Demolition Man (1993) ตำรวจมหาประลัย 2032

Demolition Man (1993)
ตำรวจมหาประลัย 2032
Director: Marco Brambilla
Genres: Action | Sci-Fi | Thriller

เป็นการจับคู่ อ่อ! ไม่สิต้องเรียกว่าคู่อริมากกว่าระหว่าง Sylvester Stallone กับ Wesley Snipes ที่ต้องมาห่ำหั่นกันตั้งแต่ช่วงเวลาปกติไปจนถึงช่วงเวลาอนาคตกันเลยทีเดียว ซึ่งตัวหนังจะค่อนไปทางไซไฟมากกว่าจะเป็นแอ็คชั่นบู๊มันส์ระเบิดระเบ้อซึ่งอันนี้แล้วแต่อารมณ์คนชอบว่าจะคิดยังไง แต่บอกไว้เลยว่าหนังมันส์จริงๆนะเนี้ยไม่ได้โม้ จะว่าแล้วมาถึงเปิดเรื่องก็แอ็คชั่นบู๊ระห่ำกันอย่างเมามันส์ทั้งปืนทั้งระเบิดจนเรียกว่าแค่เริ่มเรื่องก็หลั่งอะดรีนาลีนเต็มเปี่ยมแล้ว


ซึ่งเรื่องได้ดำเนินโดยบอกเป็นนัยๆตั้งแต่เริ่มว่าจอห์น สปาร์ตัน (Sylvester Stallone) นายตำรวจสุดแสนบ้าระห่ำมีศตรูตัวฉกาจที่ต้องจัดการให้ได้คือไซม่อน ฟีนิกซ์ (Wesley Snipes) จอมวายร้ายตัวเอ้ที่เขาต้องจับมาลงทัณฑ์ให้จงได้ แต่แล้วเกิดผิดพลาดพลั้งให้กับแผนการของเจ้าไซม่อนที่ต่อให้จับตัวมาได้แต่จอห์นเองต้องรับโทษไปด้วยกัน นั่นคือโทษการเข้าคุกไครโอเจนิกหรือคุกแช่แข็งที่ให้นักโทษอยู่ในสภาวะจำศีลทุกอย่างล้วนหยุดนิ่งในอุณหภูมิ 0 องศา และทั่งคู่ต่างถูกแช่แข็งเช่นนั้นเป็นเวลานานจนกระทั่งปี 2032 วันรับทัณฑ์ประหารของไซม่อนก็มาถึง ทว่ามีคนวางแผนให้ปล่อยไซม่อนออกมาจากคุกจนสร้างความวุ่นวายไปทั่วหย่อมหญ้าจนไม่มีใครไปต่อกรกับเขาได้ ดังนั้นจอห์นจึงเป็นหนทางเดียวที่จะหยุดเขาได้ทำให้ต้องปลดจอห์นออกจากคุกที่ถูกแช่แข็งออกมาสู่โลกภายนอกโดยมีเงื่อนไขเพียงหนึ่งเดียวคือจัดการไซม่อนให้ได้ แต่คงไม่ง่ายขนาดนั้นเพื่อเรื่องนี้มีเบื้องหลังแอบซ่อนอยู่อีกขั้นหนึ่ง

ต้องบอกว่าเป็นหนังแอ็คชั่นอีกเรื่องของลุง Sylvester Stallone ที่ไม่มันส์ก็ไม่รู้จะว่าอะไรแล้วล่ะเพราะนอกจากความสนุกทางแอ็คชั่นแล้วยังมีการวางเหตุผลของโลกอนาคตชนิดที่ว่าสามารถไปทางสายไซไฟก็ยังได้เลยเพราะตัวหนังมีการอธิบายหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงทั้งเมือง ข้าวของ การใช้ชีวิตสังคม รวมถึงการแก้ปัญหาสังคมที่แก้ไม่ได้ก็ยังแก้ได้อย่างสันติวิธีอย่างเรื่องสงคราม ความรุนแรง ปัญหาเรื่องเกี่ยวกับโรคที่มาทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งจัดว่ามีเรื่องให้น่าคิดหลายอย่างมิใช่น้อย อย่างเรื่องความรุนแรงที่แสดงถึงความแตกต่างชัดเจนเลยว่ากับช่วงในอดีตกับอนาคตแตกต่างกันยังไงบ้าง เช่น การจัดการกับระเบียบสังคมที่ปราศจากความรุนแรงแทบทุกประการโดยจะมีแต่เครื่องตรวจจับที่จะทำหน้าที่หักเครดิตพร้อมใบเสร็จว่าโดนหักอะไรยังไง รวมถึงการใช้คำพูดที่ไม่สุภาพก็ยังโดนหักเครดิตด้วยเช่นกัน ทำให้กลายเป็นสภาพสังคมที่ดูมีระเบียบเรียบร้อยเต็มไปหมดเพราะไม่อยากโดนหักเครดิตที่ต้องไปเสียค่าปรับในภายหลัง แต่ถึงแบบนั้นยังมีความรุนแรงอยู่บ้างในหมู่ตำรวจเพียงแค่เอาไว้ขู่เฉยๆถือกระบองให้ดูน่าเกรงขามแค่นั้น จะว่าจุดนี้ก็ดูเว่อร์ไปหน่อยเนื่องจากเป็นสังคมที่ดูไร้สีสันเกินไปขนาดการมีเพศสัมพันธ์ยังไม่สามารถมีได้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาโรคที่มาจากการติดเชื้อผ่านทางการสัมผัส แต่ก็ไม่วายความเป็นโลกอนาคตใช้ที่ทำให้บรรเลงความนึกคิดต่อกันได้เพียงแค่สวมเครื่องที่หัวแล้วให้จินตนาการพาไป จะว่าก็ดีเหกมือนกันกับสังคมที่ไร้ปัญหาเช่นนี้แต่กระนั้นมันดูน่าหงุดหงิดไปหน่อยที่ทำอะไรอิสระไม่ค่อยได้เลย


จะว่าความอิสระนี่แหละที่เป็นปัญหาที่ตัวหนังได้เทน้ำหนักเพิ่มเข้ามาว่ามีกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับกฎเช่นนี้ที่ทำให้ชีวิตพวกเขาเหมือนถูกควบคุมมากเกินไป ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีความเห็นที่แตกต่างย่อมอยูร่วมไม่ได้จึงต้องมาอาศัยทางใต้ดินใต้พื้นอยู่กับเป็นกลุ่มชนบทขนาดใหญ่ที่ต่างใช้ชีวิตกันอย่างลำบาก เนื่องจากไม่มีทรัพยากรเช่นกับคนที่อยู่บนพื้นที่ดีพร้อมในหลายๆอย่าง นับว่าเป็นประเด็นที่เข้าทางได้ดีกับกฎระเบียบห้ามโน้นห้ามนี้ที่ทำได้ก็ทำไปเพียงต้องแลกมาซึ่งความอิสระในหลายอย่าง กระนั้นกับรู้สึกว่าประเด็นนี้ยังทำออกมาได้ไม่ค่อยจะกระจ่างตีไม่แตกเท่าไหร่ในตอนท้ายเรื่องที่เลือกจะแก้ปัญหาเอาง่ายๆว่าตามพระเอกผู้ร้ายที่จบอย่างแฮปปี้โดยไม่ค่อยมีเรื่งให้น่าเก็บมาขบคิดมากนัก อย่างน้อยหนังก็จบได้แบบไม่ค้างคาว่าจะเกิดอะไรต่อไปเพราะทุกอย่างก็เป็นเช่นปกติที่เราๆก็รู้กันอยู่ว่าสภาพสังคมเป็นเช่นไรเพราะมันก้เป็นของมันเช่นทุกคนตามวิถีสังคม

Demolition Man จัดว่าเป็นแอ็คชั่นที่สนุกจริงเวลามีฉากแอ็คชั่นมาบู๊ๆให้มันส์กันอย่างสนุกสนาน ทว่ามีความน่าเบื่อมากไปหน่อยกับความยาว 2 ชั่วโมงที่กินการอธบายบอกนั่นบอกนี่เกี่ยวกับโลกอนาคตเสมือนพาทัวร์จนในส่วนของแอ็คชั่นไม่ค่อยเติมความจุงใจอย่างที่ควรจะได้ ถึงแบบนั้นเวลามีฉากแอ็คชั่นมาแต่ล่ะครั้งถือว่าไม่เป็นที่ผิดหวังเลยสักนิดเพราะความมันส์ทำได้ถึงใจตลอดเวลา น่าเสียดายที่ส่วนของแอ็คชั่นดันมีน้อยไปหน่อยจนมีแอบง่วงๆอยู่หลายฉาก


ถ้ามองโดยรวมไม่ถือว่าผิดหวังเพราะน้อยครั้งที่หนังแอ็คชั่นมักจะมีอะไรให้น่าคิด จึงถือว่าเป็นหนังแอ็คชั่นลูกไซไฟที่ออกมาเข้าท่าดีเพียงแค่ขาดความพอดีกับการเรียบเรียงให้ออกมาน่าตื่นตามากกว่าจะมาฟังตัวละครพูดกัน ที่สำคัญเกือบลืมไปเลยว่าตัวหนังไม่ได้ปล่อยให้คนดูอยู่ในอารมณ์อยากจะมันส์ก็มันส์อยากจะเครียดก็เครียดเนื่องจากยังมีการเพิ่มมุขตลกเข้ามาเป็นระยะๆที่พอจะเพิ่มความสนุกได้เรื่อยๆไม่หยุด ดังนั้นตัวหนังจึงไม่ดูน่าเบื่อจนเกินไปเพราะมีลูกเล่นแทรกเข้ามาเป็นระยะๆ ที่สำคัญสุดเห็นจะเป็นการวางคาแรกเตอร์ของ Sylvester Stallone กับ Wesley Snipes ที่อยากจะบอกว่าโคตรชอบมากที่อีกคนเป็นพวกบ้าระห่ำใช้กำลังมาก่อนเจรจากับอีกตัวร้ายมาดกวนโอ๊ยที่ไม่ใช่แค่ร้ายแต่ยังรวมถึงความฉลาดที่มาคนเดียวยังวินาศสันตะโรไปได้ทั่วทั้งเมือง กับทั้งสองท่านเนี่ยเล่นได้เข้ากันถึงใจจริงๆโดยเฉพาะในฉากพิพิธภัณฑ์ดูมันส์ดีมิใช่น้อย

ที่ขาดไม่ได้คือตัวละครที่เป็นเสมือนตัวกลางทำหน้าที่เชื่อมในหลายๆเรื่องกับเลนิน่า ฮักซ์เลย์ ที่เล่นโดย Sandra Bullock เป็นตำรวจนางสาวสวยที่มีความคิดแตกต่างจากคนทุกคนในสถานีที่ไม่อยากให้เกิดปัญหาแล้วต้องไปแก้ ซึ้งเธออยากให้เกิดเรื่องขึ้นเนื่องจากเบื่อกับชีวิตที่ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย จึงเป็นตัวละครที่แตกต่างไม่พอแต่ยังมีความเป็นเด็กที่อยากลองทำที่ทำไม่ได้อย่างการซัดผู้ร้าย ดังนั้นถ้าไม่มีเลนิน่าจอห์นคงไม่มีทางถูกปลุกขึ้นมาแน่นอน


แล้วเชื่อไหมว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง Sandra Bullock เคยโชว์ท่าเตะนอกกองถ่ายจน Sylvester Stallone ยังถามว่าไปฝึกมาจากไหน เจ้าตัวจึงตอบเอาง่ายๆว่า"ไปหัดมาจากหนังของเฉินหลง" ในหนังจึงมีการกล่าวถึงเฉินหลงไปเลย ถือเป็นมุขขำๆที่ฮาดี แล้วในเรื่องยังเป็นคนที่น่ารักตามประสาผู้หญิงม้าดีดกระโหลกอีกด้วยนะ จะว่าแล้วตอนแรกได้วางบทให้เฮียเฉินหลงเป็นตัวร้ายด้วยนะเออแต่ปฏิเสธไปเพราะไม่งั้นเดี๋ยวคนฝั่งเอเชียจะไม่ชอบเพราะเล่นเป็นพระเอกเหมาะกว่า นอกจากนี้ยังเสนอ Steven Seagal กับ Jean-Claude Van Damme ในบทตัวร้ายมาแล้วทั้งคู่แต่ยังคงปฏิเสธไปเช่นกัน ถ้าให้พูดถึง Wesley Snipes เหมาะกับตัวร้ายกว่าคนอื่นๆเยอะทีเดียวที่แสดงได้บ้าเอาโล่

แต่ที่ฮาจริงไม่ใช่มุขที่ใช้กันในหนังหรอกแต่ต้องเป็นเรื่องความอ่อนของตำรวจในเรื่องนี้ที่มาเป็นสิบแต่ไม่ระคายผิวเจ้าไซม่อนได้สักคนแถมแต่ละคนถูกจัดการกันแบบอ่อนปวกเปียก ซึ่งมันเกินไปมากที่จะไม่รู้จักใช้กำลังแม้แต่ต่อยสักหมัดเลย ตัวร้ายก็เลยเก่งแบบสุดๆเพราะมีตำรวจก็เหมือนไม่มีแล้วถึงมีก็ตาขาวทำอะไรไม่เป็นอีก ยังไม่หมดนะถ้าจะกล่าวถึงคนในสังคมที่แต่ละคนแต่งตัวได้ปกปิดมากจนเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงขาดสีสันเพราะสิ่งที่เรียกว่าแฟชั่นไม่มีให้เรารู้สึกสวยงามดูมีเสน่ห์อะไรเลย


ขอฮ่วนๆก็แล้วกันว่าใครอยากดูหนังแอ็คชั่นผสมไซไฟ Demolition Man ถือว่าไม่ควรพลาดที่จะลองลิ้มรส เพราะตัวหนังค่อนข้างสนุกได้ใจในระดับพึงพอใจกันเลยทีเดียว จะเสียที่ตัวหนังยาวไปหน่อยจนมีอืดๆทำเอาง่วงได้เป็นประปราย เอาเป็นว่าอยากได้อะไรมันส์มีเหตุผลรองรับกับบทที่ไม่อ่อนไม่เว่อร์เกินไปเรื่องนี้น่าจะพอตอบโจทย์ได้ดีล่ะนะ

แล้วนี่จะเป็นเกร็ดความรู้เล็กน้อยที่ตัวหนังไม่ยอมบอกเกี่ยวกับฝาเปลือกหอย 3 อันว่าเอาไว้ใช้ทำอะไร ซึ่ง Sylvester Stallone ได้ระบุไว้ในการสัมภาษณ์ว่าจะมีอยู่สองอันใช้ทำหน้าที่เหมือนตะเกียบส่วนอีกอันทำหน้าที่ขูดของเสียที่เหลือออกให้หมด คำถามคือมันสะอาดตรงไหนถ้าทำกันจริงๆล่ะ ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าจะบอกอีกว่าไม่มีคำอธิบายที่ถูกสร้างขึ้นเกี่ยวกับวิธีการนี้ที่จะต้องทำความสะอาดหรือสุขอนามัยระหว่างการใช้ สรุปยังเป็นอะไรที่ลึกลับอีกน่ะแหละหรือมันคือมุขอีกล่ะ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)