Mama (2013) ผีหวงลูก

Mama (2013) | ผีหวงลูก
Director: Andres Muschietti
Genres: Fantasy | Horror | Thriller
Grade: C+

เรื่องราวได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อพ่อ (Matthew Edison) ได้พาวิคตอเรีย (Megan Charpentier) วัย 3 ปี และลิลลี่ (Isabelle Nelisse) วัย 1 ปี ลูกทั้งสองคนออกจากบ้านอย่างรวดเร็วก่อนภายหลังจะประสบอุบัติเหตุรถตกถนนไปเจอกับกระท่อมหลังหนึ่ง โดยทั้งสามยังมีชีวิตรอดอยู่ครบตามปกติเพียงแต่พ่อรู้สึกสิ้นหวังในชีวิตเหลืออดเพราะปัญหาต่างๆที่รุมเร้าจิตใจจนอยากจบปัญหาด้วยการฆ่าตัวตายรวมถึงลูกๆอีกสองคนด้วย แต่แล้วบางอย่างได้เกิดขึ้นจนท้ายที่สุดเหลือเพียงวิคตอเรียกับลิลลี่เท่านั้นที่ยังรอดอยู่ ทว่าอะไรบางอย่างได้กำลังปกป้องหนูน้อยทั้งสองภายใต้เงาดำมืดนั้นอยู่อย่างลับๆ จนกระทั่งเวลาได้ล่วงเลยไปทั้งสิ้น 5 ปีกับการหายตัวไปคือหนูน้อยทั้งสองอย่างปริศนาจนตอนนี้ได้พบเจออีกครั้งในกระท่อมหลังเดิมที่ต่างคนต่างสภาพไม่ต่างกับสัตว์ป่าที่ไร้การอบรมเลี้ยงดูสั่งสอนปล่อยให้เผชิญกับการมีชีวิตรอดด้วยตัวเอง แต่ด้วยการค้นพบหนูน้อยทั้งสองที่หายไปทำให้ข่าวได้แพร่ไปถึงญาติอันใกล้คือลูคัส (Nikolaj Coster-Waldau) ผู้เป็นอา และแฟนสาวแอนนาเบล (Jessica Chastain) ได้รับรู้ข่าวนี้ และยินดีจะรับเลี้ยงช่วงต่อในฐานะลูกบุญธรรมทั้งยังพร้อมจะดูแลสั่งสอนให้กลับมาเป็นปกติใชีชีวิตแบบคนธรรมดาอีกครั้ง ทว่าวิคตอเรียกับลิลลี่มีบางอย่างกำลังดูแลปกป้องอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งพวกเธอเรียกว่า"มาม่า!"


ตัวหนังมาพร้อมกับบรรยากาศลึกลับและไม่น่าไว้วางใจ รวมถึงดนตรีประกอบที่ทำให้รู้สึกหลอนๆอยู่ตลอดเวลาทุกครั้งที่เห็นเด็กทั้งสอง หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าเมื่อเห็นเด็กสองคนนี้ที่ไหนและเมื่อไหร่ ที่นั้นย่อมมีปรากฏการณ์บางอย่างที่เหนือธรรมชาติอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งความน่ากลัวอันแสนลึกลับไม่ใช่ทางที่ตัวหนังจะเสนอเพียงเพื่อทำให้ผู้ชมสงสัยอยู่แค่หนทางเดียว แต่ยังรวมถึงการสร้างประจุความอาฆาตที่ค่อยๆแรงขึ้นเรื่อยๆจนความน่ากลัวที่ซ่อนเอาไว้ได้เปิดตัวในช่วงไคล์แม็กซ์ แต่ก่อนจุดนั้นจะมาถึงคือปมประเด็นที่ค่อยๆเรียบเรียงผ่านหนูน้อยทั้งสองพร้อมกับคุณหมอดรายฟัส (Daniel Kash) ที่เกิดสงสัยว่าเพราะอะไรตลอดระยะ 5 ปีที่ผ่านมาทั้งวิคตอเรียกับลิลลี่ถึงยังมีชีวิตอยู่ได้ในกระท่อมหลังเดียวที่ไร้วี่แววปราศจากการช่วยเหลือใดๆนอกจากเม็ดผลเชอรี่ที่กองสูงเอาไว้เท่านั้น หรือจะบอกว่าเป็นเพราะพวกเธอทำขึ้นทั้งหมดนั้นคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่นอน ซ้ำยังรวมถึงพฤติกรรมแปลกที่คล้ายกับว่ามีบางอย่างอยู่รอบๆหนูน้อยทั้งสองคล้ายกำลังมองดูอยู่ แต่ไม่แปลกใจเท่ากับการเอยชื่อเรียกมาม่าและทำท่าเหมือนมีแม่อยู่ใกล้ๆ ดังนั้นจึงเกิดคำถามว่าระหว่างที่หายตัวไปนั้นได้เกิดอะไรขึ้นกันบ้างแน่

คุณหมอดรายฟัสนับเป็นตัวละครหลักของเรื่องตัวหนึ่งที่นำพาสู่ปมประเด็นต่างๆไม่ต่างกับการสืบสวนหาต้นตอว่ามีอะไรมาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยหรือไม่ นับว่าเป็นตัวละครที่ค่อนข้างดีที่เข้าใจหาทางสืบสาวความจริงเพราะเป็นคนเดียวที่รู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้มีความผิดแปลกอยู่จนหาเหตุผลมาอธิบายได้ไม่ลงร่องลงรอยนัก ซึ่งเราผู้ชมจะค่อยๆรู้ความจริงไปเรื่อยๆกับตัวละครนี้ในแง่ข้อมูลมากขึ้นทั้งการจับผิดวิคตอเรียกับลิลลี่ด้วยท่าทางสงสัยว่ามีความผิดปกติอะไรบ้าง และยิ่งเมื่อรู้ความจริงกับความแปลกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเริ่มมีความหลอนน่ากลัวมากขึ้นตามลำดับ แต่ฝ่ายที่ต้องหลอนและเจอหนักสุดคือคนที่อยู่ใกล้ที่สุดคือลูคัสกับแอนนาเบลที่ต้องรับภาระเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด ทว่าอาการกลับไม่ได้ดีขึ้นมากนักโดยเฉพาะกับลิลลี่ที่กลายเป็นเด็กที่ใช้สัญชาตญาณตัวเองซะมากจนไม่ต่างกับสัตว์ป่าที่มีความระแวงระวังกับสิ่งที่ไม่ไว้ใจในความแปลกใหม่ แม้ว่าลิลลี่จะพอปรับตัวด้วยการเข้าอยู่กับคนอื่นได้บ้างแต่ก็ยังขาดการพัฒนาตัวเองอย่างการกินข้าวบนโต๊ะ ที่เจ้าตัวไม่ได้นั่งบนโต๊ะเช่นคนอื่นๆแต่นั่งกับพื้นและไม่กินสิ่งใดนอกจากผลของเชอรี่เป็นอาหารหลัก ในทางตรงกันข้ามกับวิคตอเรียที่เกิดปรับตัวเองได้จนสามารถใช้ชีวิตเช่นคนปกติได้ในท้ายที่สุด ซึ่งผู้ชมจะได้รับรู้ผ่านตัวละครนี้โดยหลักเราว่ามีอะไรบางอย่างกำลังแอบซ่อนอยู่ และวิคตอเรียก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่อย่างที่เธอต้องการดังเคยอีกแล้ว


ในเรื่องหนูวิคตอเรียจะเป็นตัวละครที่ดูมีมิติมากกว่าลิลลี่ตรงที่มีความปกติที่ดีกว่า และเริ่มเข้าใจต่ออะไรต่อมิอะไรได้กระจ่างกว่ามาก จึงไม่แปลกใจถ้าจะรู้ว่าการกระทำของใครก็แล้วแต่ถ้ามากเกินไปจะบอกเชิงว่าอย่าทำเพราะสิ่งนั้นจะอิจฉาได้ เช่นการพยายามเป็นแม่ที่ดีของแอนนาเบลที่ถูกเตือนในทำนองนี้ แต่นั้นยังเป็นการแสดงถึงความรู้สึกในใจของตัววิคตอเรียที่ไม่อยากให้ใครมาเกี่ยวข้องด้วยเพราะไม่อยากให้มีอันเป็นไปเพียงเพื่อเรื่องไม่เป็นเรื่องนี้ ดังนั้นจึงเป็นตัวละครสำคัญที่สื่อเรื่องของตัวเองได้ดี และนับเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่หนูน้อย Megan Charpentier จะแสดงได้ตามเนื้อเรื่องในแบบหลายอารมณ์ได้ที่มีทั้งร้องไห้ ดีใจ กังวล ซึ่งล้วนแต่ทำให้เห็นว่ามีทัศนะยังไงบ้างกับสถานการณ์ต่างๆ นับว่าแสดงได้ดีสมบทบาทแถมดูน่ารักไปอีกแบบเวลาใส่แว่นที่เป็นจุดเด่นของตัวละครนี้ ถึงแม้วิคตอเรียที่ดูมีมุมมองที่มากกว่าก็จริงแต่ลิลลี่เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ไม่สมควรขาดแต่อย่างใดเลยทั้งสิ้น เนื่องจากถ้าไม่ใช่เพราะลิลลี่เรื่องราวอาจดูลำพังเกินไปสำหรับเด็กคนเดียว และเพราะมีลิลลี่นี้แหละจึงทำให้ผู้ชมได้สัมผัสความแปลกประหลาดหลายอย่างเกี่ยวกับพฤติกรรมอันน่าขนลุก ทั้งนี้ต้องปรบมือให้กับเด็กน้อยอย่าง Isabelle Nelisse ที่เล่นได้น่ารักก็น่ารัก น่ากลัวก็น่ากลัว

ที่ขาดไม่ได้คือ Matthew Edison กับบทบาทเป็นลูคัส น่าเสียดายที่ตัวละครนี้ที่ดูสำคัญในช่วงแรกๆกลับต้องไร้บทบาทลงในช่วงกลางๆจนถึงท้ายเรื่องราวกับไม่มีน้ำหนักพอจะอุ้มตัวละครนี้ให้อยู่ไปพร้อมกับเด็กๆได้อย่างแอนนาเบลที่แสดงถึงความเป็นแม่ออกมาผ่านภาระหน้าที่ต้องดูแล และรับบทโดย Jessica Chastain กับการเปลี่ยนลุคสไตล์ออกแนวสาวร็อคที่มาคนละเรื่องกับเจ้าหน้าที่ CIA ใน Zero Dark Thirty (2012)  อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในเรื่องต้องแสดงออกถึงความเป็นแม่ที่คิดอยากจะปกป้องลูกแม้จะไม่ใช่ลูกจริงๆก็ตาม แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นจะทำให้ผู้ชมเริ่มรู้สึกอึดอัดใจที่เอาเด็กมาเลี้ยงตามความปรารถนาของลูคัสที่อาจไม่ถึงขั้นกับว่าไม่ชอบเพียงแค่รู้สึกว่ายังไม่ถึงเวลาที่ควรจะเลี้ยงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเวลาที่ต้องตัดเรื่องส่วนตัวออกไปก่อนเพื่อดูแลเด็ก รวมถึงการพยายามเลี้ยงให้เด็กๆออกมาดูดีที่สุดเพื่อไม่ให้ถูกริบสิทธิ์ให้ญาติทางอื่นนำไปเลี้ยงเพียงเพราะไม่สมควรจะเลี้ยง นับเป็นอีกหลายๆปัญหาที่ต้องทำให้ถึงที่สุดเพื่อเด็กและเพื่ออนาคต แต่จะอะไรนั้นคงไม่เท่าการพัฒนาตัวละครแอนนาเบลที่เริ่มจริงใจมากขึ้นจนกลายเป็นความรู้สึกของความเป็นแม่อย่างเต็มเปี่ยมที่บ่งชี้ในท้ายเรื่องได้อย่างเข้าใจ


ที่น่าสนใจคือฝั่งผีมาม่าที่ตัวหนังพยายามเลี่ยงการเห็นตัวเต็มๆในช่วงแรกก่อนจะเปิดให้เห็นเต็มๆแบบไม่ต้องปิดบังในช่วงหลัง แสดงให้เห็นถึงการไปจุดไคล์แม็กซ์ของเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องรอเก็บอีกต่อไปในความน่าขนลุกอีก ทว่าหลังจากได้เห็นผีมาม่าแล้วกลับรู้สึกได้ถึงอารมณ์ความเป็นแฟนตาซีอยู่บ้างในการออกแบบผีตัวนี้ให้ออกมาไม่ต่างกับผู้คุมวิญญาณในเรื่อง Harry Poter แค่ฉบับนี้มีการเปิดรายละเอียดที่ชัดเจนมากกว่าทั้งหน้าตาและรูปร่างแน่นอน บอกกับสภาพร่างกายดูผอมแห้งจนดูน่าหลอนทั้งนิ้วเรียวผอมยาวๆที่ยื่นมือมาทียังคิดว่าน่ากลัวพอตัว แต่ข้อเสียคือผีมาม่าที่เห็นนั้นมาจาก CGI ทั้งตัวจึงไม่แปลกใจถ้าจะดูไม่เนียนในระดับหนึ่ง ก็อย่างน้อยการใส่จังหวะความน่ากลัวน่าตกใจยังคงได้อยู่พอตัวที่จะทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่ไว้วางใจได้ แถมลูกเล่นผีมาม่ามีค่อนข้างหลากหลายทั้งมากับพื้น เจาะมิติข้ามบ้านมาหาเด็กๆ หรือที่ฮิตกันกับผีหลังหัก(มาแบบเอียงหลังทำตัวอ่อนใส่) โดยรวมแล้วจังหวะทำตกใจถือว่าแม่นใช้ได้ในการทำให้ผี CGI ตัวนี้ดูน่าเกรงขาม แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของเรื่องในอารมณ์นั้นถ้าพูดถึงตอนจบของเรื่องที่หนักทางดราม่าศึกแม่คนกับแม่ผีที่ใครจะได้ลูกทั้งสองคืน อันนี้ถือว่าเป็นลุ้นกันเอาเองเพราะตอนจบมันไม่ได้แฮปปี้อย่างที่สมควรจะเป็น

Mama เป็นอีกหนึ่งหนังผีที่น่าสนใจแม้จะมาทำนองที่ตรงตัวไร้การหักมุมใดๆเว้นแต่การอธิบายเรื่องปลีกย่อยของผีมาม่าว่าแท้จริงมีที่มายังไงบ้าง และสิ่งสำคัญคือความรักถ้าใช้ไม่เป็นแล้วย่อมเป็นพลังในทางลบได้เช่นกัน ดูจากผีมาม่าที่ยังคงไม่เลิกลากับวิคตอเรียและลิลลี่ทั้งที่มีความสุขกับการได้เล่นลูกๆซึ่งสมควรที่จะปล่อยว่างได้แล้วตามเรื่องตามราวปกติ ทว่าผีมาม่ายังคงยึดติดไม่ยอมจากลาไปไหนต่อให้หนูน้อยทั้งสองจะมีความสุขและยิ้มอย่างสดใสก็ตาม ดังนั้นความรักของผีมาม่าแทนที่จะเป็นพลังในแง่บวกกับกลายเป็นลบที่แสดงถึงการคงอยู่เพียงเพราะห่วงหรือหวงเด็กมากกว่า ดังนั้นถึงเก็บสาระดีๆตรงประเด็นกับการยอมรับและเปิดใจกับเรื่องรอบตัวให้มากขึ้น เมื่อถึงจุดเปลี่ยนก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปให้สมแก่ที่ควรจะเป็นและคงไม่มีใครอยากสูญเสียอะไรไปถ้าไม่จำเป็น

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)