Captain Phillips (2013) กัปตันฟิลลิป ฝ่านาทีพิฆาตโจรสลัดระทึกโลก

Captain Phillips (2013)
กัปตันฟิลลิป ฝ่านาทีพิฆาตโจรสลัดระทึกโลก
Director: Paul Greengrass
Genres: Adventure | Biography | Crime | Drama | Thriller

พอเห็นชื่อผู้กำกับก็นับว่าการันตีเรื่องจังหวะการเล่าเรื่องไปได้หนึ่งอย่างเลยว่าต้องระทึกและฉับไวด้วยแน่ๆ ซึ่งตัวอย่างมาจากผลงานก่อนหน้านี้อย่าง The Bourne Supremacy (2004),The Bourne Ultimatum (2007) และ United 93 (2006) ที่เน้นหนักความสมจริงสมจังด้วยการเล่าเรื่องให้ออกมาชวนระทึกอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อนผสมกับการตัดต่อที่ว่องไวจนเป็นเครื่องหมายเป็นเอกลักษณ์ของผู้กำกับคนนี้ แต่ที่น่าสนใจคือสร้างมาจากเรื่องจริงในปี 2009 เมื่อเรือบรรทุกสินค้า Maersk Alabama ถูกโจรสลัดโซมาเลียบุกยึดพร้อมจับกัปตันและลูกเรือเป็นตัวประกันจนกลายมาเป็นข่าวดังไปทั่วโลก และที่สำคัญคือเป็นเรือสัญชาติอเมริกันลำแรกในรอบ 200 ปีที่ถูกยึดได้ แต่ที่น่าสนใจคือพล็อตเรื่องจะมาแนวไหนกันแน่เพราะเมื่อลองมองดีๆจะไม่ต่างกับหนังดราม่าที่มีโจรมาบุกก่อนจะลงเอยด้วยความทรมานจากการเป็นเชลยซึ่งมันคงจะเป็นอะไรที่เศร้าแน่ๆ ทว่าเมื่อรู้มือผู้กำกับสิ่งที่เกิดจะไม่มีอารมณ์ดราม่าจนกว่าเรื่องจะจบเพราะก่อนหน้านั้นจะต้องเป็นสายแอ็คชั่นลุ้นระทึกเสียก่อน และผลลัพธ์ก็ระทึกจริงๆด้วย


เรื่องก็ว่าตามเหตุการณ์จริงเกี่ยวกับกัปตันริชาร์ด ฟิลลิป (Tom Hanks) ที่ท่องเรือกลางมหาสมุทรเพื่อส่งสินค้าตามหน้าที่ แต่หนนี้จะต้องตึงเครียดเป็นพิเศษเพราะการส่งสินค้าครั้งนี้จำต้องผ่านน่านน้ำอันตายอยู่หลายแห่งโดยเฉพาะน่านโซมาเลียที่เสี่ยงต่อการเจอโจรสลัดได้ง่าย สำหรับตัวหนังการดำเนินเรื่องแรกๆเหมือนจะค่อยเป็นค่อยไปเริ่มตั้งแต่กัปตันริชาร์ดออกจากบ้านตลอดจนไปถึงท่าเรือแสดงถึงความปกติเช่นทุกวันว่านี้คืองานที่เขาทำมันเป็นเรื่องธรรมดา หลังจากที่ไปถึงท่าเรือและขึ้นเรือได้สักระยะหนึ่งตัวหนังก็เริ่มทำให้ผู้ชมเห็นจุดมุมต่างๆของเรือด้วยการทำให้เห็นรายละเอียดเล็กๆอย่างประตูที่ไม่ได้ล็อคจนมาถึงห้องสั่งการที่มีคนคุมตำแหน่งสำคัญๆอย่างต้นหน (Michael Chernus) ที่รับคำสั่งรองลงมาจากกัปตัน ตอนนี้หนังยังไม่มีอะไรมากจนกระทั่งได้ออกน่านน้ำไปได้ระยะหนึ่งพร้อมตัดสลับฉากไปที่กลุ่มคนโซมาเลียที่เตรียมหาคนออกไปปล้น ซึ่งจากสภาพทำให้เราเห็นการอยู่ที่ยากลำบากและวุ่นวาย หลังจากนั้นจึงสลับฉากไปมาระหว่างสองฝั่งจนกระทั่งเมื่อกัปตันริชาร์ดขอให้ลูกเรือซ้อมปฏิบัติการเสมือนเจอเรือโจรสลัด ประเด็นคือทำไมต้องมาฝึกซ้อมเพราะบางทีการส่งของก็ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนนักในขณะเดียวการซ้อมคือเรื่องปกติที่ต้องมั่นฝึกเพื่อรับมือกับสถานการณ์จริง ซึ่งกัปตันริชาร์ดมีความคิดไปทางกรณีหลังมากกว่าเพราะเขารู้รายละเอียดเกี่ยวกับน่านน้ำโซมาเลียหลังจากลองสืบหาข้อมูลท้องถิ่นดูว่ามีอะไรที่ควรจะป้องกันตัวบ้างหรือเปล่า แต่นั่นแหละคือความกังวลของกัปตันริชาร์ดที่พะวงกับเรือแปลกหน้าที่อาจจะเจอได้ทุกขณะ ดังนั้นเขาจึงอยากให้ลูกเรือทุกคนรวมถึงตัวเขาพร้อมกับสถานการณ์แม้หลายคนจะไม่พร้อมก็ตาม และจนกระทั่งได้เจอจริงๆกับเรือปริศนาพร้อมกับโจรโซมาเลีย 4 คนพร้อมปืนที่ข่มขู่จะยึดเรือให้ได้

Barkhad Abdi เป็นหนึ่งในโจรโซมาเลียที่เล่นได้โดดเด่นที่สุดในกลุ่มจนกลายเป็นคนที่แยกซีนได้ทุกระยะที่ปล่อยบทพูดออกมาประหนึ่งเป็นเจ้าคมคายที่กัดชาวอเมริกันเพราะการใช้ชีวิตที่เห็นแก่ได้ อาทิบทสนทนาระหว่างกัปตันริชาร์ดที่หลุดปากคล้ายตั้งใจบอกว่าตัวเองคือชาวประมง ประเด็นจะอยู่หลังจากคำพูดนี้คือการทำมาหากินของชาวโซมาเลียที่ขึ้นอยู่กับอาชีพซึ่งในที่นี่คือการจับปลาหรือชาวประมงนั้นเอง แล้วถ้าเป็นชาวประมงทำไมต้องพลันมาเป็นโจรด้วยล่ะ


สาเหตุนั้นมาจากการโทษชาวอเมริกันที่จับปลาของพวกเขาหมดไปจนไม่สามารถประทังชีวิตเช่นก่อนๆได้อย่างสุขสบาย มิหนำซ้ำยังพูดกระทบเกี่ยวกับนายทุนที่เสนอยืนมือมาจัดการโน้นจัดการนี้จนลืมคนชนบทพื้นบ้านแถวนั้นไปว่าพวกเขาจะอยู่กันได้หรือไม่ นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งของการตัดสินมาเป็นโจรเพื่อชาวโซมาเลียด้วยกันให้สามารถอยู่ได้อย่างสบายเช่นชาวอมเริกันที่มีชีวิตอิสระอันแสนสะดวกสบาย แต่อย่างว่าหนังอาจจะด้อยไปบ้างเรื่องประเด็นนี้พอสมควร เพราะเริ่มเรื่องเราไม่อาจหาแรงจูงใจที่พาให้ต้องทำได้ว่าเพราะอะไรกันแน่นอกจากต้องออกปล้น ส่วนจะปล้นเพื่ออะไรยึดทำไมประเด็นนี้ยังเลื่อนลอยไปหน่อยจะหาคำตอบได้คงเอาจากบทสนทนาที่คัดกรองแล้วมาพิจารณาถึงจะเข้าใจหักอกในการเป็นโจรโซมาเลียที่ต้องการยึดเรือไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่เพื่อชาวโซมาเลียด้วยกัน

คงเป็นเพราะ Barkhad Abdi เป็นชาวโซมาเลียอยู่ก่อนแล้วด้วยทำให้บทดูสมจริงทุกระเบียบนิ้วตั้งแต่ท่าทางตลอดจนสีหน้าและรูปร่างที่ผอมเป็นกุ้งแห้งแสดงถึงความอดอยาก กระนั้นยังมีที่เหลืออีกสามคนที่อาจบทจะน้อยกว่าแต่ก็สร้างความน่าจดจำได้ในหลายๆช่วงอย่าง Barkhad Abdirahman ที่เล่นด้วยอารมณ์โกธาตลอดทั้งเรื่องกลายเป็นอีกคาแรกเตอร์ที่สะดุดตาผู้ชมด้วยความใจร้อนและมักจับผิดกัปตันริชาร์ดอยู่บ่อยครั้ง ยังมี Faysal Ahmed กับ Mahat M. Ali ที่เล่นเป็นโจรโซมาเลียเช่นกันแต่บทอาจจะไม่เด่นอะไรนักแต่ถือว่าทำประโยชน์กับเนื้อเรื่องได้อย่างดีด้วยการทำให้ตัวละครเหล่านี้มีบทบาทและหน้าที่ที่เรียกว่าขาดไม่ได้เลย แต่เรื่องจริงจะเป็นแบบไหนนั้นไม่ขอเอ่ยที่รู้คือการวางตัวละครทำได้เข้ากับจังหวะมากๆกับดนตรีที่กระแทกใจผู้ชมให้ลุ้นไปตลอดทั้งเรื่องแม้ว่าความจริงตลอดระยะเวลาทั้งเรื่องนั้นจะอยู่แค่ในเรือกับนอกเรือที่เป็นฝั่งของทหาร


ถ้าพูดถึงฝ่ายทหารแม้ความสำคัญจะน้อยที่สุดแต่การวางให้ค่อยมีบทบาทมากขึ้นทีละหน่อยทำให้ทุกอย่างดูสมจริงคล้ายเกาะติดสถานการณ์ไปด้วยราวกับผู้ชมคือหนึ่งในคนที่ถูกจับ เพราะคนที่ถูกจับจะไม่มีทางรู้เรื่องภายนอกอะไรเลยและผู้ชมก็รู้เกี่ยวกับทหารน้อยมากจนกระทั่งเราเห็นปฏิบัติการที่เอาจริงเอาจังมากขึ้นด้วยการส่งนาวิกโยธินมาลงมือแก้เหตุการณ์ดังกล่าว สิ่งแรกที่ตัวเองรู้สึกคือเหล่านาวิกจะมีแผนรับมือยังไงกับสถานการณ์เช่นนี้ อย่างที่สองจะใช้วิธีไม้แข็งหรือไม้อ่อน ซึ่งคงไม่พ้นการเจรจาเป็นสิ่งสำคัญ ทว่าจากน้ำเสียงของกัปตันริชาร์ดดูจะห่วงใยโจรโซมาเลียไม่ใช่น้อย ไม่ใช่เพื่อเกลี้ยกล่อมให้มอบตัวแต่กำลังจะบอกว่านาวิกของอเริกามีจุดแตกต่างจากที่อื่นคือการเอาจริงที่แสนเด็ดขาดซึ่งจะเห็นชัดจากการกระทำครั้งสุดท้ายว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร สำหรับอเมริกาแล้วมักจะไม่เจรจาต่อรองกับผู้ก่อการร้ายซึ่งรวมถึง ณ ขณะนั้นเช่นกัน

จะว่าอีกอย่างหนึ่งก็คือการอยู่อาศัย ซึ่งอย่างที่บอกว่าแตกต่างกันอยู่แล้วจากอีกฝั่งมีกินกับอีกฝั่งที่อดอยากด้วยบทพูดหนึ่งของกัปตันริชาร์ดที่บอกถึงโจรโซมาเลียในเรือทุ่นลอยน้ำในเชิงอยากให้โลกนี้มีอย่างอื่นให้ทำอีกเยอะนอกจากจับปลาและเรียกค่าไถ่เสมือเป็นการเสียดสีถึงโจรโซมาเลียที่ไม่รู้จักหาอาชีพที่สุจริตอย่างอื่นทำ ในขณะเดียวกันโจรโซมาเลียก็ตอบคล้ายกับว่าที่นี้แตกต่างจากอเมริกาถ้าจะมีอย่างอื่นให้ทำคงมีแต่กับอเมริกา เพราะกับที่นี้เราไม่ได้สะดวกสบายเหมือนกัน เราต่างต้องดิ้นรนเลี้ยงชีพยิ่งกว่ามากและบางครั้งต้องแลกด้วยเกียรติของความซื่อสัตย์ออกไป น่าเสียดายที่ประเด็นนี้ดูจะหายไปเหลือแค่คำพูดส่งถึงหูผู้ชมให้ไตร่ตรองกันเอาเองจากสภาพที่เป็น แต่ไม่ปฏิเสธสำหรับหนังที่สร้างจากเหตุการณ์จริงที่มักจะไม่สามารถทำอะไรไปได้มากกว่าในกรอบที่มีอยู่ในหลักความเป็นจริงต้องอยู่กับสถานการณ์เฉพาะ สมจริง และสิ่งสำคัญคือความน่าตื่นเต้นที่ไม่มีใช่จะเกิดทุกเวลาหรอกนะ ดังนั้นตัวหนังจึงมีแต่ฉากเรือทั้งเรื่องเป็นส่วนใหญ่จะเห็นแต่มหาสมุทรซะมาก ขณะเดียวกันในภาวะตึงเครียดกลับช่วยทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายมาบ้างไม่ชวนให้เครียดจนปรอทแตกแค่รู้สึกอึดอัดในที่ๆสบาย


สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในตัวผู้กำกับ Paul Greengrass คือการทำให้หนังสมจริงมากที่สุด และดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นอย่างเต็มที่เพราะตลอดทั้งเรื่องตัวหนังไม่ได้เข้าข้างฝ่ายไหนเลยสักนิดเพียงแค่ถ่ายทอดสิ่งที่ตัวละครนั้นกำลังประสบเจอ แม้ทั้งเรื่องจะนำเสนอเพียงแค่มิติด้านเดียวกับเรื่องยึดเรือแต่การใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆดูจะคุ้มค่าเสียเหลือเกินที่ไม่ทำให้หนังดูเบื่อได้ แม้ข้อเสียต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าการอิงจากเหตุการณ์จริงมันไม่น่าอรรถรสไปทุกวินาที จัดว่าคุ้มและสนุกพอตัวกันเลยทีเดียวสำหรับทริลเลอร์เรื่องนี้ที่ทำให้สถานการณ์ที่ดูจะบอบางกลายเป็นความหนักแน่นที่เข้มข้นได้ตั้งแต่เริ่มเหตุการณ์หนีเรือโจรโซมาเลียจนกระทั่งยึดเรือและลงเรือ จะว่าทั้งเรื่องก็มีแต่เรืออ่ะนะแต่คุ้มเรื่องได้ดีจริงๆดูแล้วยังซีเรียสตามตัวละครในภาวะกดดันได้เลย ที่น่าสนใจคือ Tom Hanks ที่โชว์พลังการแสดงได้เยี่ยมมากแม้ว่าทั้งเรื่องจะยังไม่มีความเด่นมากนักแต่เมื่อถึงช่วงนาทีสุดท้ายของหนังจะเป็นการแสดงที่ดีปลดลิมิตกันเลยทีเดียวเชียว จัดว่าคุ้มในแง่ความสมจริงและการววางจังหวะได้ระทึกตื่นเต้นชวนลุ้นอย่างต่อเนื่องอาจมีเหนื่อยไปบ้างตามเหตุการณ์ที่บางจุดไม่มีอะไรให้เล่า โดยรวมคือหนังระทึกขวัญที่หนักแน่นและซีเรียสได้สมจริงที่สุดเรื่องหนึ่ง ที่สำคัญคือการวางบทสรุปที่จริงจังจนผู้ชมเองยังตามไม่ทันเนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วและจริงจังเกินหนังน่ะสิ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)