Gremlins 2: The New Batch (1990) เกรมลินส์ 2 ปีศาจถล่มเมือง

Gremlins 2: The New Batch (1990)
เกรมลินส์ 2 ปีศาจถล่มเมือง
Director: Joe Dante
Genres: Comedy | Fantasy | Horror

สงสัยจะป่วนไม่พอเพราะคราวนี้กะจัดเต็มให้วายวอดไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว แต่อะไรนั้นคงไม่เท่ากับการสานต่อที่ต้องบอกว่ากะเอาฮามากกว่าชวนเป็นหนังสยองขวัญเสียอีก ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ความวุ่นวายจะมากขึ้น ชุลมุนยิ่งขึ้น และเซอร์ไพรส์ด้วยทีเด็ดยิ่งกว่าหนังตลกล้อเลียน Scary Movie ที่รวมหนังทีละนิดทีละหน่อยเป็นเรื่องเดียวกันอย่างงงๆที่ไม่รู้อัดไปได้ไง แต่กับ Gremlins 2: The New Batch อาจไม่เชิงว่าจะตั้งใจล้อเลียนไปซะทั้งหมดหากจะเป็นสะกิดต่อมชวนคิด โดยเฉพาะการแซวหนังแนวๆนี้ในทำนองที่หักเหยิ่งขึ้นแบบที่ภาคแรกได้ทำเอาไว้ด้วยการทำให้ทุกอย่างดูสดใหม่เกินกว่าหนังสัตว์โลกหน้ารักธรรมดาสมควรจะเป็นไม่ว่าจะตัวละครที่ทันต่อสถานการณ์ การเล่นในพื้นที่จำกัดแต่ใช้การอาละวาดได้อย่างทั่วถึง มุขที่ใส่มาถูกจังหวะจนไม่จัดว่าเกินหน้าเกินตากลายเป็นแนวตลกบ้าๆบอๆ และที่สำคัญสุดจนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำหนังเรื่องนี้ที่ทำให้ผู้ชมรู้ทันทีว่านี้แหละคือหนัง Gremlins คือกฎ 3 ข้อที่เป็นข้อห้ามทั้งหมด ไล่มาตั้งแต่ข้อแรกที่กล่าวเอาไว้อย่าให้โดนแสงเด็ดขาดเพราะจะฆ่ามันได้ ข้อที่สองอย่าให้โดนน้ำ และข้อสุดท้ายที่กลายเป็นหายนะถ้ารักษากฎไม่ได้ คืออย่าให้อาหารหลังเที่ยงคืนไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ซึ่งอีหรอบเดิมคือกฎเหล่านี้รักษาไม่ได้และหายนะความซวยก็มาถึง


ข้อสังเกตจากภาคแรกคือความรับผิดชอบที่มากขึ้นจากงานที่ไม่ใหญ่นักในธนาคารมาเป็นงานบริษัทของบิลลี่ พัลท์เซอร์ (Zach Galligan) ที่แสดงออกถึงความรับผิดชอบมากขึ้นกว่าก่อน ประการแรกคือการเข้างานที่ไม่ใช่ใกล้บ้านอย่างก่อนๆที่จะตื่นไม่เร็วนักก็ยังทัน การเดินทางที่มากผู้คนแย่งกันไปตามที่ต่างๆอย่างรีบเร่ง และด้วยความที่เป็นบริษัทต้องรู้จักหาความโดดเด่นของตัวเองเพื่อไต่ตำแหน่งตัวเองในวันข้างหน้า ซึ่งเหมือนบิลลี่จะถูกชะตากับแดเนี่ยล คลัมพ์ (John Glover) เจ้าของบริษัทที่ชื่นชอบผลงานล่าสุดของเขาอย่างมาก แต่ความรับผิดชอบนี้ไม่ใช่แค่เรื่องงานเพราะตัวหนังได้แฝงถึงการมีความรักที่วัยทำงานที่จะสอดคล้องกับฐานะมาด้วย เสมือนกับว่าต้องการจิกเรื่องการคบหากันด้วยตำแหน่งการงานมากกว่าจะรักกันจริงๆด้วยใจ แน่นอนว่าตัวละครที่ยังมีมาในภาคแรกอย่างเคท เบอริงเจอร์ (Phoebe Cates) คนรักของบิลลี่ก็มาด้วยเช่นกัน โดยมาเช่นเดียวกับกับบิลลี่ในวัยทำงานที่ทำงานอยู่บริษัทเดียวกัน ที่แตกต่างคือตำแหน่งที่อีกคนนั่งโต๊ะกับอีกคนเป็นทัวร์พาชมภายในตึก สิ่งหนึ่งที่ตัวเองรู้สึกได้อย่างมากคือความรักระหว่างบิลลี่กับเคทที่เป็นไปอย่างน่ารัก ไม่ออกแนวตามประสาวัยรุ่นฉบับหนังสยองขวัญที่หาแก่นความรักไม่ได้เพราะลงเอยกันด้วยเซ็กซ์ประจำ แต่กับเรื่องนี้ไม่มีมุมมองเช่นนั้นเลยสักนิดเดียวแถมยังให้ความรู้สึกน่ารักปนตลกตลอดเรื่องราวกับเด็กที่ฉลาด

ข้อเสียนิดนึงคือพล็อตเรื่องขาดความน่าเชื่อไปหน่อยในช่วงแรกๆที่เป็นการพบกันอย่างบังเอิญระหว่างบิลลี่กับม็อกไกวหรืออีกชื่อหนึ่งว่ากิสโม่นั้นแหละ และด้วยความบังเอิญนี้แหละที่ทำให้เราคิดว่าเป็นความจงใจที่ผิดจากภาคแรกที่เจอม็อกไกวในร้านขายของเก่าและแอบซื้อต่อมาอีกทีในขณะที่ภาคนี้หลังจากจบเหตุการณ์ในภาคแรกก็มีมิสเตอร์หวิง (Keye Luke) มาเอาตัวม็อกไกวกลับไป ซึ่งมิสเตอร์หวิงก็จบชีวิตลงด้วยความแก่ชราปล่อยให้ที่ดินตรงนั้นถูกเจ้าของบริษัทอย่างแดเนี่ยล คลัมพ์ซื้อไป ผลคือม็อกไกวที่ไร้คนเลี้ยงก็ถูกคนในบริษัทจับไปเพื่อทำการทดลองโดยมีหัวหน้าของงานคือดร.คัทธ์เลอร์ (Christopher Lee) นักวิทยาศาสตร์ที่ชื่นชอบการทดลองสิ่งแปลกประหลาด(แปลกไม่แปลกก็ดูเอาล่ะกันว่าขนาดพวกเกรมลินส์ยังชอบเลย) และสุดท้ายเรื่องก็ลงเอยด้วยการที่บริษัทที่จับม็อกไกวไปนั้นคือที่ทำงานของบิลลี่ที่รู้สึกคุ้นในเสียงเพลงประจำตัวของม็อกไกวที่ร้องออกมาจนได้เจอกันในที่สุด โดยส่วนตัวอารมณ์ตอนเจอกันดูรวบรัดเกินไปหน่อยไม่เหมือนจะห่างเหินกันนานเลย จึงรู้สึกห้วนๆไปนิดไม่แปลกตาอัศจรรย์ใจเช่นภาคแรกที่ทำได้น่ารักเอ็นดู กระนั้นเรายังได้ความน่ารักแบบกัดๆด้วยการดูทีวีก่อนจะโดนมิสเตอร์หวิงบ่นเรื่องทีวีว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เชื่อเหอะว่าหลังจากบิลลี่เจอตัวม็อกไกวเท่านั้นแหละเรื่องเซอร์ไพรส์ก็ไม่วายเกิดขึ้นจนได้


ข้อดีที่ดีที่สุดคือความสนุกแบบ Non-Stop ตั้งแต่บิลลี่เจอตัวม็อกไกวตามด้วยโดนน้ำที่ไม่ต้องอธิบายว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แน่นอนว่าเกรมลินส์เกิดขึ้นจนได้และคราวนี้แสบกว่าเก่ามากและจำนวนก็มากตั้งแต่แรกๆจนไม่รู้จะตามจำกัดได้อย่างไร ทว่าตัวหนังได้จำกัดสถานที่ไปนิดกับพวกเกรมลินส์ให้อยู่แต่ในบริษัทใหญ่ยักษ์ ไม่ได้ออกมาป่วนทำลายข้าวของแบบภาคแรกที่เอาชาวบ้านพากันวุ่นวายไปแถบๆ แต่ลองนึกสภาพเกรมลินส์หลุดออกมาอยู่เมืองอย่างนิวยอร์คคงไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์เท่าไรหรอกนะ เพราะอาจได้พังกันทั้งเมืองแน่ๆ นอกจากความต่อเนื่องของหนังแล้วคงไม่พ้นอย่างที่บอกคร่าวๆในเรื่องของการกัดจิกที่มากลูกเล่นลูกคอจนไม่รู้จะว่ายังไงแล้วโดยเฉพาะกับคนที่ดูหนังมามากพอจะเห็นพวกสัญลักษณ์เอย ความคุ้นเคยเอย ตลอดจนความบ้าที่ใส่เข้ามาจนเข้าใจในมุขเมื่อไรต้องฮาขึ้นมาทันที อย่างการแซวแบทแมนด้วยนำสัญลักษณ์ค้างคาวมาใช้ในตอนที่เกรมลินส์บินทะลุออกนอกตึกหรือจะการนำความกล้าหาญแบบแรมโบ้ที่ปรากฎในภาคสองที่มีจุดที่ผู้ชมจำได้คือการใช้ผ้าแดงมาพาดหัวกับอาวุธธนูคู่ใจ และอีกเยอะที่ทำให้เราคุ้นเคยตลอดทั้งเรื่องอย่างไม่หยุดหย่อน แต่เชื่อไหมสิ่งที่ทำให้ภาคนี้พิเศษกว่าภาคแรกคือความบ้าที่กล้ายิ่งว่ากล้า เรื่องมีอยู่ว่าเกรมลินส์ไปบุกห้องทดลองและเกิดความอยากลองกับสารเคมีในห้อง ผลคือสารพัดเกรมลินส์หลากสายพันธุ์ ไม่ว่าจะพูดภาษาคนได้ กลายร่างเป็นสไปเดอร์พ่นใยได้ เป็นค้างคาวมีปีกงอก ที่แหวกแนวคือกลายเป็นพลังงานไฟฟ้ายังได้ด้วย พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าอะไรที่คอหนังสยองขวัญยังรู้สึกได้ในภาคแรกมันไม่มีเหลืออยู่เลยสักนิด อันนี้ตลกร้ายของแท้และแน่มาก ทว่าสิ่งที่ทำให้ผู้ชมเหวอมากที่สุดถ้ายังเข้าใจในมุขนี้ คือมุขฟิล์มขาดที่ตั้งใจเอามาหยอกผู้ชมในเชิงหนังซ้อนหนังที่ฮาอย่างมากเมื่อมีชายร่างล้ำยืนขึ้นมาตะโกนด่าเกรมลินส์พร้อมกับฉีกเสื้อเป็นของแถมโชว์ เขาคือ Hulk Hogan นักมวยปล้ำจาก WWE ไงล่ะ


Gremlins 2: The New Batch แน่นอนยังแฝงประเด็นความรับผิดชอบแบบภาคแรกไม่ทิ้งทวนไปไหนแต่อาจจะไม่ชัดเจนมากนักเพราะมุ่งเน้นไปแก้ปัญหามากกว่า แต่อะไรไม่เท่ากับที่เนื้อหาของภาคนี้เน้นความผ่อนคลายแก่ผู้ชมเสียมากกว่า ประการแรกคือไม่มีอารมณ์ความสยองที่ภาคแรกยังเนียนๆมีอยู่บ้างเพื่อบอกว่าเกรมลินส์คือสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวและอันตราย ในขณะที่ภาคสองออกแนวสร้างความหายนะและการป่วนทำลายข้าวของผสมความฮาไปด้วย จึงเป็นข้อแตกต่างตรงที่อันหนึ่งเอาจริงอันหนึ่งเอาเล่นๆ ประการที่สองเกี่ยวกับความรักระหว่างบิลลี่กับเคทที่ตัวหนังตั้งใจพิสูจน์ความสัมพันธ์ในจุดนี้ผ่านการกัดจิกผู้คนระหว่างตำแหน่งกับคนรัก ประการที่สามเกี่ยวกับเกรมลินส์ที่ทำหลายอย่างหลายอย่างเพื่อล้อเลียนคนอย่างเราๆด้วยการแต่งกาย ท่าทาง รวมถึงค่านิยม น่าเสียดายที่เนื้อหาไม่มีความหนักแน่นมากนักเพราะกะเอาตลกซึ่งประสบความสำเร็จไม่มีจุดเบื่อเลยสักนิด ในจุดนี้เป็นเรื่องที่ดีเพราะอย่างน้อยก็ไม่ได้เล่นมุขอะไรที่ซ้ำซากแต่มีอะไรใหม่ๆเสมอ

แม้ประเด็นของหนังจะเบากว่าภาคแรกบสกกับตัวละครที่ดูจะเยอะขึ้นมาหน่อยจนมีบางช่วงเหมือนตัวละครจะหายไปเลย แต่ความสนุกเป็นอะไรที่โดยส่วนตัวค่อนข้างชอบกว่าภาคแรกในแง่ลูกบ้า ถ้าจะเอาความคลาสสิคคงต้องตอบภาคแรกที่ทำได้สมดุลดีไม่มีอะไรที่เน้นมากเกินไปแบบภาคสองจนคอหนังสยองขวัญไม่ค่อยชอบเนื่องจากบางทีมันดูไม่จริงจังและดุดันพอ ส่วนพวกเทคนิคอะไรพวกนี้ไม่ต้องพูดถึงเพราะพิสูจน์กันแล้วว่าภาคแรกทำได้เนียนแค่ไหนภาคนี้ยังคงสร้างม็อกไกวกับเกรมลินส์ได้เนียนไม่ต่างกัน แต่ชอบจริงๆที่ได้เห็นเกรมลินส์สร้างความวุ่นวายที่เรียกว่าชุลมุนดีแท้

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)