Air Force One (1997)
ผ่านาทีวิกฤติกู้โลก
Director: Wolfgang Petersen
Genres: Action | Drama | Thriller
Grade: B+
จัดว่าเป็นหนังขวัญใจชาวอเมริกันทั้งหลายเลยก็ว่าได้เพราะอย่างแรกที่ชี้ชัดคือการเชิดชูผู้นำประเทศหรือประธานาธิบดีที่ได้กลิ่นอายเต็มเปี่ยมราวกับเป็นหนังของชาติไปเลยก็ไม่เชิง ซึ่งแน่นอนว่ากับชาติอื่นอาจมองหนังเรื่องนี้เป็นเพียงแอ็คชั่นเล่นสถานการณ์ที่จำกัดบนเครื่องบินแต่ก็แฝงความเป็นผู้นำที่เสมือนกับว่าเครื่องบินลำนี้ไม่ต่างกับประเทศที่มีประชาชนอาศัยอยู่ เราจะต้องเลือกว่าประเทศสำคัญมากแค่ไหนประชาชนต้องสำคัญกว่ามากเพราะประชาชนคือประเทศ ถ้าขาดประชาชนต่อให้ผู้นำเก่งแค่ไหนก็สู้ไม่ไหวเพียงเพราะตัวคนเดียว
สำหรับเรื่องนี้แฝงอุดมการณ์รักชาติเข้าเส้นแต่จะอะไรนั้นประชาชนต้องมาก่อนเสมอไม่ว่าจะตามหน้าที่หรือตามกฎหมายก็ตาม นั้นเองหลายคนจึงรักเรื่องนี้ในฐานะผู้นำที่กล้าหาญไม่หนีทิ้งคนไว้ข้างหลัง(นับเป็นแนวคิดของทหารของอเมริกันที่มักจะพาพวกพองกลับมาด้วยเสมอเพราะทุกคนต่างกล้าหาญและสมควรได้รับเกียรติกลับบ้านเช่นกัน) และคนที่เล่นไม่ใช่ใครแต่เป็น Harrison Ford ในบทประธานาธิบดีเจมส์ มาร์แชลล์ที่พึ่งเสร็จธุระจากรัสเซียมาหมาดๆจะไปทำภารกิจอย่างอื่นต่อแต่ก็โชคไม่ดีเพราะจู่ๆก็มีพวกผู้ก่อการร้ายมาซะดื้อๆ แถมมาตอนที่เครื่องบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกด้วย งานนี้เครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันที่เป็นไม้ตายก็หมดพิษสงไปทันทีเมื่อเครื่องบินที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดถูกยึดและประธานาธิบดีคือเป้าหมายต่อไปของกลุ่มผู้ก่อการร้ายนี้
พล็อตเรื่องจัดว่าง่ายเล่นกันหลักๆในเครื่องบินที่ไม่มีอะไรนอกจากไล่ล่ากันและบีบด้วยสถานการณ์กดดัน ประเด็นคือการเล่นพื้นที่จำกัดขนาดนั้นแต่กลับออกมาสนุกกว่าที่คิดไว้มากเนื่องจากลูกเล่นการวางปมหรือปัญหาพวกนี้มีมาเสิร์ฟให้ชวนลุ้นอยู่เรื่อยๆแต่อะไรนั้นคงต้องยกให้กับเนื้อเรื่องที่เขียนบทมาแน่นจนไม่ใช่แค่สไตล์แอ็คชั่นเพราะมีส่วนของทริลเลอร์ชวนระทึกขวัญไปกับเหตุการณ์ต่างๆที่ครอบคลุมถึงคนภาคพื้นดินที่กำลังพากันเครียดเมื่อเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันโดนยึดและประธานาธิบดีคนสำคัญที่สมควรจะหลุดรอดออกมาเป็นคนแรกด้วยการป้องกันขั้นฉุกเฉินที่สามารถดีดตัวออกจากเครื่องบินเพื่อเลี่ยงการโดนจับก็ดูจะไม่เป็นไปตามแผนซะนี่ เนื่องจากประธานาธิบดีดันไม่ยอมหนีเพราะไม่อยากทิ้งครอบครัวและคนอื่นๆที่ร่วมไม่ต่ำกว่า 50 ชีวิตที่กลายเป็นตัวประกันและกำลังถูกเก็บทีละคนอย่างช้าๆหากไม่รีบทำตามข้อตกลงให้ปล่อยตัวนายพลไอแวน ราเด็ค (Jurgen Prochnow) ผู้นำเผด็จการรัสเซียที่พึ่งจะโดนจับไปได้ไม่นานจากปฏิบัติการลับของอเมริกา แต่ผู้ร้ายไม่รู้หรอกในช่วงแรกว่าประธานาธิบดีที่จริงไม่ได้หนีออกจากเครื่องไปไหนแต่ซุ่มแอบอยู่ในเครื่องบินคอยจัดการแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างเงียบๆให้เร็วที่สุดก่อนที่จะถูกจับได้ว่าคนที่ตัวเองต้องการยังอยู่เครื่อง เห็นชัดว่าเนื้อเรื่องค่อนข้างเข้มข้นพอตัวที่จะไม่หวังมันส์ด้วยฉากยิงแต่หวังเอามันส์ด้วยสถานการณ์ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ทางตัวร้ายของเรื่องก็ใช่ตัวกระจอกซะเมื่อไหร่ที่ยังรู้จักคิดหน้าคิดหลังว่าทำไมประธานาธิบดีที่หนีไปจึงไม่มาแถลงการณ์อะไรเลย จะให้หายหน้าหายตาทิ้งลูกเมียไว้บนเครื่องก็กระไรอยู่
Gary Oldman มารับบทเป็นไอวาน กอร์ชูนอฟหรือผู้ก่อการร้ายตัวหัวหน้าที่ยึดเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันได้สำเร็จ ตอนแรกท่าทางเหมือนจะไม่ร้ายเท่าไหร่เพราะดูเกร็งๆไปบ้างแต่พอเอาเข้าจริงแสดงได้ดีกว่าที่คิดในบทตัวร้ายที่ร้ายจริงโหดจริงไม่มาแบบใน The Fifth Element (1997) ที่เป็นตัวร้ายท่าทางกวนๆหน่อย(โดยเฉพาะทรงผมที่ร้องโอ๊ยทำไปได้) ที่สำคัญคือยังเพิ่มมิติตัวละครนี้ด้วยการทำให้เห็นมุมมองของมิตรภาพระหว่างพวกพองที่ดูจะรักกันดีราวกับพี่น้อง ประหนึ่งว่ากำลังกัดจิกคนที่อยู่ภาคพื้นดินที่กำลังวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องประธานาธิบดีที่ต่างแย่งอำนาจฉกฉวยโอกาสในจังหวะนี้เพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเอง อย่างเรื่องที่ว่าเมื่อประธานาธิบดีถูกจับหรือตกอยู่ใต้การควบคุมของผู้ก่อการร้ายจะมีมติให้ลงชื่อเพื่อปลดอำนาจเพื่อให้ฝ่ายที่มีสิทธิ์อย่างทหารเข้ามามีบทบาทควบคุมแทนอย่างเบ็ดเสร็จ อันนี้ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งด้วยว่าอเมริกาเป็นประเทศที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับผู้ก่อการร้ายโดยเด็ดขาดโดยเฉพาะเรื่องเจรจาที่แทบไม่สนใจเลยว่าจะไม้อ่อนแค่ไหนจะโต้กลับด้วยไม้แข็งท่าเดียว นับเป็นอุดมการณ์ที่กล้าหาญและเด็ดขาดพอตัว แต่สิ่งที่ขาดไปสำหรับแนวคิดนี้คือความหวังรอโอกาสที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่สูญเสีย ซึ่ง Air Force One ได้พยายามตีโจทย์นี้ด้วยภาพลักษณ์ของผู้นำประเทศ
ฉากที่ชวนลุ้นและบีบอารมณ์คือฉากของคนฝ่ายภาคพื้นดินที่เคร่งเครียดกับสถานการณ์เร่งเร้าว่าสมควรจะทำยังไงต่อไป ถ้าปล่อยไว้ตัวประกันก็ตาย ถ้าทำตามที่ผู้ร้ายสั่งเท่ากับได้เผด็จกาจตัสโฉดกลับมา หรือจะเชื่อใจประธานาธิบดีที่ลุยเดียวบนเครื่องบินที่เต็มไปด้วยผู้ก่อการร้ายติดอาวุธ ไม่ว่าจะวิธีไหนสุดท้ายที่ทำได้คือต้องรอดูสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นต่อไปแต่จะให้รออย่างเดียวคงไม่ได้เพราะมีมาตราการฉุกเฉินอย่างอื่นที่เป็นไปตามขั้นตอนของตัวเองอยู่เวลาผู้นำอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ก่อการร้าย ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือการตัดสิทธิ์ความเป็นผู้นำเพื่อลดอำนาจสั่งการ ทว่าถ้าทำแบบนั้นจากบุคคลสำคัญจะกลายเป็นสามัญชนทั่วๆไปทันที ซึ่งนี้เป็นความกดดันที่รองประธานาธิบดีอย่างแคธรีน เบนเนทท์ (Glenn Close) ต้องแบกรับตรงจุดนี้เพราะมีเธอเพียงคนเดียวที่ยังยืนหยัดที่จะเชื่อมั่นในตัวผู้นำว่าเขาคนนั้นสามารถทำได้ ก็อย่างที่บอกว่าหนังเรื่องเชิดชูประธานาธิบดีขนาดไหนแม้แต่อารมณ์เอย ดนตรีประกอบเอย ยังได้กลิ่นอายชนชาติของชาวอเมริกันเต็มไปหมดจนเป็นหนังที่คนชาติอื่นดูอาจรู้สึกเฉยๆแต่กับอเมริกาคือหนังที่ทรงเกียรติกันเลยทีเดียว กระนั้นรองประธานาธิบดีก็โดดเด่นมากพอเหมือนกันในเรื่องที่ทำให้ผู้ชมรักตัวละครนี้ได้ ด้วยการแสดงของ Glenn Close ทำได้ดีไม่น้อยทั้งสีหน้าท่าทางที่บ่งบอกถึงภาระที่หนักหน่วง โดยเฉพาะฉากเซ็นชื่อลงมติปลดวางเจมส์ มาร์แชลล์จากตำแหน่งประธานาธิบดีเพื่อดำเนินแผนจัดการผู้ก่อการร้ายขั้นเด็ดขาดต่อไป ซึ่งเธอก็ทำท่าลังเลจะเซ็นดีไม่เซ็นดีเพราะเป็นคนสุดท้ายที่ยังไม่ลงชื่อเพราะเมื่อไรที่ลงชื่อเท่ากับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นอีกต่อไปได้อีก
นอกจากผู้นำประเทศที่ตัวหนังเชดชูอย่างสุดดิ้นแล้วยังรวมถึงความสามัคคีของชนชาติอเมริกันที่ช่วยกันจัดการผู้ก่อการร้ายโดยที่ไม่มีตัวละครไหนแสดงความงี่เง่าออกมาให้รำคาญใจเลยสักนิด การเล่าเรื่องจึงราบรื่นไม่สะดุดไปกับตัวละครใดตัวละครหนึ่งนอกจากปัญหาตามสถานการณ์ต่างๆที่หนังใส่มาเป็นระยะๆเพื่อให้ตัวละครใช้สมองแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ทันท่วงทีก่อนถูกจับได้ เรื่องของบทแม้พล็อตจะเดิมๆผู้ก่อารร้ายเข้ายึดเครื่องบินแล้วจี้ตัวประกันหาข้อเจรจาแลกเปลี่ยนแต่เนื้อเรื่องปรับแต่งได้ยิ่งใหญ่มากที่เล่นกับบุคคลระดับสูงสุดของประเทศ
กระนั้นสิ่งที่เซอร์ไพรส์ที่สุดของเรื่องคือตัวประธานาธิบดีที่มีดีมากกว่าสั่งเพราะเรื่องนี้ลุยเองทำเอง แน่นอนว่า Harrison Ford แสดงได้สมบทบาทดูเป็นเหมาะกับมาดผู้นำไม่ใช่น้อยแต่ก็ได้กลิ่นอายเป็นแบบอินเดียนาโจนส์อยู่เหมือนกันในเรื่องของทักษะและไหวพริบที่เก่งเกินกว่าจะเป็นประธานาธิบดีอย่างที่เราคุ้นเคยเก่งแค่เรื่องบริหาร ส่วนหนึ่งถ้าให้เทียบในแง่ของนัยยะแฝงแล้วตัวประธานาธิบดีคือคนที่กำลังถูกทดสอบจากประชาชนว่าเหมาะกับตำแหน่งมากแค่ไหน สปิริตจะกล้าพอหรือเปล่า ตลอดจนไหวพริบปฎิภาณมีมากน้อยเพียงใด ก็ดูแล้วถ้ามีผู้นำแบบนี้เชื่อว่าคนทั้งประเทศจะต้องรักมากมายแน่นอนเพราะผู้นำคนหนีมีโอกาสหนีแต่ไม่หนีเพราะคนในเครื่องบินสำคัญกว่าไม่ว่าจะครอบครัวหรือคนรอบข้างก็ตาม เนื่องจากทุกคนคือประชาชนและประชาชนต้องได้รับการดูแล
Air Force One ดำเนินเรื่องได้มันส์พอสมควรที่รู้จักพอดีกับเรื่องแอ็คชั่นที่ไม่มากไปหรือน้อยเกินไปเพื่อให้เหตุการณ์แต่ละช่วงออกมามีเหตุผลของมันเอง(เพราะถ้ายิงกันอย่างเดียวเรื่องคงจบไปนานแล้วเพราะทั้งเรื่องก็วนเวียนอยู่ในเครื่องบินนี่แหละ) ที่ชอบคือรู้จักวางแผนไม่ว่าจะหลอกล่อเบี่ยงเบนความสนใจ การทิ้งน้ำมันเครื่องเพื่อบังคับให้จอด การวางพล็อตแต่ละอย่างดูเข้ากันได้ดีจนไม่รู้สึกเบื่อหรือล้นเกินไปแต่กำลังดีในสไตล์ทริลเลอร์ชวนระทึกที่อิงเอาสถานการณ์เป็นใหญ่ ดังนั้นใครหวังได้แอ็คชั่นยิงกันสนั่นจออาจผิดหวังไปบ้างเพราะไม่เน้นยิงแต่เน้นไหวพริบ นับว่าสนุกตลอดเวลาแต่อาจเสียไปบ้างในบางจุดที่ยังแอบมีเบื่อไปบ้างที่ยังเล่าเรื่องยาวไปหน่อย ถ้าให้เทียบกับเรื่องอื่นๆกับหนังกดดันที่ใช้พื้นที่จำกัด เรื่องนี้แหละที่ทำได้มันส์จริงๆและลุ้นตลอดเวลาว่าจะทำยังไงดีที่จะจัดการผู้ก่อการร้ายและยึดเครื่องบินกลับขึ้นมาได้ด้วยตัวคนเดียว ทีเด็ดจริงเรื่องนี้ต้องแนะนำกับคอแอ็คชั่น-ทริลเลอร์ที่หนักหน่วงกับการบีบตัวละคร และอีกอย่างคือการเล่าเรื่องเป็นไปอย่างต่อเนื่องจนเกือบ Non-Stop เสียด้วยซ้ำโดยอย่างยิ่งไคล์แม็กซ์ที่เหมือนจะจบแต่ปัญหายังมีอยู่และต้องลุยกับปัญหาอย่างไม่ยอมแพ้