Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004) | ลบเธอ...ให้ไม่ลืม | A+
Director: Michel Gondry
Genres: Drama | Romance | Sci-Fi
"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"
ไม่จำเป็นทุกครั้งหรอกที่ความรักจะลงเอยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบและแน่นอนมันไม่มีทางเป็นไปได้ถ้าจะรักกันอย่างไม่มีข้อขัดแย้งใดๆ มีทะเลาะบ้าง เถียงบ้าง แต่ยังไงซะถ้ารักกันอยู่ก็คงรักต่อไปเรื่อยๆนั่นแหละ ที่ใดมีรักที่นั่นย่อมมีทุกข์มันคือความสัตย์จริงที่ไม่มีข้อโต้แย้งเว้นแต่เราจะรู้จักความรักมากกว่าที่เป็นอยู่ บางครั้งการเราเริ่มรู้สึกเบื่อ ชิงชัง หรือเซ็งกับอีกคนไม่ได้แปลว่าหมดรักหรือเริ่มคิดว่าไม่ใช่คู่ของเรา อันที่จริงความรักมันค่อนข้างจะเรียบง่ายและคงประสิธิภาพตามเจตนารมย์ของเราเสมอ มันไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรเลยเพียงแค่เปิดใจยอมรับมันซะบ้างเพื่อจะได้อะไรหลายๆสิ่งกลับมา แต่เรื่องของเรื่องคือมีคนที่รู้สึกเจ็บกับความรักภายในใจอย่างแสนสาหัสไม่ต่างกับถูกทิ่มแทงจากข้างหลังแล้วปล่อยให้ทนพิษบาดแผลต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้นนั้นคือฝ่ายที่มั่นใจในความรักที่ยั่งยืนแล้วคิดว่าจะผ่านไปด้วยกันอย่างมีความสุข ในที่นี้คือโจเอล (Jim Carrey) ที่รักและศรัทธาในความรักที่มีต่อคลีเมนไทน์ (Kate Winslet) อย่างสุดซึ้งเท่าที่เขาจะมีให้เธอได้ ซึ่งเรื่องไม่ได้ยุ่งยากหรือวกวนกับสิ่งเพียงแค่คลีเมนไทน์หมดความรักที่มีต่อโจเอลแล้วเข้าบริษัทลากูน่าเพื่อลบความทรงจำที่เกี่ยวกับเขาทั้งสิ้นจนกลายเป็นคนแปลกหน้าที่แม้แต่โจเอลยังแปลกใจ ก่อนรู้ความจริงเขาเจ็บใจที่ถูกเธอเมินเฉยราวกับคนแปลกหน้าอย่างเย็นชา สายตาที่สาดส่องเหมือนไม่คุ้นเคย และยังตัดหน้าด้วยการมีคนใหม่ประหนึ่งโดนหลอกมาตลอดเวลา แต่อะไรเล่าหลังรู้ความจริงยิ่งช้ำใจยิ่งกว่าเดิมเพราะคลีเมนไทน์อยากลบความทรงจำนั้นมาจากการที่รู้สึกทุกข์มากกว่าสุข ด้วยความจริงที่เหยียบย้ำหัวใจจนแหลกจึงทำให้เขาชิงชังยิ่งกว่าเดิมและคิดด้วยว่าถ้าคลีเมนไทน์คือผู้หญิงที่เขารักและน่าจะดีที่สุดสำหรับเธอยังทำกันแบบนี้ได้อย่างไร้เยื่อใยแล้วไฉนเขาจะทำบ้างไม่ได้ถ้ารักนี้มีแต่เจ็บ ดังนั้นโจเอลจึงเดินเข้าไปหาดร.ฮาเวิร์ด ไมเออร์ซเวียก (Tom Wilkinson) เพื่อขอช่วยให้ลบความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับคลีเมนไทน์ตลอดชีวิตที่เขาเจอตั้งแต่ครั้งแรกจนวินาทีสุดท้ายที่อยู่ด้วยกัน
พล็อตเรื่องช่วงแรกดูเป็นเรื่องที่เจ็บช้ำน้ำใจกันสุดๆขนาดจะลืมยังไม่กล่าวอำลากันสักนิดปล่อยให้อีกฝ่ายตายใจคิดเป็นเช่นทุกวันแล้วมาเจออีกครั้งในตอนที่กลายเป็นอีกคน อีกคนที่ไม่เหลือความทรงจำใดๆเกี่ยวกับเขาอีกแล้ว กลายเป็นคนแปลกหน้าที่ไร้ความทรงจำอันแสนมีความสุขต่อกัน ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องศูนย์เปล่าสำหรับโจเอลเพราะไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้ได้ การเป็นฝ่ายถูกทิ้งยังเจ็บได้มากมายแต่กลับถูกทำให้ลืมอย่างไร้ความหมายนั้นเจ็บเหลือเกิน การถูกทิ้งแบบไร้ศักดิ์ศรีทำให้โจเอลแปลกประหลาดใจเพราะสิ่งใดเหล่าที่ตัวเองทำผิดจนเธอต้องจากกันไปแบบหมดหวังเช่นนี้ ถึงเช่นนั้นเขาคงรักเธอมากเกินไปจนเก็บความรู้สึกที่มีต่อคลีเมนไทน์ไม่ได้นาน นับวันที่ปล่อยเวลาไปเหมือนถูกแทงมาที่ใจเรื่อยๆจนสุดท้ายวิธีที่ทำให้ความเจ็บหายไปคือหนทางเดียวกับที่คลีเมนไทน์ทำ นั่นคือเข้าบริษัทลากูน่าแล้วบอกไปว่าตรงๆว่าอยากจะลบความทรงจำ ความทรงจำของคนที่ผมรักเดี๋ยวนี้
ในห้วงชีวิตที่เจ็บช้ำมีตรงไหนบ้างที่ไม่เปราะบางเท่ากับจิตใจของคนๆนั้นที่ไร้ซึ่งความหวังในชีวิต ตอนที่มีของที่ตัวเองรักอยู่ด้วยเสมอคือความสุขที่ตัวเองปรารถนา เมื่อเทียบกับรักนี้เมื่อพรากจากกันก็กลายเป็นทุกข์น่าเวทนา วิธีทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้คือการลืมความทรงจำออกไปโดยไม่เก็บเอาไว้ให้เหนื่อยใจ แล้วความทรงจำเหล่านั้นไม่มีความหมายอะไรเลยกับเราเหรอถ้านึกจะเก็บเอาไว้ลึกๆไม่ส่วนใดส่วนหนึ่งของก้นบึ้งภายใต้สำนึกของเรา
ถามหน่อยในเวลาที่หลายสิ่งรุ้มเร้าจะมีอะไรมาทำให้ตัวเองเห็นใจคนอื่นได้เท่ากับตัวเอง รู้ไหมความเจ็บทำให้คนๆหนึ่งเจ็บปวดจนลืมเรื่องความสุขไปราวกับขาดสิ่งค้ำจุนจิตใจ แรกเริ่มหนังมาได้น่าฉงนใจกับโจเอลที่ตื่นขึ้นพร้อมกับบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายจะเหมือนแต่ไม่เหมือนเดิมในเช้าที่แปลกประหลาดใจ เพราะอะไรนั้นมาจากส่วนลึกของใจว่ากำลังลืมอะไรไปหรือเปล่า แล้วทำไมตัวเองถึงนึกแล้วก็นึกไม่ออกล่ะ จะมีที่ตัวเองรู้สึกได้คือความคุ้นเคยคล้ายสัมผัสมาก่อน และนั่นเองที่ทำให้โจเอลเลือกจะหยุดงานไปดื้อๆจากนั้นวิ่งอย่างรวดเร็วไปอีกฝังชานชาลาเพื่อขึ้นรถไฟไปมอนท็อค น่าแปลกที่การไปมอนท็อคจะเป็นอะไรที่คับคล้ายคับคลาแต่ไม่เหมือนจะมีอะไรที่น่าสนใจนอกจากความหนาวเหน็บแสนเดียวดาย แต่จนแล้วไปเจอหญิงผู้หนึ่งทำท่าจะทักทายเสมือนแสดงความเป็นฉันท์มิตรก่อนจะขึ้นรถไฟกลับไปด้วยกัน ซึ่งผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ใครเพราะสีผมที่โดดเด่น นิสัยแสนแปลกจากผู้หญิงอ่อนไหวทั่วไป คนนั้นคือคลีเมนไทน์
บางทีคงเป็นความเหงาหรืออะไรสักอย่างทำให้โจเอลที่นั่งอยู่ดีๆต้องมีเพื่อนร่วมนั่งอย่างคลีเมนไทน์เข้ามาพูดคุยอย่างสนิทสนม แรกก็เหมือนการพูดคุยธรรมดาๆทั่วไปตามประสาคนเดินทางแต่อะไรล่ะที่สามารถทำให้ทั้งคู่ได้ไปต่ออีกเมื่อโจเอลยินดีเสนอขับรถไปส่งคลีเมนไทน์ที่บ้านหลังจากนั้นความสัมพันธ์เริ่มสดใสมากขึ้นไปอีกในระดับที่น่าพอใจจนว่าแปลกก็แปลก เรื่องราวได้เปิดเรื่องทิ้งไว้เช่นนั้นก่อนจะกลับไปอีกฉากที่ได้เห็นโจเอลเปลี่ยนไปอีกคนด้วยท่าทีแสนเศร้าเกินบรรยาย นั้นเพราะเขาร้องไห้เสียใจที่ผิดหวังในความรักที่น่าไปด้วยดีกับคลีเมนไทน์ จึงเป็นสาเหตุที่มาของการไปลบความทรงจำเพื่อลืมความเศร้าความทุกข์ทั้งหลายแหล่ให้จบๆ แต่ก่อนจะไปเข้าสู่การลบความจำที่เราจะได้เห็นมุมมองที่ไม่เคยเห็นในแง่ต่างๆเคยรู้สึกตะหงิดใจกับนักแสดงที่นำมาจับคู่หรือเปล่า โดยเฉพาะกับคนที่แสดงในทางตลกมาเสียมาก(แถมเป็นการแสดงด้วยศักยภาพทางร่างกายในการเล่นมุข)อย่าง Jim Carrey แต่เชื่อได้เลยว่านี่เป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่เพราะได้เห็นการแสดงในแบบเป็นธรรมชาติที่ดราม่าได้สมบทบาทไม่มีหลุดการใช้มุขตลกที่ทำให้หนังเพี้ยนได้(อันที่จริงมีการเล่นมุขบ้างแต่ไม่อาจทำให้ทิศทางของหนังดูตลกฮาเพียงแค่อมยิ้มรู้สึกดี) ส่วนอีกคนคือ Kate Winslet ในแบบสาวห้าวเล็กน้อยแต่สวยมีเสน่ห์โดยอย่างยิ่งสีผมที่มีให้เห็นได้สะดุดตา ในความเป็นไปได้คงดูแปลกตาสำหรับใครที่ไม่คุ้นชินในการเลือกคู่แบบนี้ได้ว่าเหมาะสมกันได้ยังไงกัน ทว่าแล้วไงในเมื่อเอาเข้าจริงกลายเป็นคู่ที่เข้ากันได้ดีอย่างมหาศาล เหมือนกับสิ่งที่ไม่น่าเจอกันได้แต่ก็หาจนเจอในท้ายที่สุด มันไม่จำเป็นเลยว่าคนที่เรารักจะต้องสวยในสายตาคนอื่นหรือหล่อจนคนอื่นต้องกรี๊ดเพียงแค่สำหรับเราเธอคือคนที่ดีที่สุดเท่านั้นเอง
"คุณค่าของการลืมคือได้เรียนรู้ว่าความทรงจำที่เก็บเธอไว้มันสำคัญแค่ไหน"
ไม่มีเหตุผลใดจะกล่าวได้หลังจากเราตัดสินใจทำไปแล้ว เช่นเดียวกับโจเอลที่เลือกจะลืมคลีเมนไทน์เพราะเธอก็เลือกเขาไปแล้วเช่นกัน ทุกอย่างถูกตัดสินในคืนเดียวภายใต้สำนึกที่่กำลังเลือนลาง ทุกอย่างค่อยๆหายไปทีละนิดและทีละนิดเรื่อยๆจนรู้สึกเคลิ้มในสิ่งที่กำลังเกิด ระหว่างที่ลบความทรงจำไม่ต่างกับการมานั่งเช็คปฏิทินที่ต้องฉีกออกไปทีละเดือนก่อนจะทิ้งลงถังขยะไปอย่างไม่ทวงถาม แต่นี่ต่างออกไปเพราะเราจะได้เห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นแบบเป็นตัวเป็นตนของเรา ถ้าจำได้ว่าเคยเดินคุยกับใคร เราก็ยังคุยกับเขาแบบที่ตัวเองจำได้เพียงแค่รูปแบบต่างออกไป สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในหัวของเราและสามารถแปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างอิสระเหมือนผู้กำกับที่ควบสองตำแหน่งทั้งแสดงและเขียนบท แต่เรื่องจริงเราไม่ใช่ผู้กำกับแค่ทำตามหน้าที่ไล่ความทรงจำที่อยากลบด้วยการ Re-Play อีกรอบเป็นการทบทวนพิจารณาความน่าจะเป็นว่าใช่สิ่งที่ต้องลบจริงๆหรือไม่ เนื่องจากโจเอลต้องการลบคลีเมนไทน์เพียงอย่างเดียวหาใช่ทั้งหมดไม่
จึงสรุปได้สั้นๆคือความทรงจำที่มีคลีเมนไทน์ไม่ว่าจะจุดไหนของสมองจะต้องหายไปอย่างไร้ข้อปฏิเสธชนิดถาวร เปรียบดังวีดีโอม้วนเทปที่หมุนกลับไม่ได้ ซึ่งนี่คือปฏิกิริยาอย่างแรกของโจเอลที่ต้องการลบเพราะความโกรธของตัวเอง ยิ่งบางครั้งในฉากความทรงจำยิ่งทำให้เราเห็นด้วยว่ามีทัศนะคติบางอย่างระหว่างชายหญิง อย่างเช่นเรื่องการขอมีลูกของคลีเมนไทน์เพราะเห็นว่าสามารถใช้ชีวิตได้ถึงระดับนั้นได้ ขณะเดียวกันโจเอลคิดต่างออกไปด้วยความเห็นที่ยังไม่อยากมีลูก แน่นอนการปฏิเสธไม่ใช่เรื่องของงานหรือเงินแต่เป็นการตีโพยตีพายว่าฝ่ายหญิงข้างเดียวในทำนองจะเลี้ยงดูได้เหรอ ไหวไหมกับการเสียสละเวลา ซึ่งมาคิดๆดูแล้วใครกันแน่ที่ไม่พร้อมจะมีลูกกันแน่ อีกฝ่ายอยากได้ลูกแต่ถูกอีกฝ่ายมองว่ายังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอเลี้ยงไหว นี่จึงเป็นการสะท้อนสังคมอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการมีบุตรและเรื่องความรับผิดชอบไปในตัว
แรกๆของการลบความทรงจำค่อนข้างเป็นไปอย่างแน่นอน คือได้เห็นทั้งคู่ทะเลาะกัน อีกฝ่ายเริ่มเบื่อต่อสิ่งที่อีกคนพยายามทำจนเป็นเรื่องน่าหงุดหงิด บ้างหลุดปากปล่อยถ้อยคำทำร้ายจิตใจแบบไม่ทันระวัง แต่เชื่อไหมว่ายิ่งความทรงจำไหลผ่านเข้ามามากเท่าไหร่ยิ่งเห็นช่วงเวลาดีๆตามมามากขึ้นด้วยเช่นกัน คนเราจะทะเลาะกันเลิกกันไม่ใช่เรื่องแปลกถ้ายังเข้าใจซึ่งกันและกันและพร้อมหันหน้ามาปรับความเข้าใจต่อกันใหม่ ซึ่งวิธีปรับความเข้าใจมาจากการเปิดใจนั้นเอง
สำหรับโจเอลเขาได้แต่บอกกับตัวเองว่า"อย่างน้อยเก็บช่วงเวลานี้ไว้สักครั้งก็ยังดี" แล้วจะเก็บความทรงจำที่แสนดีเอาไว้ได้ยังไงถ้าเลือกลบทั้งหมด นั่นแหละโจเอลเริ่มคิดผิดในสิ่งที่ทำลงไป ในช่วงเวลาที่ร้ายๆเราอยากจะลบช่วงนั้นไปจากชีวิตเพราะเล็งเห็นในคุณค่าความทรงจำที่มีความสุข แต่เมื่อเราอยากจะลืมก็กลายเป็นว่าลืมไม่ลง มีเหตุผลอยู่ไม่กี่ข้อว่าทำไมสิ่งที่อยากจะลืมกลับลืมไม่ลงแต่เลือกจะจะฟุ้งซ่านอยู่ในหัวบ่อยๆ อย่างแรกคือสิ่งนั้นสะท้อนมาจากก้นบึ้งในจิตใจของเรา อย่างที่สองเมื่อเราคิดจะลืมมันจะเป็นการเตือนความจำก่อนลืมจึงกลายเป็นว่ากระตุ้นให้จำ และสุดท้ายคือเราเห็นคุณค่าว่าถ้าลืมไปแล้วจะหาช่วงเวลาแบบนั้นได้จากที่ไหน การอยู่กับคนรักอย่างมีความสุขเมื่อลืมหรือลบจากความทรงจำไปมันจะไร้ความหมายทันที แต่ก่อนที่ความทรงจำหายไปความเสียดายจะเข้ามาบอกทันทีให้อย่าลืมเด็ดขาด ไม่บ่อยเลยที่จะมีช่วงเวลาที่เกิดขึ้นจริงซ้ำรอยกับเหตุการณ์ที่เก็บเอาไว้ในความทรงจำ อย่างน้อยเราก็น่าจะบอกเป็นบทเรียนที่ดีก็ได้นี่
"เราอาจใช้สมองตัดสินใจในเรื่องรัก แต่เอาเข้าจริงหัวใจของเราต่างหากที่รู้ว่าอะไรคือความรัก"
ถึงแม้คลีเมนไทน์จะลืมเรื่องราวความรักระหว่างเธอกับโจเอลได้ แต่ไม่ใช่เลยที่ก้นบึ้งภายในหัวใจจะลืมเรื่องราวได้ง่ายๆ แม้ปัจจุบันจะคบหากับแพทริค (Elijah Wood) แต่ลึกๆแล้วเขาไม่ใช่ตัวจริงสำหรับเธอ เพราะว่าเขาเป็นเพียงตัวแทนที่เล่นบทซ้ำซากอย่างไร้น้ำไร้เนื้อเหมือนคัดลอกมาวางบนกระดาษโดยปราศจากการจับใจความใดๆ และเมื่อรู้ลึกไปกว่านั้นแพทริคไม่ใช่ตัวละครที่มีความรักแต่ต้องการรัก มันไม่ใช่สิ่งที่ได้จากการเรียกร้องของทั้งสองฝ่ายเพราะเป็นเรื่องของคนเดียว ที่สำคัญแพทริคคือนักฉวยโอกาสที่เข้ามาในจังหวะที่สับสน หลังจากคลีเมนไทน์ลบความทรงจำเกี่ยวกับโจเอลจนหมดแล้วแทนที่จะดำเนินชีวิตแบบคนทั่วๆไปเช่นเคยแบบคนๆเดียวแต่นี่เปล่าเลย เนื่องจากแพทริคที่ยังไม่มีรักให้กับใครได้นำสิ่งที่โจเอลลืมนำกลับมาใช้ แล้วทำไมแพทริคถึงรู้ว่าโจเอลใช้อะไรเป็นตัวกลางความสัมพันธ์ นั้นคงไม่พ้นสิ่งของต่างๆที่ก่อนลบความทรงจำต้องนำออกจากชีวิตทั้งหมด ทั้งรูปภาพ แก้วน้ำ ไดอารี่ และอีกหลายต่อหลายอย่างที่บ่งบอกเรื่องราวเก่าๆ สิ่งเหล่านี้ไม่ต่างกับเครื่องบันทึกความทรงจำฉบับพกพา ยามใดที่มองดูรูปภาพใบนั้นความจำก็เข้ามาในห้วงคำนึง ครั้งใดที่อ่านบันทึกส่วนตัวสิ่งเก่าๆที่เลือนลางจะชัดเจน แพทริคนำสิ่งนี้ที่คิดว่าถูกใจสำหรับคลีเมนไทน์มาใช้เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองคือคนที่ใช่แบบที่เคยเกิดขึ้นกับโจเอล ทว่าในความรู้สึกสำหรับคลีเมนไทน์นั้นรับรู้ถึงความไม่คุ้นเคยทั้งที่มันควรจะใช่ที่สุด ทำไมประโยคที่แสนไพเราะกลับไม่เพราะทั้งที่ตัวเองชอบ ทำไมแพทริคที่ดีนักดีหนาและใกล้ชิดแลดูเป็นคนไกล นั่นแหละมันเพราะอะไรล่ะทั้งที่สมองก็บอกตามสิ่งที่เห็นชี้ชัดแล้วว่าเขาคือคนที่เรารักและเรารักเขา แปลกที่ใจยังลังเลไม่ต่างกับกำลังทรยศตัวเองทุกครั้งที่อยู่กับคนนี้ ดังนั้นเขาคนนั้นควรเป็นใคร ใครที่ลืมไปแล้วแต่ใจยังโหยหา
อย่าว่าแต่เรื่องของคนที่ถูกลบความจำหรือกำลังถูกลบเลย เพราะผลลัพธ์อีกมุมมองหนึ่งจากคนใกล้ตัวก็ไม่แตกต่างออกไปเมื่อแมรี่ (Kirsten Dunst) เลขาบริษัทลากูน่ายังหลงรักดร.ฮาเวิร์ด แมรี่รู้สึกได้จากใจที่ชื่นชมในตัวดร.ฮาเวิร์ดไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ท่าทาง หรือถ้อยคำที่ทำให้เธอหลงรักจนในวันนี้ที่ห้ามใจไม่ได้จึงบอกไปตรงๆกับดร.ฮาเวิร์ดทั้งๆที่มีสแตน (Mark Ruffalo) ผู้ช่วยดร.ฮาเวิร์ดรักแมรี่ไม่น้อยไปกว่ากันแท้ๆ แต่รู้ไหมว่าดร.ฮาเวิร์ดนั้นมีครอบครัวแล้วมีลูกแล้วพร้อมทุกอย่างในชีวิต กระนั้นแมรี่ยังชื่นชมจนท้ายที่สุดดร.ฮาเวิร์ดต้องบอกความจริงเกี่ยวกับแมรี่ที่ผ่านการลบความทรงจำมาก่อน เชื่อไหมว่าสาเหตุที่ลบความทรงจำนั้นไม่ใช่เพราะอะไรเลยเพียงมาจากไปหลงรักดร.ฮาเวิร์ด กลายเป็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้งแบบไม่บังเอิญทำเพราะใจสั่งให้รู้สึกว่าคนนี้คือคนที่ใช่ล้วนๆ ต่อให้คบหากับสแตนแต่แล้วยังไงถ้าเขาไม่ใช่คนที่ยอมรับได้ทั้งใจ เช่นเดียวกับคลีเมนไทน์ที่ยังไม่รับแพทริคแบบเต็มใจทั้งที่เปิดอ้ารับทุกอย่าง จึงได้ว่าสิ่งที่ง่ายที่สุดคืออย่าปล่อยให้สมองคิดในเรื่องรักมากนักถ้าหัวใจยังเรียกร้อง การฟังเสียงคนอื่นให้มากอาจเป็นเรื่องที่ดีที่จะรับฟังคนใกล้ตัว แต่คนที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดไม่ใช่ใครถ้าไม่ใช่ตัวเราเอง
"ยังคงเสียใจที่เก็บความทรงจำเอาไว้ แต่จะเจ็บกว่านี้ถ้านึกเสียดายที่จะลืม"
ระหว่างที่โจเอลนอนหลับบนเตียงพร้อมเครื่องลบความทรงจำที่วางแนบบนหัวนั้นทุกอย่างล้วนทุกดำเนินงานไปอย่างปกติ ทุกอย่างกำลังถูกลบไปเรื่อยๆจนเขาเสียใจจนอยากจะโหยหาสิ่งที่ขาดไปมาเติมเต็ม ซึ่งมันทำไม่ได้เลยที่ทุกอย่างกำลังเลือนหายไปทั้งที่ความปรารถนาแรกคือต้องการลืมคลีเมนไทน์ แต่มีอยู่วิธีหนึ่งที่เขาทำได้คือการรั้งคลีเมนไทน์ให้ไปปะปนในความทรงจำที่ไม่มีเธอตั้งแต่แรก ไม่มีคลีเมนไทน์ที่กำลังถูกลบตามโปรแกรมที่ตั้งไว้ วิธีนั้นคือการดึงคลีเมนไทน์เข้าไปในช่วงเวลาต่างๆของเขาที่อยากให้เป็น เวลาที่มีความสุขและทุกข์ปนกันไป ไม่ว่าจะร้องไห้เพราะถูกเพื่อนแกล้งสมัยเด็ก เรื่องน่าแปลกที่แม่มาเห็นตัวเองกำลังแอบช่วยตัวเอง แม้กระทั่งการทำให้คลีเมนไทน์เป็นใครบางคนในความทรงจำสมัยเด็ก ทุกอย่างราบลื่นไปด้วยดีคล้ายทุกอย่างหยุดนิ่งเพียงแค่เขากับเธอ ที่แห่งนี้ไม่มีอะไรทำให้ต้องนั่งเสียดายนึกกังวลอีกต่อไป ทว่าสิ่งที่ทำเป็นเพียงการรั้งเอาไว้เพื่อช่วยต่ออายุเก็บความทรงจำเท่านั้น เพราะสุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นยังไงคงต้องเกิดต่อไป นี่ไม่ใช่การฝืนตัวเองให้สู้กับการลบคลีเมนไทน์ มันคือการอ้อมเวลาที่มีที่เหลืออยู่มาร่ำไรในตอนท้ายเผื่อว่าเรายังมีความความสุขต่อให้ไม่เหลืออะไรเลย คนเราถ้าจะไปไม่มีใครห้ามได้ว่าอย่า ไม่ใช่ที่ไปเป็นการหนีความจริงที่ตัวเองเผชิญ เพียงแค่ว่าอย่างน้อยการลืมครั้งสุดท้ายจะเป็นการลืมเพื่อการเริ่มต้นใหม่ที่ดี สิ่งที่แล้วมาคือความสุขระดับที่ยากจะบรรยายเพราะเวลานั้นเกิดขึ้นไม่ได้อีกแล้ว
"เจอกันที่มอนท็อค"
สุดท้ายโจเอลกลายเป็นคนที่ลืมคลีเมนไทน์ได้สำเร็จ แม้จะรู้สึกหลังตื่นขึ้นมากับบางสิ่งที่แปลกตาชวนฉงนใจ กระนั้นทุกอย่างปกติดีและคงเป็นวันที่ตัวเองต้องทำงานต่อไปเช่นทุกๆวัน และหลังจากนี้นั้นเองที่การดำเนินเรื่องได้เล่ามาเชื่อมตรงนี้จากฉากเปิดเรื่องที่บอกความสัมพันธ์ของโจเอลกับคลีเมนไทน์กำลังไปด้วยดีแบบรักแรกพบ จะเป็นอะไรที่ฟีลกู๊ดมากถ้าหนังจบด้วยการทำให้ทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้งแม้จะไม่หลงเหลือความทรงจำที่มีต่อกันอีกแล้วก็ตาม เพราะอะไรเหรอ เพราะเราได้เห็นรอยยิ้ม หัวเราะ พูดคุยอย่างสนิทสนม มันแปลกสำหรับคนแปลกหน้าที่พึ่งพบกันเป็นครั้งแรก แต่อย่าลืมสิว่าพวกเขาทั้งสองต่างเป็นอะไรมากกว่าคนแปลกหน้าที่พึ่งรู้จัก สมองบอกว่าเขาหรือเธอคือคนที่แปลกหน้าแต่ใจบอกว่าทั้งเขาและเธอคือคนคุ้นเคยที่เป็นมากกว่ารู้จักกันแค่คำทักทายสวัสดี ต่างคนต่างเป็นมากกว่านั้น ทว่าเกิดมีบางอย่างคั้นกลางประดุจฟ้าผ่าเข้ากลางอกเข้าอย่างจัง ซึ่งนั้นคือคำพูดก่อนลบความทรงจำที่ถูกบันทึกเทปเอาไว้ที่ถูกนำมาคืนแก่ทุกคนที่ไปรับการรักษาลบความทรงจำที่บริษัทลากูน่า คำพูดเหล่านั้นเกิดจากช่วงเวลาที่เราตัดสินเลือกจะลืมตามที่อยากขอ
เรื่องของเรื่องเริ่มที่ตัวแมรี่ที่เห็นการลบความทรงจำแล้วผลเป็นยังไง เธอเคยตัดสินลบเพื่อตัวเองที่รักดร.ฮาเวิร์ดจะได้ไม่มีปัญหาต่องานต่ออนาคตในวันข้างหน้า สุดท้ายกลายเป็นวันเวลาที่แตกต่างกับความรู้สึกเดิมที่วนเวียนไม่จางหายไปไหน รักถูกนำกลับมาแม้ต้องลืม หลักฐานที่บอกได้ชัดเจนคือคำพูดก่อนจะไม่มีอะไรให้ทวนความหลังที่ถูกส่งคืนแก่ทุกคนที่รับการรักษา แมรี่ตระหนักใจในบทเรียนครั้งนี้อย่างแจ่มแจ้งถึงการนำสิ่งที่เราเรียกว่าทุกข์จากเวลาที่ผ่านมาออกจากไปจากสมองนั้นไม่ใช่การทำให้ตัวเองหมดปัญหาเรื่องทุกข์ได้ ที่ทำอยู่นี่จะเป็นการหลบหนีปัญหาเสียมากกว่าจะนำความทุกข์ที่ได้เป็นบทเรียนชิ้นสำคัญเพื่อพัฒนาตัวเองต่อไป และยากถ้าเราไม่มีความทุกข์ในชีวิตเพื่อเข้าใจว่าอะไรคือความสุขที่แท้จริง ความรักมีสิ่งที่ถูกต้องเพียงอย่างเดียว และสิ่งนั้นไม่สำคัญน้อยไปกว่าความรู้สึกนึกคิดใดๆของเราเลย เพราะว่ามันคือรัก เมื่อแมรี่ส่งของคืนแก่ทุกคน คนแรกที่ได้สิ่งนั้นคือคลีเมนไทน์ที่หยิบเทปมาเปิดในรถของโจเอลด้วยความสงสัยว่าเจ้าเทปนี้คือสิ่งใด และแล้วเสียงที่ชวนคุ้นหูได้ดังขึ้นมาซึ่งเทปนั้นไม่ใช่ของใครถ้าไม่ใช่คลีเมนไทน์ แต่ละประโยคที่เผยออกมาต่างล้วนเป็นถ้อยคำที่ฟังไม่เข้าหู ทุกอย่างล้วนเป็นคำจากอารมณ์สุดแสนน่าชัง แต่ละประโยคบอกถึงโจเอลดุจคนไม่เอาถ่าน ทุกอย่างแย่มากจนโจเอลทนรับฟังไม่ได้จึงผลักไสไล่คลีเมนไทน์ออกจากรถทันที
เพราะคิดว่าคลีเมนไทน์เธอเองคงเป็นคนผิดจึงไม่นานนักที่จะขับรถไปบ้านโจเอลเพื่อขอโทษ ทว่าต้องได้ยินเสียงผ่านลำโพงที่กำลังพรรณาเกี่ยวกับเธอในแบบน่าเคลิ้มหลงใหล ก็เหมือนว่าทุกสิ่งกำลังดีขึ้นเรื่อยๆจากการฟังเทปของโจเอลก่อนถ้อยคำที่น่ารังเกียจหลุดเข้ามาจนทำให้คลีเมนไทน์ที่เป็นฝ่ายมาขอโทษต้องพิจารณาใหม่ว่าถ้าสิ่งที่ฟังคือเรื่องจริงที่ชายคนนี้กำลังพูดเกี่ยวกับตัวเธอสมควรจะอยู่ต่อดีไหม ซึ่งเหมือนว่าจะไม่อยู่ต่อไปอีกกับคนที่พูดถึงเธออย่างหยาบคาย แน่นอนโจเอลต้องบอกว่าเปล่าตัวเองไม่ได้พูดเหมือนที่คลีเมนไทน์อยากจะพูด การรับฟังในครั้งนี้ก็คือความจริงที่ทำให้ทั้งคู่ตระหนักในมุมมองที่แตกต่าง เราอาจได้ยินคนที่รักสมว่าสวยว่าดีเสมอมาต่อหน้าแต่กลับเบื้องลึกๆต้องมีรำคาญกันบ้างตามประสาคนอย่างเราเพียงแค่เราไม่เคยได้ยินในมุมมองนั้นเท่านั้นเอง การรับฟังในข้อด้อยของแต่ละฝ่ายย่อมเป็นอะไรที่ทิ่มแทงใจอย่างมหาศาล ยิ่งเป็นการดูถูกดูหมิ่นด้วยแล้วคงเป็นการทำร้ายจิตใจจนอยากจะตบหน้า ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ทั้งโจเอลและคลีเมนไทน์คงเข้าใจกับคำว่าไม่สมบูณ์แบบกันเสียที เพราะนี่จะเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีกว่าเดิม
คงไม่มีอะไรจะสำคัญไปกว่าความทรงจำอีกแล้ว ต่อให้เป็นเรื่องร้ายมากแค่ไหนมีความสุขมากเท่าใด ถ้าสิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องหมายย้ำเตือนเราเสมอมันจะเป็นอะไรที่เฟอร์เฟคที่สุดเท่าที่เราเรียนรู้มา ได้แต่คิดเสมอว่าความรักเกิดขึ้นได้ยังไง มันเกิดไปแล้วหรือยัง คนๆนี้ใช่คนที่เราวาดฝันไว้หรือเปล่า ทุกสิ่งอย่างเป็นเพียงสิ่งที่เรามโนเองหรือเปล่า ข้อพิสูจน์สุดท้ายจงอย่าได้ใช้สมองมาหาคำอธิบายเรื่องรัก เพราะเรื่องนี้ปล่อยไปตามหัวใจน่าจะเหมาะกว่า
"ท้ายที่สุดแล้วเราคงต้องกลับมาตั้งต้นกับคำว่า Nobody Perfect"