Daylight (1996)
เดย์ไลท์ ผ่านรกใต้โลก
Director: Rob L. Cohen
Genres: Action | Adventure | Drama | Thriller
Grade: B-
แอ็คชั่นยังไม่พอต้องเพิ่มเติมด้วยแนวภัยพิบัติที่ได้ Sylvester Stallone มารับบทเป็นคิท ลาทูร่า อดีตหัวหน้าหน่วยกู้ภัยที่ตอนนี้ได้กลายเป็นคนขับแท็กซี่โชคบังเอิญไปพบปะเหตุการณ์วินาศสันตะโรขึ้นจากเหตุอุโมงค์ลอดแม่น้ำแห่งเมืองนิวยอร์คถล่มเนื่องจากมีการระเบิดครั้งรุนแรงจนปิดทางเข้าออกไม่สามารถออกไปได้ ที่นี่จึงกลายเป็นเรื่องของคนที่รอดชีวิตจากเหตุระเบิดแล้วว่าจะออกไปได้ยังไงในเมื่อถูกปิดตายเสียแล้ว แล้วปัญหาได้เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆทุกทีเมื่ออากาศเริ่มหมดลง น้ำเริ่มทะลัก ดังนั้นความหวังเดียวคือคอยหน่วยกู้ภัยที่จะเข้ามาช่วยเหลือแล้วพาออกไป ทว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิดเมื่อหนทางที่จะไปอุโมงค์ได้นั้นล้วนแต่เป็นจุดเสี่ยงที่เมื่อไรพยายามจะเข้าไปอุโมงค์จะถล่มไม่เหลือซากและความเสียหายจะมากขึ้นเป็นทวีคูณ สุดท้ายแล้วการกู้ชีพจึงเป็นปัญหาที่แก้ไม่ลงแต่คิทได้เสนอตัวเข้าช่วยแม้จะหาทางสำเร็จได้ยากก็ตาม แล้วดูเหมือนเขาจะมีทางที่ดีกว่าในการกู้เศษซากแล้วเข้าไปนั้นคือการผ่านเข้าไปในช่องระบายที่ต้องฝ่าใบพัดที่ถูกหยุดซึ่งเป็นการหยุดเพียงชั่วคราวเท่านั้นจึงไม่สามารถกลับทางเก่าได้ ทำให้คิทต้องแข่งกับเวลาไปหาผู้รอดชีวิตที่เหลือซ้ำต้องหาทางออกใหม่ให้ได้โดยเร็วก่อนที่ออกซิเจนจะหมด แต่ที่เลวร้ายก่อนอากาศจะหมดคือน้ำกำลังท่วมทะลักฝังพวกเขาทั้งเป็น
Daylight ถือเป็นหนังที่สนุกอีกเรื่องนึงในการใช้ลูกเล่นผสมผสานระหว่างสไตล์แอ็คชั่นกับแนวแก้สถานการณ์ความเป็นความตายที่อาจจะเว่อร์ไปหน่อยเพราะตัวหนังใช้สูตรสำเร็จเดิมโดยง่าย นั่นคือจะต้องมีผู้รอดชีวิตโดยต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งต้องไม่รอดครบทุกคนอย่างที่รู้ว่าเหลือใครบ้างในช่วงแรก เนื่องจากแต่ละคนต้องเสียสละไปบ้าง แพ้ภัยตัวเองบ้าง ตลอดจนโดนภัยพิบัติเล่นงานไม่ต่างกับสงครามที่กว่าจะรอดพ้นขึ้นฝั่งต้องมีการสูญเสียไปเรื่อยๆตามระยะทาง และเพราะแบบนั้นเองตัวเอกของเรายังคงเป็นผู้รอดชีวิตเช่นเคย จะว่าแปลกดีที่เนื้อเรื่องออกจากเกินกำลังเกินตัวไปหน่อยที่จะตัดสินใจให้คนๆเดียวไปช่วยเหลือคนในอุโมงค์ตั้งหลายคนทั้งที่ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยหายหัวไปไหนหมดไม่ยอมเสี่ยงไปกู้ชีพบ้าง ดังนั้นแล้วไม่ต้องสงสัยเลยว่าในสถานการณ์ที่ใครทำไม่ได้แต่เขาคนนั้นทำคือพระเอก และพระเอกย่อมเก่งฝ่าอุปสรรคไปได้ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดตลอดทั้งเรื่องแบบไม่ต้องกังวลว่าจะหักมุมมาตายตอนจบเพราะเก่งเว่อร์ตั้งแต่เริ่มคิดไปช่วยคนเดียวแล้ว
เหมือนว่าสิ่งที่ทำให้เราเห็นว่าตัวละครคิทมีความจริงจังหน้าอมทุกข์ว่าต้องช่วยเหลือผู้ประสบภัยคนอื่นๆให้ได้คือปมในอดีตที่เป็นสาเหตุให้เขาไม่เป็นที่น่าไว้วางใจกับคนอื่นๆโดยเฉพาะเหล่ากู้ชีพคนอื่นที่ไม่ค่อยมั่นใจในฝีมือคิท เนื่องจากเมื่อครั้งอดีตเคยทำงานพลาดจนนั่นเองที่ทำให้เขารู้สึกไม่มีความสุขมากนัก ในขณะที่ใครต่อใครยังไม่อยากเชื่อใจเขาเลยว่าจะทำให้รอดจากสถานการณ์เลวร้ายหนนี้ไปได้จากความผิดพลาดจนต้องมีคนตายมากกว่ารอด ด้วยเหตุนี้คิทจึงมีตราบาปในตัวที่ปิดกั้นตัวเองไปกับแสงสียามราตรีเป็นโชเฟอร์ขับแท็กซี่ ทว่าเหมือนพระเจ้าจะต้องการให้เขาได้กลับมาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งหนึ่งซึ่งเขาไม่เลือกจะเบือนหน้าหนีแต่เลือกเข้าไปหาเพื่อไม่ใช่กู้หน้าตัวเองแต่ทำเป็นเรื่องของจรรณยาบรรณของหน่วยกู้ชีพที่เห็นความสำคัญของชีวิตคนสำคัญ จะว่าแล้วตัวหนังมีอะไรหลายอย่างที่ให้ข้อคิดในหลายแง่หลายมุมโดยเฉพาะเรื่องของความประมาทที่ก่อนหน้าคิทจะเข้าไปช่วยเหลือได้นั้นมีตัวละครที่พยายามหาทางออกด้วยตัวเองเพราะคิดว่าตัวเองทำได้ ซึ่งมองๆดูแล้วสิ่งสำคัญในสถานการณ์เลวร้ายคือการตั้งสติกับความไม่ประมาท แม้ว่าตัวเองจะบอกว่าไม่ได้ประมาทมองพิจารณาดูดีแล้วแต่ถามไหมว่าตัวเองมีประบการณ์ทางนี้มากน้อยแค่ไหน เจ้าตัวประสบการณ์นี้แหละทำให้เรามีความคิดไตร่ตรองที่รอบคอบ
ลุง Sylvester Stallone ยังคงรักษามาตรฐานการแสดงของตัวเองได้อย่างดีให้ความรู้สึกว่าใช้สมองมากกว่าใช้กำลังอย่างที่หนังแอ็คชั่นควรจะเป็นหรือออกแนวเว่อร์ ซึ่งกับเรื่องนี้ไม่ได้ออกมาเว่อร์มากมายอะไรเพียงแค่ออกจะไปไกลกว่าที่คาดคิดโดยเฉพาะเรื่องสถานที่ที่สามารถทะลุไปยังแห่งที่ต่างๆได้จนคิดอยู่ไม่น้อยว่ามันค่อนข้างแปลกไปน้อยเหมือนกับสำรวจโลกใต้ดิน แม้จะรู้สึกแปลกและมีความเว่อร์ผสมเพื่อเรียกอรรถรสความสนุกแก่ผู้ชมแต่ก็เห็นแล้วการใช้สมองนับเป็นช่วงที่ตัวหนังทำได้ดี อย่างเช่นฉากเจอทางตันแล้วน้ำทะลักเข้ามาแล้วเหลือบมองไปเห็นหนูจำนวนมากไปในทางเดียวกัน ทายสิว่ามันเป็นสัญญาณบอกอะไรถ้าคนยังอยากรอดแล้วสิ่งมีชีวิตเช่นหนูทำไมจะไม่อยากรอดบ้าง จึงเป็นข้อสังเกตง่ายๆที่สามารถทำได้จริงเพียงขอแค่มีทักษะสังเกตก็จะเจอทางออกโดยง่าย แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือกำลังใจที่ต้องส่งถึงกันตลอดไม่ให้รู้สึกนึกท้อบอกไม่ไหวแล้วโดยตัวหนังได้มีจุดนี้ที่เบาบางไปนิดนึงเพื่อแข่งกับเวลาจนไม่ค่อยมีอารมณ์มาดราม่าสักเท่าไหร่เว้นกับบางฉากที่น่าสะเทือนใจอย่างเช่นฉากดำน้ำเพื่อไปโผล่อีกที่หนึ่ง ในที่นี้ไม่มีใครที่มีปัญหาในการว่ายน้ำหรือดำน้ำเพียงปัญหาอยู่ที่สัตว์เลี้ยงที่ต่อให้ว่ายน้ำเป็นมาตั้งแต่เกิดยังไงก็ยังดำน้ำไม่เป็นไม่รู้จักกลั้นหายใจเพราะเป็นสัญชาตญาณ ดังนั้นฉากนี้จึงเสมือนการบอกหนทางรอดที่เราต้องรู้จักเลือกว่าควรทำยังไงต่อไปและพร้อมจะยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งคิดเอาไว้แล้วหรือสิ่งที่ไม่ทันคาดคิดเอาไว้ด้วย
การดำเนินเรื่องค่อนข้างไปทางเฉยๆสำหรับใครที่ชินกับแนวนี้ที่ไม่ค่อยมีอะไรให้หักมุมอะไรนอกจากการร่วมลุ้นไปกับกลุ่มผู้รอดชีวิตว่าจะสามารถฝ่าเหตุร้ายต่างๆไปได้ยังไงบ้าง ในจำนวนนี้มีนักแสดงค่อนข้างหลายคนที่ต่างแสดงอารมณ์ได้อย่างดีตั้งแต่สิ้นหวัง ตื่นกลัว ไม่ไว้ใจ ตลอดจนการมุ่งหน้าไปกับความหวัง กับพวกเอฟเฟคต่างทำได้ดีจริงๆสมจริงสมจังค่อนข้างมากเหมือนจำลองเหตุการณ์จริงได้อย่างตื่นเต้นแถมแสดงถึงปฏิกริยาลูกโซ่ของความวินาศกรรมได้อย่างต่อเนื่องอย่างมีเหตุมีผลจนเชื่อถือได้ในภัยพิบัติชุดนี้ ซ้ำยังเก็บรายละเอียดได้อย่างทั่วถึงตั้งแต่รอยแตกรอยร้าว จังหวะการไหลของน้ำ การยุบของพื้น คือง่ายๆเลยว่าเล่นกับพื้นที่จำกัดได้อย่างรอบคอบและดีมากๆ จะมาเสียตอนที่ออกจากอุโมงค์ที่เริ่มไม่ค่อยมีความน่าตื่นเต้นเท่าไหร่เพราะไม่มีอะไรให้หวั่นไหวมากนักเว้นแต่ว่าเรากำลังไปที่ไหนมากกว่าและเมื่อไรจะเจอทางออกเสียทีจึงเป็นการให้อารมณ์ประหนึ่งว่ารอดตายจากอีกที่หนึ่งเพื่อยืดเวลาให้ยาวเท่านั้นเพราะยังมีทางเดินข้างหน้าที่ต้องไปต่ออีกที่ไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร จัดว่าเป็นห้วงเวลาทดสอบกำลังใจที่ไม่ย่อท้อดีๆนี่เอง
ลืมบอกไปเลยนะเนี้ยว่า Daylight มีเบื้องลึกเบื้องหลังที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Sylvester Stallone อยู่ไม่น้อยตรงที่เจ้าตัวอยากมาเล่นหนังเรื่องนี้จนยอมจ่ายเงินไปประมาณ 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อมาเล่นเรื่องนี้ ซึ่งผู้กับกำได้คิดเอาไว้แต่เนิ่นๆว่าจะเอา Nicolas Cage มาเล่นอยู่แล้วเนื่องจากดูคร่าวๆแล้วน่าจะใส่อารมณ์ได้ดีกว่าและสมจริงกว่าให้เหมาะกับการนำเสนอทางด้านการแสดงมากกว่าทำให้ตัวหนังออกมาเชิงพาณิชย์ ส่วนเหตุผลที่แม้จริงที่อยากมาเล่นเรื่องนี้ได้นั้นเนื่องจากมีเหตุผลส่วนตัวที่อยากเอาชนะให้ได้ซึ่งมีเพียงเขาที่ทำได้เท่านั้นคือการเอาชนะในที่แคบ ดังนั้นนี้จึงไม่ใช่การแสดงที่เป็นมากกว่าการแสดงทั่วไปสำหรับเจ้าตัวนี่คงเป็นการแข่งกับตัวเองว่าจะทำใจกล้าสู้ได้มากน้อยแค่ไหนและผ่านพ้นไปได้ยังไงเช่นกับหนังเรื่องนี้