป็นพ่อได้อย่างสมบูรณ์แบบเมื่อโรมินามีคู่อยู่ร่วมชีวิตของเธอเองแล้ว
ดังนั้นพฤติกรรมระหว่างลุคกับโรมินาจึงเหมือนการเล่นชู้ที่ติดตรงว่าไม่อาจบอกได้เต็มปากว่านั้นคือชู้
แต่ต้องเรียกว่าเป็นการดูแลห่างๆที่ใกล้ชิดด้วยการกระทำด้วยไมตรี
ที่น่าสนใจคือตัวลุคส่อแววถึงสภาพที่ขัดกับสายตาเมื่อทั้งตัวมีแต่รอยสัก
สูบบุหรี่ หรือกระทั่งการใส่เสื้อกลับแถบที่ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร
หลายสิ่งหลายอย่างแสดงถึงความขัดตากับพฤติกรรมที่แสดงตัวตนว่าเป็นพ่อที่ดีและพร้อมจะรับผิดชอบ
และเพราะความรับผิดชอบที่อยากจะเลี้ยงดูแลลูกกับกลับมาหาคนรักนั้นเกินขอบเขตที่ลุคก้าวก่าย
ทำให้เขาไม่ใช่บุคคลที่เพื่อนบ้านจะยอมรับนักแม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าฉันคือพ่อของเขานะ
ฉันมีสิทธิ์จะอุ้มจะเลี้ยงดูเช่นกัน
กระนั้นอาจเป็นเรื่องที่ดีที่พ่อผู้ให้กำเนิดอยากจะเข้าหาลูกตัวเองแต่มันล้ำเส้นเกินไปมาก
และยิ่งล้ำมากขึ้นก็เปลี่ยนจากห่วงเป็นหวงในที่สุด
เท่านั้นยังไม่หมดเมื่อาการห่วงใยของเขายังไม่เป็นอันพอเพราะคิดว่ายังมีส่วนช่วยเพิ่มเติมเต็มได้อีก
แล้วนั้นเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะปล้นธนาคารทั้งที่ตัวเองบอกว่าเป็นเรื่องบ้าอยู่ก่อนแล้ว
แจ็คเป็นคนที่บังเอิญเจอลุคในขณะฝึกขับมอไซค์ในป่าด้วยความเร็วที่ว่าพลาดคือเละ
นับแต่นั้นว่าทั้งคู่ได้รู้จักกันมากขึ้นโดยลุคเป็นลูจ้างทำงานให้แจ็ค
จนวันหนึ่งแจ็คได้ลองพูดกับลุคแบบตรงๆว่าสนใจเรื่องปล้นธนาคารไหมเพราะเขาเคยทำมาก่อนและคิดว่าลุคน่าจะทำประโยชน์ได้มากจากทักษะการซิ่งมอไซค์
แต่ตอนนั้นลุคปฏิเธเพราะมันเป็นเรื่องที่บ้าและท้าทายเกินตัว
กระนั้นความคิดที่เคยบอกเอาไว้ในตอนนั้นได้เปลี่ยนมุมมองในวันนี้ไปเมื่อลุคมีความต้องการอยากได้เงินมาใช้ให้ลูกกับเมียอย่างมีความสุข
สุดท้ายเขาเลือกจะปล้นโดยลืมคำพูดที่ตัวเองเคยบอกเอาไว้ซะสนิทใจเพียงเพื่ออยากทำให้ลูกกับเมียได้ใช้ชีวิตอย่างสบาย
ไม่ต้องลำบากเรื่องค่าใช้จ่ายอีกต่อไป
สำหรับครั้งแรกเขายังคงกล้าๆกลัวๆตามประสาโจรมือใหม่ที่ยังฝืนความถูกต้องอยู่บ้าง
แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นดูจะคุ้มค่ากับตัวเขาอย่างมากที่ได้ซื้อของได้เที่ยวแบบไม่ต้องกลัวว่าจะทำไม่ได้
เพราะตอนนี้มีเงินทุกอย่างเลยพร้อมอะไรๆก็ได้ตามใจที่ต้องการมากขึ้น
กระนั้นอะไรอีกเมื่อความสุขที่ได้มันยังไม่มากพอที่ลุคจะมอบให้เรื่อยๆ
ดังนั้นครั้งแรกที่น่าจะจบกลับไม่สิ้นสุดแทน
ลุคเริ่มปล้นเงินบ่อยมากขึ้นจนกลายเป็นโจรที่ไร้สามัญสำนึก
ตอนนี้เขาห่างจากคำว่าพอดีไปแล้ว
ขนาดแจ็คที่เป็นคนเริ่มยังเข้าใจในความพอดีนี้ดีเลยว่ามันควรจะหยุดที่ตรงไหนและเขาพยายามที่จะห้ามลุคด้วยวิธีเด็ดขาด
สุดท้ายไม่สามารถหยุดลุคได้อีกต่อไปเพราะเขาหลงตัวเองมากเกินไป
เอเวอรี่ ครอส (Bradley Cooper) นายตำรวจที่บังเอิญนั่งรถดูลาดตระเวรอยู่ดีๆก็ต้องไล่ตามจับโจรรายหนึ่ง
ซึ่งมีเพียงเขาคนเดียวในตอนนี้ที่ยังไล่โจรคนนี้ได้
และผลลัพธ์ในครั้งนี้ได้ส่งเสริมให้เขาถูกยกย่องนับหน้าถือตาว่าเป็นฮีโร่
ทว่าเรื่องราวของคำว่าฮีโร่ยังมีอะไรมากมายที่แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่อาจบอกได้ว่ามันเหมาะสมแล้วใช่ไหมที่ตัวเองทำอยู่
แล้วความเป็นฮีโร่ที่หลายคนพร้อมมอบเหรียญกล้าหาญนั้นมีความหมายเพื่ออะไรถ้าไม่ใช่เพราะหน้าตาของกรมตำรวจ
เพราะอะไรน่ะเหรอ
เพราะตำรวจที่ดีได้ถูกให้กลายเป็นผู้ไร้บทบาทไปในท้ายที่สุด
แรกๆทุกคนล้วนต่างมาเพื่อจับผู้ร้ายบ้าง ดูแลประชาชนบ้าง รักษาความสงบบ้าง
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจำต้องซื่อสัตย์เสมอไปทุกครั้งต่อหน้าประชาชนเพราะตำรวจคือผู้ถือครองกฎหมาย
ดังนั้นเมื่อไรที่พวกเขาปฏิบัติงานผลตอบแทนที่ได้คือเรื่องลับๆที่ไม่รู้ว่าต้องถูกหรือผิด
แต่เมื่อมีตำรวจดีทั้งแท่งทำหน้าที่ของตัวเองอย่างซื่อบริสุทธิ์เท่ากับต้องโยกย้ายให้มีหน้าที่ต่ำลงไปเพื่อไม่ให้มาขัดขวางการทำงานของตำรวจเลว
ก็ดูเอาล่ะกันว่าทำไมเอเวอรี่ที่ได้คำชมว่ากล้าหาญกลับต้องถูกบั่นทอนการงานมานั่งโต๊ะดูแลของกลางอันแสนน่าเบื่อ
นั่นเพราะเขายังซื่อบริสุทธิ์อยู่
และไหนจะความสับสนที่ตัวเองยังค้างคาที่ว่าตัวเองได้ทำถูกต้องหรือไม่อีก
เนื่องจากเขารู้สึกแย่ที่มารู้ที่หลังว่าโจรคนนี้ก็มีลูกอายุเท่าลูกเขาเช่นกัน
มันจึงเสมือนตราบาปที่ทั้งรู้สึกผิดและน่าละอาย
แต่เหมือนสังคมรอบข้างจะไม่ได้เป็นไปตามที่เขารู้สึกเลยสักนิดเดียว
โดยเฉพาะเพื่อนตำรวจด้วยกันเองที่ฉวยโอกาสกอบกำไรบนความทุกข์ของผู้อื่น
สำหรับพาร์ทนี้คือการแสดงถึงตัวสังคมโดยเฉพาะเหล่าตำรวจที่มองว่าคือผู้ผดุงความยุติธรรม
แต่เบื้องหลังกลับมืดบอดและไร้คุณธรรม
ก็ไม่รู้ทำไมแต่คิดว่าเนื้อหาทำนองนี้ดูจะไม่สดใหม่ซะแล้วกับทางตำรวจดี-ตำรวจเลวที่มีให้กัดจิกเห็นทั่วไป
ทว่าสิ่งที่นำเสนอนั้นดูแตกต่างออกไปเพราะมีการแตกหน่อเจตจำนงที่ชัดเจนและบทสรุปอย่างมีเหตุมีผล
มีแม้กระทั่งการผันความกลัวให้เป็นความกล้าแล้วนำมาเพื่อการฉวยโอกาสให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นและการงานดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
เดิมเอเวอรี่มีการเรียนที่สูงซึ่งพร้อมจะทำงานเป็นอัยการได้ดีกว่าเป็นตำรวจจับผู้ร้าย
ทว่าการที่เขาเลือกอยากเป็นตำรวจเพราะอยากทำ อยากทำให้สังคมสงบสุข
แล้วนั้นก็เป็นความคิดของผู้ยังด้อยประสบการณ์
แต่เมื่อได้เผชิญกับประสบการณ์ที่ใหม่และแตกต่างจึงเป็นบทเรียนสอนให้เขาต้องรู้จักทำบางอย่างเพื่อต่อรอง
ฉะนั้นเดิมทีผู้ชมมองว่าเอเวอรี่เป็นตำรวจที่ดีทั้งตัวและจิตใจต้องเปลี่ยนไปด้วยความที่ใช้เล่ห์ต่อรองเพื่ออนาคตของตัวเองในท้ายที่สุด
ถ้าถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นคงต้องมองที่สังคมที่บีบให้เขาต้องทำเช่นนั้นเช่นกัน
แม้ทางเนื้อเรื่องจะไม่ได้สดใหม่อะไรนักกระนั้นกลับรู้สึกว่ามีรายละเอียดเชื่อมโยงแรงจูงใจได้ดี
มีการแสดงถึงการเอาตัวรอดจากกลุ่มตำรวจเลวที่คล้ายจะคิดบัญชีเขาเพราะไปทำให้เรื่องเริ่มแตก
ซึ่งอันที่จริงเอเวอรี่กำลังอยู่ในช่วงที่กระอักกระอ่วนจากสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ก่อนแล้ว
พอมาเจอเรื่องผิดๆนี่อีกก็ยิ่งไปสร้างความกังวลใจมากขึ้น
นับว่าทั้งพาร์ทมีเพียงเอเวอรี่ที่เป็นตัวละครหลักทั้งเรื่องในขณะที่บรรดาตัวละครอื่นๆดูจะมาฉับไวไปหน่อยจนไม่ค่อยเข้าถึงตัวละครนั้นได้ดีนัก
แต่ถ้าว่ากันโดยหลวมๆแบบไม่มีอะไรมากก็ว่ากันตามน้ำได้ดี
และเป็นอีกครั้งกับการโชว์สปิริตของนักแสดง Bradley Cooper แบบเกือบโชว์เดี่ยวไม่ต่างกับพาร์ทแรกแบบ Ryan Gosling
เพียงแค่ว่าเป็นตำรวจไม่ใช่โจร
การแสดงทำได้ดีแลดูมีความตึงเครียดตลอดเวลาโดยเฉพาะตอนที่ขับรถตามหลังเพื่อนตำรวจไปในป่าที่แสดงถึงความวิตกได้สมอารมณ์บทบาท
ส่วนนักแสดงอื่นๆยังคงแสดงได้ดีแม้บทบาทจะดูไม่มากนักก็ตามแต่การแสดงแววตาเอยการพูดเอยก็ทำให้รู้เบื้องลึกของลักษณะตัวละครนั้นได้ดี
สำหรับในพาร์ทนี้มีเนื้อหาน่าสนใจดีหลายส่วนทั้งอะไรถูกผิด
อะไรมาตัดสินว่าตำรวจคือผู้ที่ถูกอย่างงั้นรึ
ซึ่งจะเป็นอะไรก็แล้วมันก็ขึ้นกับสังคมล้วนๆว่าจะส่งผลอะไรมาบ้าง
ที่สำคัญอะไรจะเกิดขึ้นนั้นผลลัพธ์ได้เพาะบ่มในส่วนพาร์ทีที่สามเมื่อสิ่งที่เกิดไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป
พาร์ทแรกกับพาร์ทที่สองต่างมีจุดมุ่งหมายให้เนื้อเรื่องดำเนินตามติดๆกันโดยไม่ได้มีจุดประเด็นว่าจะเชื่อมโยงกันได้ทุกระเบียบเพียงขอแค่รักษาตัวละครเอาไว้ให้ยังคงเป็นที่น่าจดจำเพื่อไตรพาร์ทสุดท้ายที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเอเจ
(Emory Cohen) ลูกเอเวอรี่และเจสัน (Dane DeHaan) ลูกของลุค
ซึ่งทั้งสองต่างเป็นเพื่อนกันเพราะมีความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับโรงเรียนที่แสนน่าเบื่อ
โดยเริ่มเรื่องมาที่ตัวเอเจกับความเหงาและเบื่อจากชีวิตกับสังคมที่ไร้บทบาทชวนแห้งแล้งในการดำเนินชีวิต
เพียงเพราะพ่อไม่ค่อยใส่ใจดูแลหรือให้ความสนใจใดๆเลย
ดังนั้นชีวิตเด็กน้อยที่อยู่ใกล้อัยการจึงกลายเป็นว่าดูห่างไกลจากความถูกต้อง
ทั้งการแต่งกายไม่ต่างจากพวกกุ้ยข้างถนนหรือแม้กระทั่งมีเรื่องผิดกฎหมายกับสารเสพติดจนอดแปลกไม่ได้ว่าทำไมลูกหลานผู้รักษากฎหมายจึงกลายเป็นปรปักษ์กับกฎหมายซะเอง
นั่นแหละคำถาม
ฉะนั้นคำตอบคงหนีไม่พ้นเพราะผู้ปกครองมุ่งแต่ทำงานจนลืมเวลาที่จะแบ่งให้ครอบครัวจนสมาชิกที่ยังไม่รับรู้ประสบการณ์นานเกินครึ่งชีวิตต้องรู้สึกเสมือนเกิดมาเพื่อโดนทิ้งแล้วอยู่อย่างเบื่อๆไร้ความน่าดึงดูดในชีวิต
แล้วการพบเจสันทำให้เขารู้สึกว่ายังได้เพื่อนมาคนหนึ่ง
และหลังจากนั้นเอเจรู้สึกสนุกกับชีวิตไม่ต่างกับช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ
เมื่อหมดธุระตัวนำเรื่องจนพบกับเจสันแล้วก็กลายเป็นตัวเจสันนี่แหละคือตัวละครหลักของพาร์ทนี้ที่แท้จริง
แม้เอเจจะลดบทบาทตัวเองลงจากช่วงแรกๆแต่ถึงงั้นยังคงแฝงอิทธิพลมากับเนื้อเรื่องที่ทิ้งปมประเด็นเอาไว้ควบคู่กับเจสัน
อย่างเรื่องความหลังเรื่องพ่อของตัวเองที่แท้จริงเป็นคนยังไง เป็นแบบไหน
และเพราะอะไรถึงลงเอยเช่นนั้น
หลายสิ่งหลายอย่างผูกกันเป็นลูกโซ่ที่คอยการตรึงอย่างเข้มงวด
และเมื่อเวลานั้นมาถึงไฟแค้นจะกำเริบอย่างไร้การควบคุม
จะว่าแล้วในส่วนปมประเด็นที่สามนั้นมีท่าทีว่าจะหลากหลายรูปแบบทั้งทางอารมณ์
ทางความคิด การต่อยอด
และช่วงวัยที่แตกต่างของผู้ใหญ่กับเด็กที่ทำงานกับเล่น
แต่จะอะไรนั้นคงไม่พ้นเรื่องจริงที่เจสันกำลังรับรู้ว่าเอเวอรี่หรือพ่อของเอเจเคยทำอะไรกับพ่อตัวเองไว้บ้าง
นับเป็นช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจว่าตัวเองควรใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลดีหรือปล่อยไปตามกรรมถ้าจะเหมาะกว่า
สุดท้ายไม่ขอกล่าวอะไรมากกับพาร์ทสามเพื่ออยากให้ลองหาสัมผัสเอาว่าจะรู้สึกเช่นไรบ้างแต่ที่แน่นอนว่าไม่มีใครไม่เคยผิดและไม่มีใครคิดอยากเป็นผู้ร้ายเพราะอยากเป็นเลย
การดำเนินเรื่องของ The Place Beyond the Pines ไปแบบเรื่อยๆไม่รีบร้อนแต่อย่างใด
เนื่องจากตัวหนังใช้เวลาที่ยาวนานไปกับการเก็บรายละเอียดรวมทั้งให้ตัวละครมีความผูกพันกับผู้ชมให้มากยิ่งขึ้น
ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าทำไมหนังถึงยาวกินเวลาเกิน 2 ชั่วโมงได้ทั้งที่ไม่น่าจะยาวนานขนาดนั้น
และถึงหนังจะยาวนานกับการดำเนินเรื่องแบบเอื่อยๆชวนมีหลับบ้างแต่ถ้าตั้งใจดูตลอดทั้งเรื่องจะพบหลายสิ่งหลายอย่างที่หนักแน่น
มีเสน่ห์น่าจับตา และบรรยากาศของความเหงาตั้งแต่พาร์ทแรกจนบทสรุปของเรื่อง
อาจจะรู้สึกว่าช้าและขาดอารมณ์ตื่นตัวแต่อย่างน้อยความน่าดูพอตัวใช้ได้ทีเดียว
ยิ่งฉากปล้นธนาคารทำได้สมจริงชวนกดดัน
มีความตื่นตัวตลอดเวลาไม่ต่างกับการปล้นธนาคารที่ต้องไวอย่างมีสติ
คงมีเสียไปบ้างกับเรื่องนักแสดงที่ปล่อย Ryan Gosling มาโดดเด่นไปหน่อยจนแย่งซีนใครต่อใครกลายเป็นที่น่าจดจำมากกว่าตัวละครอื่นๆ
หรือจะตอนจบที่มีนิ่งไปบ้างแต่ไม่ลืมว่านี่เป็นหนังที่ถ่ายทอดความเหงาได้ตั้งแต่เริ่มจนจบนั่นแหละ