Unleashed (2005) คนหมาเดือด

Unleashed (2005) | คนหมาเดือด
Director: Louis Leterrier
Genres: Action | Crime | Drama | Thriller
Grade: B

เห็นท่าทางแบบนี้อย่าคิดว่าต้องออกมาสไตล์บู๊แอ็คชั่นหมัดมวยซะเมื่อไรเมื่อตลอดทั้งเรื่องคือการดำเนินเรื่องให้กับฉากชีวิตประมาณ 70% ในขณะที่เหลืออีก 30% หรือต่ำกว่านั้นคือความมันส์จากฉากต่อสู้ ดังนั้นใครอยากได้อะไรอย่างที่ Jet Li เคยทำในหนังของเขาก็บอกได้เลยว่าถ้าหวังเอามันส์รับรองว่ามีหลับกันบ้างแน่ๆ เว้นแต่อยากเห็นการแสดงที่มีมากกว่าคิวบู๊เตะต่อยที่เห็นเป็นประจำหรือจะบอกว่าเรื่องนี้มีดราม่าคงไม่ผิด และที่สำคัญบทของหนังเรื่องนี้ยังถูกเขียนมาเพื่อ Jet Li โดยเฉพาะ ฉะนั้นแล้วเราจะไม่ได้เห็นใบหน้านิ่งบ้างยิ้มหน่อยอีกต่อไปอย่างหนังเรื่องอื่นๆ เพราะครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งการพิสูน์ฝีมือให้กับนักแสดงสายแอ็คชั่นให้ประจักษ์ว่าตัวเองก็มีทักษะเล่นอย่างอื่นได้ดีไม่แพ้กัน


Danny the Dog เป็นอีกชื่อหนึ่งของหนังเรื่องนี้ที่ใช้ศัพท์อย่างตรงตัวกับเนื้อเรื่องของแดนนี่ (Jet Li) ที่กลายเป็นขี้ข้าที่ถูกเลี้ยงใช้ไม่ต่างกับสุนัขที่เชื่อฟังเจ้าของ ทั้งยังซื่อตรงต่อคำสั่งโดยไม่ตะหงิดใจว่าตัวเองทำไปเพื่ออะไรกันแน่ในชีวิตนี้ ซึ่งการเลี้ยงดูให้เชื่อฟังพร้อมทั้งอบรมสั่งสอนให้เก่งในวิชาต่อสู้นั้นก็เพื่อใช้ประโยชน์ในการตามเก็บลูกค้าที่ยืมเงินเวลาขัดขืนตลอดจนเอาไว้ใช้ป้องกันตัวเองเสมือนเอาไว้เป็นโล่ป้องกันตัวเอง แล้วคนที่สั่งสอนให้รู้จักคำว่าโลกที่มีเพียงแต่ในกรงขังคือบาร์ท (Bob Hoskins) ที่นำแดนนี่มาเลี้ยงตั้งแต่เล็กจนเติบโตเป็นผู้เป็นคนได้และใช้ชีวิตหางานทำได้ในโลกภายนอก ทว่าด้วยการเลี้ยงแบบปิดกั้นอิสระไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเองในโลกภายนอกจึงกลายเป็นคนที่จมปลักกับสิ่งเดิมๆจนมีความรู้ความเข้าใจเท่ากับเด็กน้อยไร้ซึ่งประสบการณ์คิดเองไม่ค่อยได้เพราะถูกสั่งให้ทำเพียงอย่างเดียว และวิธีควบคุมแดนนี่คือปลอกคอธรรมดาๆอันหนึ่งที่ยามใดที่บาร์ทปลดออกจากคอเมื่อไหร่เท่ากับว่าแดนนี่จะเข้าสู่โหมดต่อสู้ที่ไม่ต่างกับสุนัขที่ยังต้องเชื่อนายต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะปลดตะขอให้จึงจะมีความดุร้าย และบาร์ทได้ใช้ชีวิตของแดนนี่เช่นนั้นเรื่อยมาจนวันหนึ่งได้ไปสะดุดตาใครบางคนก่อนจะยื่นข้อเสนอให้กับบาร์ทที่มีค่าตอบแทนอย่างงามโดยการขอให้แดนนี่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ใต้ดิน


แม้ว่าบาร์ทจะทำให้แดนนี่เชื่อเขาจนไม่ต่างกับสุนัขรับใช้ที่แสนซื่อสัตย์ก็จริง ทว่าแดนนี่เองยังมีความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ถูกเกี่ยวกับสิ่งที่ค้างคาใจมาโดยตลอดอย่างเรื่องฝันร้ายที่แม่ตัวเองตายอย่างไม่เข้าใจว่าทำไม แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาโหยหามากที่สุดคือเปียโนที่อยากได้อยากสัมผัสราวกับเคยมีมาก่อนซึ่งนี่เป็นปมในใจอย่างหนึ่งตลอดมา จนกระทั่งมาเจอชายแก่ตาบอดคนหนึ่งชื่อว่าแซม (Morgan Freeman) มาเล่นเปียโนให้ฟังพร้อมกับให้แดนนี่ได้ลองสัมผัสกับเปียโนอย่างใกล้ชิด และนับแต่นั้นมาแดนนี่ก็เริ่มเห็นอะไรบางอย่างกับชีวิตที่ไม่น่าจะจมปลักกับที่เดิมที่ใจไม่ต้องการอีกต่อไป ดังนั้นแดนนี่จึงตัดสินคิดหนีจากบาร์ทไปแสวงหาตามที่ใจต้องการแต่ทว่าเกิดโดนคู่อริดักเล่นงานทั้งเขาและบาร์ท แต่แดนนี่ได้สติหนีไปก่อนจนได้พบกับแซมอีกครั้งในสภาพบาดเจ็บและได้รับการช่วยเหลือกลายเป็นบุคคลภายในบ้านหลังเดียวกันที่อาศัยอยู่ร่วมกัน เรียนรู้ด้วยกัน ตลอดจนการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่เดิมเป็นอยู่ของแดนนี่ให้กลายเป็นคนใหม่ซึ่งท้ายที่สุดก็กลายเป็นคนในครอบครัว กระนั้นเรื่องราวกลับไม่ได้ลงเอยกันที่สวยหรูในตอนจบเมื่อบาร์ทที่ถูกอริเล่นงานกลับยังไม่ตายและตามตัวแดนนี่จนพบพร้อมกับใช้วิธีข่มขู่แดนนี่อีกครั้ง แต่ด้วยประสบการณ์การเรียนรู้ที่ได้มาจนใช้ชีวิตเป็นผู้เป็นคนทำให้เขารู้จักโลกมากขึ้นและเริ่มไขปริศนากับตัวเองในอดีตว่ามีปมหลังยังไงกันแน่ และเพื่อพิสูจน์สิ่งนั้นเขาต้องเผชิญหน้าอุปสรรคกับบาร์ทให้ได้เสียก่อนซึ่งปริศนาชิ้นใหญ่ไม่ได้ซ่อนอยู่ไกลตัวเลยสักนิดเดียว


ก็อย่างที่บอกว่านี่ไม่ใช่หนังแอ็คชั่นหวังเอาสนุกกันอย่างเดียวซะเมื่อไรถ้าตลอดทั้งเรื่องคือการเล่าเรื่องให้มีน้ำหนักโดยเฉพาะตัวละครแดนนี่ที่เล่นโดย Jet Li ที่ไม่บ่อยนักจะเห็นแสดงศักยภาพการแสดงทางอื่นมากกว่าโชว์ลีลาเพลงหมัดเพลงเตะ ทว่าก็ไม่ได้แปลว่าเจ้าตัวจะแสดงได้ดีจนเราอินไปตลอดรอดฝั่งเพราะการดำเนินเรื่องเปลี่ยนไปอย่างเบาๆ ไม่หนักหรือแน่นจนกดอารมณ์ผู้ชมจนต้องรู้สึกไปกับอารมณ์นั้นได้อย่างเต็มที่ ในจังหวะที่เศร้าไม่ได้แปลว่าจะน่าร้องไห้ ในช่วงที่สับสนไม่ได้แปลว่าจะทำให้เวิ้งว้าง ทุกจังหวะของหนังที่พยายามแสดงทางด้านอื่นไม่ได้น่าหลงใหลเกินเลยไปกว่าฉากแอ็คชั่นที่มีน้อยแต่ได้มากและมากในไคลแม็กซ์จนมันส์ถึงใจกับการรอคอยว่าเมื่อไหร่จะได้บู๊คล้ายคอยวันขึ้นปีใหม่ที่ยิ่งรอคอยก็ยิ่งนานแต่ถึงเวลาทันใดก็รู้สึกว่าคุ้มค่าที่ได้รอคอย อันที่จริงการแสดงไม่ใช่ประเด็นปัญหาอะไรเท่ากับการที่ตัวหนังยังใช้การเร้าอารมณ์ได้ไม่สุดเหวี่ยงตามที่คาดเอาไว้แค่หยิบพื้นฐานการเล่าเรื่องที่ต้องเล่าทางนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์เท่านั้น จะว่าแล้วเราอาจจะชอบเรื่องนี้ที่ดูมีมิติมากกว่าแอ็คชั่นต่อยตีธรรมดาๆอย่างหนังทั่วไป แต่กับบางคนคงไม่เป็นที่ถูกใจนักที่อยากเอามันส์เข้าว่าจนในส่วนที่ควรจะเข้าใจกลายเป็นทอดทิ้งจนหนังมีมิติแค่ตัวละครที่ถูกฝึกเยี่ยงสุนัขรับใช้ที่เผอิญหนีไปโลกแห่งความจริงแล้วกลับตัวเป็นคนใหม่

จะว่าแล้วการดำเนินเรื่องผิวเผินดูจะไม่มีอะไรมากมายเพราะช่วงแรกของหนังดูว่ากันตรงตัวก่อนจะเริ่มเผยหางของปมประเด็นบางอย่างไปเรื่อยๆอย่างทะนุถนอม เช่น แดนนี่ทำไมถึงมาอยู่กับบาร์ทได้ ทำไมเปียโนถึงมีเสน่ห์ต่อแดนนี่มากนัก แล้วความจริงเกี่ยวกับฝันร้ายคืออะไร ทุกอย่างล้วนมีจุดที่เชื่อมกันได้อย่างลงตัวกับการเล่าเรื่องอย่างเป็นขั้นเป็นตอนไม่ทำให้ผู้ชมงงหรือตามไม่ทัน ซึ่งการเรียบเรียงเนื้อหาด้วยข้อสรุปต่างนั้นมีข้อคิดที่น่าสนใจอยู่หลายอย่างโดยอย่างยิ่งเกี่ยวกับทางด้านดนตรีที่เรื่องนี้ได้ใช้เปียโนเป็นตัวสื่อกลางระหว่างแดนนี่กับอีกตัวตนของเขา เนื่องจากตัวหนังกำลังอธิบายเกี่ยวกับอารมณ์รุนแรงที่ใช้ดนตรีในการบำบัด อันที่จริงไม่เชิงบำบัดแต่เป็นการหาหนทางที่สงบมากกว่า เพราะอะไรนั้นดูเอาจากแดนนี่ที่หลังจากได้ไปอยู่กับแซมและเรียนรู้อะไรหลายอย่างมากขึ้นจนใช้ชีวิตตามแบบคนปกติได้โดยไม่ต้องพึ่งใครก็ทำให้เข้าใจเลยว่าความรุนแรงไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องและไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องทำ สำหรับดนตรีแล้วก็เช่นกันเพราะเสียงไม่เคยทำร้ายใครมีแต่จะบรรเทาความทุกข์ได้เพียงแค่ใช้ใจในการบรรเลงแล้วรับรู้ฟังอย่างตั้งใจ


สำหรับตัวละครแซมอาจไม่มีอะไรนอกจากมาเติมเต็มแดนนี่ทว่ายังมีส่วนที่น่าสงสารในหลายๆมุมมองโดยเฉพาะการเป็นคนตาบอดที่ใช้ชีวิตในโลกของความมืดด้วยแสงสว่าง ที่บอกว่าด้วยแสงสว่างนั้นมาจากการที่เป็นคนมองโลกในแง่ดีและตระหนักในชีวิตความเป็นจริงตรงที่ต้องรู้จักปรับตัวเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ซึ่งแซมทำได้แทบทุกอย่างไม่ต่างกับคนสายตาดีตั้งแต่ซื้อของ ทำอาหาร และเล่นเปียโน ถามคือแซมทำได้ยังไงในเมื่อไม่เห็นในสิ่งที่อยู่ข้างหน้าแต่รู้ว่าสิ่งนั้นควรจะเป็นอะไรได้บ้าง คำตอบคือใช้ใจในการสื่อสัมผัสสิ่งนั้น และใจที่ว่าเป็นการเปิดรับให้กว้างอย่างการใช้หูฟังเสียงว่าผลไม้ชิ้นนี้สุกหรือดิบเกินไป การใช้ลิ้นกับจมูกพิสูจน์รสชาติกับกลิ่นว่าอาหารอร่อยพอเหมาะหรือยัง ขอแค่เปิดใจให้กว้างรับในส่วนที่ด้อยให้เกิดเป็นแรงผลักดันก็ทำได้อย่างไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนจนเกินไป

ถ้าจะว่ากันตามตรงแล้วไม่มีใครจะแสดงได้โดดเด่นเท่า Jet Li ที่ในเรื่องมีภาวะที่สับสนและหลากหลายอารมณ์ซึ่งไม่ต้องบอกว่านี่เป็นเพราะอะไร ในขณะที่นักแสดงทางอื่นยังคงเล่นได้สมบทบาททั้ง Morgan Freeman ในบทคนตาบอดที่น่าสนใจแม้ว่าบทบาทจะเริ่มแผ่วลงไปเรื่อยๆในช่วงท้ายก็ตาม Kerry Condon ในบทวิคตอเรียเป็นลูกสาวของแซมที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับหนังไม่ให้แดนนี่ที่กำลังปรับตัวดูเครียดและจริงจังจนเกินไป มีการแสดงที่ดีเข้ากับคาแรกเตอร์ตัวละครแต่บางครั้งก็เริ่มโผล่ออกมามากเกินไปจนน่าเบื่อ


บางทียังเผลอคิดอยู่เลยว่าตัวละครวิคเตอเรียจำเป็นต้องมีอยู่ในเรื่องหรือเปล่าเพราะคนที่สอนแดนนี่ให้รู้จักสังคมคือแซมมากกว่า พอมาคิดอีกทีก็ยังเป็นตัวละครสำคัญที่คล้ายกำลังจะให้แสดงถึงความในใจบางอย่างที่มีต่อแดนนี่ในช่วงเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆหรือจะบอกว่าวิคเตอเรียเริ่มมีความสัมพันธ์ลึกเกินเลยว่าคนรู้จักหรือเพื่อนนั่นเอง ซึ่งความผูกพันในจุดนี้ตัวหนังค่อยๆบอกผ่านสายตาอย่างชัดเจนจนชักคิดสงสัยแล้วว่าจะเป็นยังไงต่อไปถ้าตัวหนังเริ่มมีการใช้ความรักเข้ามาผสมในเรื่องด้วย ทว่าประเด็นนี้มีแค่ผ่านๆและผ่านไปเลยราวกับไม่เคยมีจนจบเรื่อง หรือเป็นเพราะมันยังไม่ถึงเวลาที่จะใส่บทรักหวานๆก็เป็นได้ เนื่องจากตลอดทั้งเรื่องไม่ต้องการจะบอกว่าใครควรเป็นยังไงแต่ต้องเป็นแดนนี่เท่านั้นที่เป็นตัวละครหลัก สรุปคือการเล่าเรื่องยังมีเผลอหลุดนิดๆแต่ท้ายที่สุดยังกลับมาเข้าเรื่องเข้าราวได้อย่างเหมาะเจาะ และอีกคนที่เด่นซะเหลือเกินในเรื่องที่อึดพอๆกับดายฮาร์ดคือ Bob Hoskins ที่ว่าอึดไม่ใช่อะไรหรอกแต่ในความเป็นจริงน่าจะเป็นตัวละครที่ตายตั้งแต่ยังไม่ถึงกลางเรื่องด้วยซ้ำเพราะโดนเยอะน่ะสิแถมยังตามจองล้างจองผลาญแดนนี่ไม่เลิกอีกด้วย เอาเป็นว่านักแสดงทุกคนทำได้ดีโดยเฉพาะ Jet Li ที่แสดงได้มากกว่าที่เคยแม้จะไม่เด็ดขาดเท่าไหร่ถึงงั้นอย่างน้อยก็ดีพอตัวเลยเชียว

Unleashed นับว่าเป็นหนังที่ถึงคราวแอ็คชั่นก็ทำได้มันส์ดุเดือดกันเหลือเกินชนิดที่ว่ามันส์เป็นมันส์ พอถึงจุดพักก็เข้าโหมดดราม่าผสมปรัชญาจนเดี๋ยวซาบซึ้งเดี๋ยวชวนหลับเพราะขาดแรงดึงดูดไปหน่อย ทว่าถ้าลองจับเค้าเนื้อหามาพินิจอย่างตั้งใจจะรู้ทันทีว่าตัวหนังได้ให้ข้อคิดอะไรในหลายๆเรื่องอย่างมีสาระและพร้อมกับไขปมประเด็นเกี่ยวกับปมหลังด้วยว่าความจริงมันเป็นยังไงกันแน่ นับว่าเป็นอีกเรื่องที่ดูสนุกดูเพลินแต่อย่าคาดหวังกับฉากแอ็คชั่นที่มีน้อยไม่ค่อยมีนักเว้นแต่อยากได้ฉากแอ็คชั่นที่เน้นๆโชว์ประสิทธิภาพที่มีน้อยแต่ต่อยหนักก็เรื่องนี้แหละที่แนะนำได้

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)