I Saw the Devil (2010) เกมโหดล่าโหด

I Saw the Devil (2010)
เกมโหดล่าโหด
Director: Kim Jee-woon
Genres: Action | Crime | Drama | Horror | Thriller
Grade: A+

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

"ปีศาจฆ่าคนที่ฉักรัก ฉันตามแค้นปีศาจ จับปีศาจทรมาน ฉันปล่อยปีศาจ เฝ้าดูมองปีศาจ จับปีศาจทรมาน ฉันปล่อยปีศาจ เฝ้าดูมองปีศาจ สู้กับพวกปีศาจ ฉันปล่อยปีศาจ ปีศาจฆ่าคนที่ฉักรัก จับปีศาจทรมาน ให้ปีศาจรู้คำว่าเจ็บ ฉันกลายเป็นปีศาจ"


จากการพิจารณาภาพยนตร์ตัวหนังได้เรตสูงสุดของเกาหลีคือ Restricted ถือเป็นเรื่องน่ายั่วน้ำลายไม่ใช่น้อยที่เรทจะแรงจนต้องมาตัดต่อใหม่ให้ฉายได้กว้างมากยิ่งขึ้น อนึ่งก็มาจากเนื้อเรื่องที่เริ่มจากการแก้แค้นของแดฮุน (Lee Byung-hun) ตำรวจที่ออกตามล่าตัวคนร้ายโดยมีความแค้นฝังลึกถึงก้นบึ้งหัวใจเมื่อคนที่ถูกฆ่าไม่ใช่เหยื่อรายใดได้เลยนอกจากคนนั้นคือจูยอน (Oh San-ha) แฟนของตน เรื่องเกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่คุยโทรศัพท์กันเนื่องในวันเกิดของจูยอน ซึ่งต่างคนต่างไม่ได้อยู่ด้วยกันเนื่องจากแดฮุนอยู่ในช่วงทำงานพอดี ขณะที่จูยอนกำลังรอคนมาช่วยซ้อมรถที่เกิดขัดข้องระหว่างทาง ต่างคนต่างพูดคุยผ่านมือถือเช่นคนรักด้วยความสุขเช่นความรักฉบับข้าวใหม่ปลามันที่ทั้งน่ารักน่าทะนุทะนอมกันทั้งคู่ แต่แล้วเมื่อแดฮุนถูกเรียกตัวจึงต้องงดคุยโทรศัพท์ชั่วคราวและเป็นจังหวะที่จูยอนต้องอยู่คนเดียวกับใครบางคนที่อยู่นอกรถโดยมีท่าทีบอกจะช่วยดูรถให้คล้ายเป็นคนดี ทว่าคนต่างหน้านั้นไม่กลับไปที่รถของตัวเองทั้งที่ยืนยั่นบอกคอยช่างที่โทรไปขอความช่วยเหลือแล้ว แต่สุดท้ายชายปริศนาดังกล่าวยินยอมกลับไปที่รถเหมือนผิดหวังอะไรบางอย่าง จนกระทั่งเหตุการณ์ต่อไปนี้คือเรื่องสะเทือนใจที่สุดคือแดฮุน มันคือเรื่องที่เขาไม่สามารถย้อนเวลาไปได้ สิ่งต่อไปนี้จะเป็นแรงผลักให้เขาอยากแก้แค้น!


ไม่รู้กี่นาทีในตอนเปิดเรื่องแต่รู้แค่ว่าตอนเริ่มนั้นดูน่ารักและแสนจะอบอุ่นในความรักต่างสถานที่ที่สื่อสารผ่านมือถือ เป็นใครที่ไม่รู้ว่าคือเรื่องอะไรต้องบอกว่าคือหนังรักแน่ๆจนกระทั่งการเซอร์ไพร์สที่ร้ายแรงได้กระแทกใจผู้ชมเสมือนกับปีศาจขยี้หัวใจเละไม่มีชิ้นดีได้เริ่มขึ้น มันคือฉากเปิดเรื่องทำร้ายจิตใจอย่างมากแต่นั้นจะทวีคูณไปอีกหลังจบฉากในรถแล้วไปต่อสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งฉากดังกล่าวนั้นจะทำให้ผู้ชมรู้สึกเกลียดคยังชูล (Choi Min-sik) เจ้าโรคจิตนี้กันแบบสุดๆ

ทว่าอารมณ์ที่ได้นอกจากจะโหดร้ายและสยองแล้ว สิ่งที่ตีกลับผู้ชมคือความแค้นที่ไม่รู้ว่าจากไหน โดยส่วนตัวยังรู้สึกแค้นได้เลยทั้งที่เป็นแค่หนังส่วนเราทำหน้าที่นั่งดู แต่นี่มันเยอะไปทำร้ายจิตใจกันเกินไป เริ่มตั้งแต่ฉากรถแล้วไปสถานที่แห่งหนึ่งจากนั้นก็เกิดเรื่องเมื่อจูยอนหายตัวไป แน่นอนหนังไม่สนอะไรนอกจากจัดการในช่วงต้นเรื่องอย่างรวดร็วให้รู้สึกผวาให้ถึงที่สุดแสดงถึงเรื่องสะเทือนอย่างไม่รู้จบที่ปล่อยให้แดฮุนที่เป็นแฟนกับพ่อของจูยอน (Jeon Gook-hwan) ได้พบศพในสภาพที่ไม่ควรจะเจอ

บอกได้คำเดียวว่าอึ้งอย่างมากกับการเริ่มเรื่องที่สุดขึงขังเช่นนี้ ที่สำคัญคือการไม่สนใจสายตาผู้ชมด้วยการมุมกล้องที่ล่อสายตาผู้ชมแบบไม่หลบไม่ซ่อนปล่อยให้เห็นกันสดๆ แล้วแบบนี้จะไม่รู้สึกเจ็บได้ยังไงเมื่อเรื่องสวยงามถูกชะโลมด้วยเลือดของปีศาจที่เราเรียกว่าคนด้วยกันเอง


ที่ชอบมากในเรื่องคือตัวละครที่ไว้ลายโชว์เหนือทั้งการแสดงกับมิติตัวละครได้ถึงมากๆโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Byung-hun Lee ที่เล่นเป็นแดฮุน จากในเรื่องมีเพียงแค่ต้นเรื่องเท่านั้นที่เห็นรอยยิ้มในฉากคุยโทรศัพท์กับแฟน แต่พอหลังจากนั้นกลายเป็นตัวละครที่เก็บกดอาการเป็นอย่างมาก ด้วยท่าทีที่เย็นชาหน้าตายแต่แฝงไปด้วยรังสีอำมหิตเต็มตัว ทำให้เป็นตัวละครที่เวลาลงไม้ลงมือจะหนักหน่วงเป็นอย่างมากเหมือนจะจริงจังในสิ่งที่ทำในทำนองฆ่างูต้องตีให้ตาย ไม่มีการปรานี ไม่อ้อมค่อมถึงความสงสาร ความเมตตากลายเป็นเรื่องที่ไร้ค่า สุดท้ายก็มีแต่การกระทำที่มีแต่ไม้แข็งชนิดเด็ดขาดถึงที่สุด ไม่นึกเลยว่ากับตัวละครที่ดูน่ารักจะกลายเป็นอีกคนได้ราวฟ้ากับเหวที่มีแต่ความโกรธเต็มจิตใจไปหมด และอีกตัวละครหนึ่งที่ตัวเองแปลกประหลาดใจมากคือคยังชูล ที่ว่าแปลกคือไม่สามารถเดาพฤติกรรมต่อไปได้เลยว่าจะทำอะไร รู้อย่างหนึ่งคือเจ้านี้มันโรคจิตต้องมีเรื่องวิกลจริตตลอดเวลาอยู่แล้วเพียงแค่ไม่รู้จะเมื่อไหร่และยังไงบ้าง อาทิ ฉากในรถแท็กซี่

นี้คือหนึ่งในฉากที่หนักหน่วงและได้อารมณ์ที่สุดในเรื่อง เริ่มตั้งแต่ความอึดอัดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากการไปรับไอ้บ้าคยังชูลข้างทางจนคนที่อยู่หลังเบาะส่อแววบางอย่างออกมาให้เห็นชี้ชัดว่ากำลังจะปล้นแท็กซี่ อีกคนหนึ่งคือคนโรคจิตที่เผชิญได้ทุกสถานการณ์กับอีกคนเป็นโจรที่ดันคาดไม่ถึงว่าคนขับแท็กซี่จะรับคนเพิ่มเพราะเห็นว่าทางเดียวกัน โดยส่วนตัวถือว่าเป็นฉากที่มันส์มากในการลำดับเรียบเรียงที่ตื่นเต้นและลุ้นว่าเมื่อไหร่จะลงมือ ซึ่งพอลงมือทันใดนั้นเองมุมกล้องก็วาดไปทั่วข้างในรถแท็กซี่ แสดงให้เห็นการต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างเมามันส์ด้วยเลือดที่ไหลโชกกับแผลที่จ้วงแทงไม่มีลิมิตผ่านสายตา 360 องศา มันสุดยอดมากนะฉากนี้ทั้งลุ้นทั้งโชกด้วยเลือด ทั้งนี้เพราะการแสดงของ Choi Min-sik อยู่ในระดับที่ฝังลึกถึงตัวละครจริงๆ มันบ้าและเป็นโรคจิตที่ฉลาดมากในการเอาคืน ไร้สำนึก ไม่กลัวเจ็บ จะทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ


ที่น่าสนใจคือสไตล์การแก้แค้นที่ไม่ใช่มาม้วนเดียวจบแต่กำลังค่อยๆกัดกินความเจ็บปวดไปเรื่อยๆด้วยการทรมานไม่ให้สมหวัง อะไรคือไม่ให้สมหวัง? ก็คล้ายๆกับเวลาจะทำอะไรก็ทำไม่ได้อย่างที่เคยทำ เช่น กำลังจะข่มขื่นเด็กก็ถูกขัดขวางพร้อมกับถูกหักแขน กำลังฝืนใจรุ่นสาวที่กำลังช่วยสำเร็จความใคร่ด้วยการตัดส้นเท้า พูดง่ายๆเลยคือไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างที่กำลังทำได้อีกครั้งอย่างราบลื่น ไม่สามารถทำเรื่องชั่วๆได้อย่างสบายใจเฉิบ แต่ก็เป็นประเด็นบางอย่างที่น่าคิดเกี่ยวกับผู้กระทำกับผู้ถูกกระทำที่สลับบทบาทกันได้อย่างลงตัว

เดิมที่คยังชูลคือฆาตกรโรคจิตที่ฆ่าคน อันที่จริงนอกจากการฆ่าแล้วยังปรารถนาในเรื่องความรุนแรงและเพศอย่างเหลือล้นกับเหล่าผู้หญิง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พบได้ประจำในสังคมกับบทบาทที่ผู้ชายมักจะทำร้ายผู้หญิงเสมอจนไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าฝ่ายที่กระทำคือผู้ชายในขณะที่ฝ่ายหญิงต้องรับทุกข์เหล่านั้นจากความไม่ประสงค์ดี การเป็นผู้กระทำแสดงถึงอำนาจบางอย่างว่าตัวเองเหนือกว่าคุมเกมส์ได้ดีกว่าและจะจบเมื่อไหร่ก็จบได้ สิ่งเหล่านี้ถูกปลูกฝังมาจากการปล่อยละเลยให้ใช้ชีวิตยังไงก็ได้ตามใจ สังเกตได้จากครอบครัวคยังชูลที่ไม่ได้เอาใจใส่อะไรนักแม้จะเรียกว่าโตเป็นผู้ใหญ่และมีลูกจริงๆแล้วก็ตามยังไม่สนใจลูกหรือกระทั่งพ่อกับแม่เลย ขณะเดียวกันคยังชูลไม่ใช่แค่คนเดียวที่ทำเรื่องแบบนี้ แบบที่ฆ่าคนชำแหละคนเพื่อไปกิน เพราะในเรื่องยังมีคนอีกกลุ่มที่คยังชูลอยู่ด้วยได้ราวกับบ้านตัวเองเพียงแตกต่างตรงที่คยังชูลไม่ใช่พวกกินเนื้อคนแค่ชอบเล่นสนุกกับคนมากกว่า


สิ่งแรกที่เป็นอุทาหรณ์ได้ดีคือ"อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า" ยิ่งตามทางในเวลากลางคืนนี้อย่าไปเชื่อใจทันทีว่าคนนี้อาจมีประสงค์ดีมาช่วยเหลือเราเพราะเขาหรือเธออาจไม่คิดช่วยเพราะอยากช่วยแต่อาจหมายถึงอย่างอื่นเพียงแค่เอาคำว่าช่วยมาบังเหตุผลที่แท้จริง ดังที่ว่า"อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน" ถ้าเอามาใช้กับผู้กระทำกับผู้ถูกกระทำยิ่งไม่ต้องบอกว่าใครอยู่ข้างไหน กลับมาเข้าเรื่องกับแดฮุนที่ยังเป็นฝ่ายถูกกระทำ เป็นการถูกกระทำทางใจทำให้สูญเสียคนที่รัก ดังนั้นเขาถึงกระทำอย่างเด็ดขาดโดยไม่สนใจความนิ่มนวลอีกต่อไป

ไล่หาผู้ต้องสงสัยโดยไม่ถามก่อนลงมือแต่ลงมือก่อนถาม ถามว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องได้ยังไงที่ไล่เก็บคนที่น่าสงสัยด้วยการคุกคามทำร้ายร่างกายก่อนจะได้บทสรุปว่าไม่ใช่ เราไม่รู้แต่รู้ว่าแดฮุนไม่อารมณ์มาพูดเรื่องตลกแน่นอน ตอนนี้ทั้งชีวิตมีแค่คำเดียวคือ"แก้แค้น" จนสุดท้ายก็ไล่จนมาถึงตัวจริงอย่างคยังชูลได้สำเร็จและใช้วิธีทรมานจับปล่อยๆเพื่อให้รู้จักคำว่าเจ็บที่เหนือยิ่งกว่าจนต้องร้องขอ ทว่าการสลับเปลี่ยนผู้กระทำเป็นฝ่ายถูกกระทำไม่ได้แปลว่าจะช่วยทำให้ปีศาจตนนี้อยากขอร้องให้ปล่อยจากพันธนาการนี้เลยสักนิด แต่รู้สึกสะใจในความมันส์ราวกับชีวิตนี้จะมีเรื่องเซอร์ไพร์สเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้ และเมื่อปีศาจไม่สำนึกก็มีแต่ปีศาจด้วยกันเองเท่านั้นที่จัดการได้ ปีศาจที่มีแต่คำว่าแก้แค้น ปีศาจที่สถิตด้วยความเยือกเย็น ปีศาจที่ลงมือด้วยวิธีการสุดท้ายแบบต้องร้องขอให้หยุด สิ่งนี้คือการทำให้คนที่รักได้เห็นแบบที่ทำให้คนรักต้องเจ็บปวด


I Saw the Devil เป็นหนังที่จริงจังในความโหดและการแก้แค้นที่ไม่สะดุดในอารมณ์ ทั้งยังเต็มไปด้วยเล่ห์เลี่ยมที่สอดแทรกเข้ามาสุดแสนระทึกใจระหว่างผู้กระทำกับผู้ถูกกระทำว่าใครจะเหนือกว่าสร้างความเจ็บปวดได้ลึกกว่า อีกยังมีสาระแฝงเอาไว้ผ่านการเล่าเรื่องที่ไม่จำกัดกรอบแค่ว่าเป็นเหตุการณ์เสริมเนื้อเรื่องแต่เป็นจุดขยายเนื้อหาให้ผู้ชมเข้าใจแม้จะไม่มีการเล่าเรื่องย้อนหรืออธิบายให้ฟังเป็นมูลเหตุสำคัญแค่ดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆก็เห็นข้อเท็จจริงในหลายข้อนี้เอง และด้วยความโหดนี้เองจึงเป็นจุดคัลท์ที่ไม่เหมาะสมกับผู้ชมในบางรายที่อาจเอาแค่ระทึกแนวๆทริลเลอร์มีฉากสยองแค่เอาเกริ่น แต่เรื่องนี้มีความสยองที่ปะปนมากับสถานการณ์ราวกับของสดที่ถูกเทมาตลอดทั้งเรื่อง เช่น ฉากแทงที่จ้วงไปไม่รู้กี่รู ฉากฟาดหัวที่เลือดแตกออกเป็นปรายๆ ตลอดจนฉากไคล์แม็กซ์ที่ลุ้นจนไม่รู้ว่ามันเป็นการจบที่ควรภาคภูมิใจในการแก้แค้นดีไหม ตลอดทั้งเรื่องนำเสนอแง่ความรุนแรงโดยมีตัวละครหลักๆคือแดฮุนกับคยังชูล และเจ้าความรุนแรงนี้มันแรงเสียจนควรพิจารณาในการรับชมด้วยยิ่งดี

ที่น่าภูมิใจในเรื่องนี้คือการลำดับเล่าเรื่องได้อย่างรวดเร็วไม่มีความน่าเบื่อเลยสักนิดเดียว เว้นแต่หนังยังคงสูตรสำเร็จเดาได้ตลอดทั้งเรื่องเพราะไม่มีความซับซ้อนใดๆ ทว่าการไปแบบตรงๆกลับเป็นการันตีความดุของหนังที่ลุยหน้าตั้งได้อย่างดี โดยส่วนตัวค่อนข้างชอบทุกองค์ประกอบของเรื่องนี้ตั้งแต่นักแสดง ฉาก บรรยากาศ ดนตรีประกอบ ทุกอย่างดูลงตัวไปหมดในความมืดมนจนมองไม่เห็นหนทางสว่างอะไรเลย นับเป็นหนังที่ตีแผ่ด้านมืดจิตใจของคนได้อย่างเข้มข้นและแสนโหดร้าย ไม่มีสิ่งไหนที่ดูแล้วรู้สึกมีความสุข หัวเราะ หรืออยากยิ้มเลย มีแต่แรงกดดันที่เหยียบลึกขึ้นในจิตใจ ยิ่งตอนจบคือคำตอบที่รุนแรงและหยาบกร้าน การลงบทสรุปที่อันตรายทำให้คนที่กระทำกล้าที่จะประกาศบอกให้เห็นตรงๆว่าเป็นยังไงเวลาคนที่เรารักตายต่อหน้า การกระทำที่แสนเปลี่ยวเดี่ยวดายกับหนามที่ทิ่มแทงจิตใจกลายเป็นความเจ็บปวดที่รุกเร้าไม่ยอมหยุดแม้การแก้แค้นจะจบลง เรายังคงเสียใจที่คนที่เรารักตายแต่เราก็ทรมานใจที่การเอาคืนไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดี มันแย่มากขึ้นที่ตัวเองทำได้ขนาดนี้เพียงเพราะการแก้แค้น

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)