Phone Booth (2002)
โฟนบูธ วิกฤติโทรศัพท์สะท้านเมือง
Director: Joel Schumacher
Genres: Crime | Thriller
Grade: B
"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"
อันที่จริงมันควรจะเป็นหนังเก่าแก่แล้วด้วยซ้ำเพราะว่าพล็อตเรื่องที่เขียนโดย Larry Cohen มีแนวคิดมาตั้งแต่ช่วงยุค 60s แล้ว แถมยังเคยนำไปเสนอผู้กำกับระดับตำนานอย่าง Alfred Hitchcock มาก่อนจนทั้งกลายเป็นที่น่าสนใจอยากจะสร้างเป็นหนังจริงๆจังๆขึ้นมา แต่เกิดปัญหาเรื่องทางด้านเนื้อเรื่องที่ยังหาความสมเหตุสมผลไม่ค่อยได้ และปัญหานั้นมาจากการทำยังไงให้คนถูกกักอยู่ในตู้โทรศัพท์ จะว่าลอยๆเหมือนใน The Birds (1963) ก็ไม่ได้(อันที่จริงการจู่โจมของนกมีเหตุผลซ้อนอยู่เพียงแค่ว่าแรงจูงใจยังไม่กระตุ้นผู้ชมในบางคนมากเท่าไหร่จึงเหมือนนกบ้าคลั่งมากกว่า) เมื่อความสมเหตุสมผลหาไม่ได้งานจึงพับเก็บยาวนานจนผ่านไปประมาณ 30 ปีต่อมาก็ได้ไอเดียที่น่าสนใจ ซึ่งเจ้าไอเดียนี้มาจากการนำมือปืนเข้าไปเอี่ยวด้วย พูดง่ายๆคือที่โดนกักอยู่ในตู้โทรศัพท์เป็นเพราะโดนมือปืนที่ซุ่มยิงแอบอยู่ที่ไหนสักที่กำลังขู่บางอย่าง พอได้แนวๆนี้จึงเสนอแล้วได้ไฟเขียวบอกตกลงให้สร้างได้ในที่สุด แต่น่าเสียดายที่เจ้าเก่าที่อยากสร้างก็ไม่อยู่เสียแล้วจึงได้ผู้กำกับอีกคนหนึ่งคือ Michael Bay และเหมือนจะมี Will Smith มาร่วมเล่นซะด้วย(นี่ถ้าคิดเล่นๆตัวหนังคงไม่ใช่แค่อยู่ในตู้โทรศัพท์แน่นอน หรือจะมีระเบิดเผากระท่อมรอบตู้ก็เป็นได้) ทว่าข่าวเงียบไร้วี่แววไม่ก้าวหน้าจนสุดท้ายผู้กำกับ Joel Schumacher ที่เกือบแจ้งจบใน Batman & Robin (1997) มาคว้างานนี้เองเพื่อแก้หน้า และกลายเป็นหนังที่เจ๋งกว่างานก่อนหน้านี้หลายเท่าจริงๆ
พล็อตอย่างที่บอกคือคนโดนกักในตู้โทรศัพท์เนื่องจากมีมือปืนซุ่มยิงอยู่ แล้วหวยมาออกที่สตู เชฟเพิร์ด (Colin Farrell) ชายหนุ่มมาดไฮโซที่ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก แต่แล้วยังไงต่อเมื่อเดินไปอยู่ดีๆก็นึกอยากคุยกับแฟนจึงเข้าไปในตู้โทรศัพท์สาธารณะใกล้ๆเพื่อคุยกับแพม (Katie Holmes) หวานใจสุดเลิฟ พอหลังจากคุยเสร็จเท่านั้นแหละเสียงกริ๊งที่โทรศัพท์ดังขึ้นอย่างน่าแปลกใจพร้อมกับรับสายด้วยความอยากรู้ เท่านั้นแหละความซวยเข้ามาทันทีในบันดล เพราะเมื่อสตูรับก็โดนขู่ห้ามออกนอกตู้เสียแล้วแต่ใครจะห้ามได้ด้วยเสียงลอยๆ งานนี้เจ้าคนที่ขู่จึงโชว์ศักย์ภาพยิงใส่คนแถวนั้นที่ใกล้ๆตู้ไปหนึ่งนัด ไม่ต้องถามแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป งานนี้ทั้งสตูทั้งคนบริเวณนั้นพากันช็อคกันเป็นแถวแถมโบยความผิดไปที่สตูด้วยท่าทางพิรุธตั้งแต่ไม่ยอมให้ใครใช้ตู้โทรศัพท์จนใครๆพากันโวยแต่นั้นก็ก่อนมีคนตาย พอได้คนตายยิ่งหนักข้อกว่าเดิมเพราะคิดว่าสตูเป็นคนยิง งานนี้ตำรวจก็แห่กันมาให้เพียบเพราะคิดว่าสตูมีปืนและอาจเป็นอันตรายต่อคนรอบข้างได้ ส่วนสตูเองทำอะไรไม่ได้นอกจากแนบหูฟังสายคุยกับคนร้ายไปเรื่อยๆ ยิ่งสถานการณ์ผ่านไปนานเท่าไหร่ยิ่งเพิ่มแรงกดดันมากขึ้น ทางตำรวจยิ่งงงกับพฤติกรรมที่ไม่รู้ว่าสตูทำอะไรกันแน่หรือว่าหมอนี้โรคจิตสติแตกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่รู้คือตอนนี้สตูอยู่ท่ามกลางมวลมหาประชาชนกับตำรวจอีกเพียบที่ต่างจ้องมองมาที่ตู้โทรศัพท์ตู้เดียว ณ ใจกลางเมือง
ถึงหนังจะสั้นไม่ถึง 80 นาทีแต่งวดนี้ระทึกเอาเรื่องเอาราวทีเดียวกับการลุ้นเกือบตลอดทั้งเรื่องระหว่างคนในตู้กับข้างนอกตู้โทรศัพท์ คือเข้าใจเลยนะว่าทำไมหนังถึงสั้นเพราะมาจากการเล่าเรื่องอย่างฉับไว ไม่มาเสียเวลาปูพื้นโน้นนี้ให้มากมายแค่เริ่มจับประเด็นให้ได้ก่อนว่าทำไมถึงมาใช้ตู้โทรศัพท์แค่นั้น จากนั้นแจ็คพ๊อคแตกเรื่องราวสุดระทึกจึงเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ทันตั้งตัวแม้แต่ตัวละครหรือผู้ชมก็ด้วย(อันที่จริงการไม่รู้เรื่องย่อจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้เพราะจะเป็นการเซอร์ไพร์สอย่างมาก) ไม่ใช่แค่เรื่องราวคราวระทึกที่ใส่มาอย่างต่อเนื่องเท่านั้นที่หนังสนุกสุดเหวี่ยงแต่ยังรวมถึงความลึกลับของซุ่มมือปืนที่มีแต่เสียงไม่มีหน้าตาให้เห็นกันสักฉากเดียว(เว้นแต่ตอนจบที่อุตส่าห์โผล่มาให้ฉากหนึ่ง) จัดเป็นความเสียวอย่างหนึ่ง เพราะว่าอย่างแรกเราไม่รู้ว่าเจ้าคนร้ายอยู่ตรงไหน อาจจะเป็นสักที่ตามตึกต่างๆที่เต็มไปด้วยกระจกและตึกบ้านช่อง แถมยังมีปืนไรเฟิลที่ยิงได้ระยะไกลอย่างแม่นยำเนื่องจากตู้โทรศัพท์เป็นเป้านิ่งที่ยิงได้ง่ายและโดดเด่น แต่ที่กดดันและทำอะไรไม่ได้คือสตู เป็นใครต้องสติแตกกันทั้งนั้น ซึ่ง Colin Farrell แสดงได้เก่งแสดงออกถึงความวิตกกังวล เครียด และหวาดกลัว ก็อย่างที่บอกทั้งเรื่องก็มีอยู่แค่นี้แหละเริ่มจากสตูไปเข้าตู้โทรศัพท์แล้วเกิดเรื่องขึ้นจากนั้นทั้งเรื่องก็วนเวียนอยู่แค่อาณาเขตบริเวณตู้เท่านั้นแหละ ฉากอื่นอย่าไปหวังอะไรเลยนอกจากจะเสริมนิดๆหน่อยๆตอนเปิดเรื่องกับคุยโทรศัพท์ที่ใช้วิธีตัดภาพระหว่างคุยแบบช่องการ์ตูน ไม่ต้องมาเปลี่ยนสลับฉากไปมา ซึ่งอันนี้เป็นการปูอารมณ์ผู้ชมอย่างหนึ่งให้เห็นความน่าไว้วางใจว่าคุยกับใคร แต่เจ้าคนร้ายนี่สิมีแต่เสียง จะเป็นใครที่ไหนก็ได้ที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วทำเป็นเนียนคุยก็ยังได้ ทั้งลึกลับทั้งกดดันชวนน่าระแวงหลังเสียจริง
เห็นพล็อตเรื่องง่ายๆหรูๆแบบนี้แต่สอดแทรกประเด็นเสียดสีให้ตรงกับยุคสมัยอีกด้วย ซึ่งเหมือนจะมีอยู่ประเด็นสองประเด็นหลักๆ อย่างแรกคือเรื่องการใช้โทรศัพท์ ยังจำฉากแรกๆได้ไหมที่สตูมาพร้อมกับคนรับใช้ที่พกมือถือตั้งไม่รู้กี่เครื่องและใช้สลับไปมาเชิงเป็นนักธุรกิจที่ต้องมีเบอร์เฉพาะเอาไว้ติดต่อ ที่สำคัญมันเร็วทันใจยิ่งกว่าการส่งจดหมายเยอะ ไม่ต้องรอไม่ต้องติดแสตมป์ แค่กดเบอร์ที่อยากคุยแล้วโทรออกก็ติดคุยได้เลยทันทีโดยไม่ต้องรอ
เนื้อหานับว่าสดใหม่อยู่เหมือนกันในเรื่องของมือถือที่เข้ามามีอิทธิพลในชีวิตประจำวันโดยตู้โทรศัพท์ค่อยๆกลายเป็นสิ่งเหลือที่ไม่ค่อยได้ใช้เพราะพกไม่ได้แถมต้องหยอดเหรียญแล้วไหนต้องต่อคิวอีก มันเสียเวลาใช่ไหมล่ะ ดังนั้นมือถือที่ใส่กระเป๋าได้พกได้และไม่ต้องยอดเหรียญเพียงแค่รอบิลมาเก็บจ่ายที่หลังก็กลายเป็นเรื่องสะดวกแสนสบายไปในทันที ฉะนั้นในเนื้อหาบางส่วนจึงมีการอิงบอกเล่าเกี่ยวกับตู้โทรศัพท์สาธารณะที่เหลืออยู่น้อยไร้ความจำเป็นจนต้องลดปริมาณลงเพราะมือถือ ขณะเดียวกันเจ้ามือถือก็กลายเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันที่ห่างไม่ได้ดวยเช่นกัน ยิ่งกับคนที่มีระดับการติดต่อที่ถี่ด้วยแล้วยิ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการมีมือถือก็คุ้มกว่ามานั่งพิมพ์ส่งเป็นข้อความทางเมลล์ที่ไปไหนไม่ได้นอกจากจ้องจอคอมฯ แต่เผอิญประเด็นเรื่องมือถือไม่ใช่สิ่งที่หนังกำลังมุ่งเน้น เพียงสิ่งนั้นคือประเด็นเรื่องการชู้สาว
คงแปลกใจว่าประเด็นนี้มาได้ยังไง อันนี้ต้องยอมรับอย่างหนึ่งสำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูคงไม่เข้าใจว่าอะไรแต่จะเกริ่นให้ฟังว่าสตูนั้นมีเมียอยู่ก่อนแล้ว ส่วนคนที่ติดต่อในปัจจุบันผ่านทางตู้โทรศัพท์นั้นคือแฟนลับๆ และเรื่องดูจะเข้มข้นขึ้นอีกเมื่อคนร้ายรู้ลึกในความสัมพันธ์นี้ดีจนกลายเป็นเกมส์บังคับสตูให้พูดแต่ความจริงกับแพมว่าตัวตนที่แท้จริงเป็นคนแบบไหนกันแน่ แต่เรื่องไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นน่ะสิเพราะเรื่องอะไรสตูจะต้องไปยอมรับความจริงแบบนั้นให้แฟนที่กำลังจะไปได้สวย ก็อย่างว่าใช้ปากเปล่าบอกคงไม่มีใครเชื่ออะไรเท่าไหร่ งานนี้จึงต้องมีการขู่กันด้วยปืนไรเฟิลที่พร้อมยิงจากระยะไกลแบบไม่มีใครสังเกตและโยนความผิดให้สตูได้อีกด้วย เจ้าคนร้ายวางแผนได้เก่งจริงๆที่ไม่ใช่แค่สร้างสถานการณ์แต่ยังรวมถึงการหาแรงจูงใจมาดึงให้สตูอยู่กับที่ทั้งๆเมื่อรู้ว่าคุยกับคนแปลกหน้าก็ไม่มีอะไรจะคุยต่ออีกแล้ว มาต่อกันที่ประเด็นชู้สาวว่าเจ้าคนร้ายทำยังไงให้สตูไม่ได้คิดใสซื่อบริสุทธิ์กับแพมกัน เริ่มจากการมีพิรุธของสตูกับการใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อคุยกับแพม ตัวผู้ชมคงแปลกใจว่าอะไรหน่อเปิดเรื่องมามีมือถือตั้งไม่รู้กี่เครื่องแต่พอจะคุยกับแฟนทำไมต้องมาใช้ตู้โทรศัพท์ด้วย ตอนแรกไม่มีเรื่องให้แปลกใจอะไรนักจนคนร้ายปากดีโทรหา...แล้วเริ่มพูดใส่ความพร้อมกับให้สตูฟังไปด้วย ความไม่ไว้ใจจึงเริ่มขึ้น ทั้ง...ที่เริ่มคิดในใจมากขึ้นเพราะสิ่งที่ฟังเอามาคิดก็ล้วนน่าเชื่อถือ ทั้งสตูที่ค่อยๆร้อนตัวเปิดความจริงออกมา ซึ่งประเด็นการชู้สาวนั้นมาจากวิธีการทางการสื่อสารสมัยใหม่ ไม่ต้องเข้าไปหาถึงตัวก็บอกรักได้ ไม่ต้องบอกความจริงว่าตัวเองอยู่ไหนก็บอกได้ และที่สำคัญไม่ต้องบอกถูกเรื่องที่เป็นความจริงก็ทำได้ ฉะนั้นไม่ว่าใครก็ต่างโทรหาใครก็ได้โดยไม่ต้องกลัวว่ามันจะผิดถ้าไม่มีใครรู้ เช่น สตูที่มีเมียแต่เมียไม่รู้ว่ากำลังหาแฟนใหม่หรือที่เราเรียกว่ากิ๊กหรือตรงตัวคงเป็นชู้ ดังนั้นสิ่งจำเป็นต่อความรักคือความซื่อสัตย์ คนร้ายในเรื่องจึงไม่ต่างกับศาลที่ดึงความจริงออกมาในสภาพคล้ายศาลเตี้ยที่หนักแน่นและกดดันยิ่งกว่าศาลจริงๆ
ถือว่าถูกใจไม่น้อยกับการเล่าเรื่องไปไวมาไวไม่มีความน่าเบื่อเลยสักนิด แต่ข้อดีดูจะมีข้อด้อยไปด้วยเกี่ยวกับมิติตัวละครที่นอกจากสตูตัวเอกของเรื่องกับแพมและสารวัตรแรมซี่ย์ (Forest Whitaker) ก็ไม่มีใครจะมีน้ำหนักบอกอะไรได้มากกว่าบทบาทที่เป็นเพียงแค่นั้นเท่านั้น แม้แต่เคลลี่ (Radha Mitchell) ภรรยาของสตูตัวจริงยังไม่ค่อยมีส่วนร่วมในหนังเท่าไหร่นอกจากมาช่วยเพิ่มแรงกดดันให้กับสตูที่ปกปิดมานาน สภาพไม่ต่างกับรถไฟชนกันที่ยิ่งทำสถานการณ์ตึงเครียด อีกอย่างหนึ่งคือความยาวของตัวหนังที่ประมาณไม่เกิน 80 นาทีที่ว่าสั้นก็สั้นแม้จะผลมาจากการเดินเรื่องเร็วและรักษากรอบไม่ให้หลุดออกนอกทะเลแต่นั้นแหละจะทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนยังไม่สุดในการรีดเอาพลังงานจากความลุ้นระทึก ถ้ากับใครที่ลุ้นหนักหน่อยอาจถือว่าครบเครื่องเพราะเนื้อหามีแค่นั้นจริงๆและคงไม่ดีถ้าปล่อยเวลาผ่านไปนานกว่านั้นทั้งที่ทั้งเรื่องมีฉากหลักเพียงฉากกับตู้โทรศัพท์ที่มี Colin Farrell แสดงอยู่ในตัวพร้อมกับแนบหูฟังแทบทั้งเรื่อง
อนึ่งยอมรับในการแสดงที่ต่างรักษามาตรฐานกันได้ดีมาก โดยเฉพาะ Colin Farrell ด้วยสีหน้ากดดัน เครียด และสิ้นหวัง นับว่าเป็นคนที่สามารถอุ้มบทบาทได้ทั้งเรื่องได้อย่างไม่ผิดหวัง อีกคนหนึ่งที่เพิ่มสีสันขึ้นมาคือ Forest Whitaker ในบทสารวัตรที่หาหนทางมาช่วยตามหาคนร้ายที่แท้จริง ตอนแรกแสดงได้ดีทำท่าสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นว่านี้มันปัญหาอะไรทำไมมีคนในตู้โทรศัพท์ทั้งที่ควรจะหนีหรือถอยห่างจากจุดเกิดเหตุที่มีคนตาย พอมาช่วงหลังก็เริ่มแสดงความเห็นแล้วว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติ คิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าไม่มีตำรวจใจเย็นๆค่อยเป็นค่อยไปคงบุกเข้าไปหาสตูตั้งนานแล้ว ยังดีที่บทฉลาดทั้งผู้ร้ายและตำรวจช่วยให้หนังลุ้นพาเอาใจช่วยอยู่เสมอจนวินาทีสุดท้ายที่สตูตัดสินบางอย่างที่เด็ดขาด เอาเป็นว่าการหยิบหนังที่ไม่ต้องมาหาคำอธิบายหรือปูพื้นตัวละครให้ฟังเยอะแยะจนน่าเบื่อ Phone Booth จะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแบบไม่ต้องมาร้องรำทำเพลงให้เสียเวลา แค่เริ่มเรื่องก็ยาวจนหนังจบเลยนะเออ
ปล.เจ้าของเสียงและตัวการไม่ใช่ใครแต่เป็น Kiefer Sutherland