Scanners (1981) สแกนเนอร์ หัวหลุดหยุดไม่ได้

Scanners (1981) | สแกนเนอร์ หัวหลุดหยุดไม่ได้
Director: David Cronenberg
Genres: Horror | Sci-Fi | Thriller
Grade: B

กับหนังเรื่องนี้ต้องบอกก่อนเลยว่าถ้าชอบก็ชอบ แต่ถ้าไม่ชอบจะรู้สึกเฉยๆกับเรื่องนี้ โดยส่วนตัวรู้สึกกลางๆว่ามีทั้งชอบและนิ่งในบางช่วง ถ้ามองโดยรวมจริงๆมันค่อนข้างจะสนุกเลยแหละกับสไตล์พลังจิตที่เรียกว่าสแกนเนอร์อะไรทำนองนี้ อีกทั้งหนังยังมีอารมณ์บรรยากาศแบบหม่นๆชวนเข้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยความดาร์คยังไงชอบกล แต่ไม่ได้แปลว่าจะออกมาดูมืดเต็มไปด้วยฉากกลางคืนเพียงอารมณ์มันสื่อได้ทางเข้มข้นเสียมากกว่า และเจ้าความเข้มข้นนี่แหละที่ทำให้หนังสนุกในแบบของตัวเอง ซึ่งอันนี้เป็นผลงานอีกครั้งของผู้กำกับ David Cronenberg ที่โดยส่วนตัวออกจะชอบสไตล์ของบรรยากาศพอสมควรเพราะดูหนักแน่นไม่สดใสหรือให้ความหวังในแบบพระเอกชนะใสๆหรือตัวร้ายพลาดง่ายๆ คือจะว่าตัวฝั่งพระเอกก็ไม่ได้เป็นอะไรที่อยู่โทนขาวเสมอไปเพราะบางครั้งบางช่วงเราจะดูออกเลยว่ามีเล่ห์เหลี่ยมในตัวไม่แพ้กันและพร้อมจะทำในแบบที่ตัวร้ายทำได้อยู่เสมอเพื่อเอาชัย ก็อย่างว่าตามสไตล์ที่มืดหม่นไม่มีความชัดเจนนอกจากบอกได้ว่านี้คือคนที่ยังมีส่วนที่ดีกับไม่ดี ในขณะที่ Scanners บ่งบอกชัดมากในทางด้านพฤติกรรมที่ต่อให้ไม่ตั้งใจก็ถึงกับฆ่าคนตายได้ เจ้าความไม่ตั้งใจนี่แหละที่ทำให้คิดได้ว่าถ้าเกิดแกล้งทำเป็นไม่ตั้งใจจะเป็นยังไงล่ะ


บทร่างแรกใช้ชื่อว่า Telepathy 2000 ต่อมาก็เปลี่ยนเป็น Scanners เพราะอย่างน้อยนี่ก็ไม่ใช่หนังไซไฟที่เต็มไปด้วยฉากความล้ำสมัยแต่อย่างใดหากคือฉากวิวัฒนการของมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนมีพลังจิตควบคุมผ่านทางความคิด ทว่ามีข้อเสียคือยังไม่อาจควบคุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์จนเกิดมีปัญหากับคนที่มีพลังพิเศษนี้ที่ดูเหมือนจะเป็นภัยคุกคามเสียมากกว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเนื่องจากยังขาดทักษะการควบคุมพลังจนพลั้งมือลงมือฆ่าคนอื่นๆอย่างไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับคาเมรอน เวล (Stephen Lack) ซึ่งโดนจับกุมตัวโดยองค์กรที่ชื่อ ConSec ที่ดูเหมือนจ้องจะจับเขามานานแล้วแต่ยังไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้จนกระทั่งในวันที่อาการกำเริบ ซึ่งผลก็คือคาเมรอนใช้พลังจิตของตัวเองไปเล่นงานคนในห้างอย่างไม่ตั้งใจเพราะควบคุมไม่ได้ที่รู้สึกทรมาน กระนั้นก็มีหัวหน้าโครงการดังกล่าวก็คือ ดร.พอล รูธ (Patrick McGoohan) เข้ามายื่นข้อเสนอที่จะช่วยให้รู้จักใช้พลังนี้ได้อย่างถูกวิธีโดยไม่ต้องไปทำร้ายใครในตามแบบสแกนเนอร์จริงๆ ทว่าก็มีข้อแลกเปลี่ยนคือต้องทำงานร่วมมือในฐานะสายลับคนหนึ่งเพื่อต่อต้านกับสแกนเนอร์ที่คิดจะยึดครองประเทศ และคนนั้นคือดารีล เรว็อค (Michael Ironside) ที่มีพลังจิตเช่นเดียวกับคาเมรอนแต่กล้าแกร่งกว่า ชำนาญกว่า และมีอิทธิพลแฝงตามที่ต่างๆที่ถูกควบคุมประหนึ่งซอมบี้ที่รับใช้จัดการได้ทุกเรื่อง 


ผิวเผินแล้วหนังลงตัวกับขนบสูตรสำเร็จพอสมควรที่จะว่าพระเอกที่ถูกฝึกฝนให้เก่งขึ้นจนไปลุยเดี่ยวจัดการกับผู้ร้ายจนถึงบอสใหญ่ที่เป็นตัวโกงของเรื่องและลงเอยด้วยการเผชิญหน้าสู้กัน แต่ถ้าตัดใจลองมองไปที่อย่างอื่นแทนที่จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่เดาได้คงไม่พ้นความแปลกที่น่าสนใจอย่างเรื่องกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าสแกนเนอร์ ซึ่งหนังอธิบายในช่วงๆแรกได้ดีกับคนกลุ่มนี้ที่มาจากการเปลี่ยนแปลงจนสามารถมีพลังจิตบ่งการหลายสิ่งหลายอย่างได้อย่างอิสระแต่ต้องแลกมากับความเจ็บปวดที่ยังไม่รู้ขอบเขตพลังนี้ดีพอ นั้นเองจึงเป็นสาเหตุที่เหล่าสแกนเนอร์ทั้งหลายแหล่โดนเล็งจากการสร้างความเดือดร้อน แน่นอนว่าตัวร้ายอย่างดารีลก็เคยเป็นหนึ่งในนั้นที่ดูจากสภาพค่อนข้างหนักไปทางโรคจิตด้วยซ้ำไป ทั้งนี้ต้องยกให้กับการแสดงของ Michael Ironside ที่ทำให้ตัวละครนี้ดูน่ากลัวตลอดเวลาที่ปรากฎในเรื่องแม้เอาเข้าจริงจะโผล่มาน้อยไปหน่อยแต่ก็ทรงพลังพอจะข่มตัวเอกของเรื่องได้ ขณะเดียวกัน Stephen Lack รับบทได้เนียนๆกับพระเอกที่เหมือนจะไม่เก่งอะไรเลยก็เก่งขึ้นมาจนน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ดูมั่นใจและหนักแน่นทางสายตาได้ดี และชอบมากๆเวลาที่ทั้งสองมาเจอหน้ากันในตอนท้ายเรื่องที่ไม่ใช่แค่รู้สึกลุ้นแต่ยังชวนหดหู่อีกด้วย

กลับมาเข้าเรื่องกับกลุ่มสแกนเนอร์ที่เนื้อหาไม่ได้อธิบายชัดเจนมากนักว่าทำไมจำต้องเป็นแบบนี้นอกจากความเปลี่ยนแปลงคล้ายๆเป็นการเอาตัวรอดในธรรมชาติที่ต้องรู้จักปรับตัว ถามว่าปรับตัวเพื่อสิ่งใดในเมื่อมนุษย์ต่างสามารถคิดค้นหาวิธีการต่างๆให้ตัวเองอยู่รอดและสะดวกสบายได้จนไม่จำเป็นต้องปรับตัวเองให้อยู่รอดในธรรมชาติเพราะธรรมชาติส่วนใหญ่ล้วนถูกควบคุมจากฝีมือมนุษย์ แม้คำตอบจะเลื่อนลอยแต่บางทีอาจเป็นเพราะมันคือข้อเสียไม่ใช่ข้อดีต่างหาก ไม่แน่นี้คงเป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่ธรรมชาติลงโทษ แต่สุดท้ายในท้ายที่สุดคำตอบของการถือกำเนิดสแกนเนอร์นั้นดูจะเป็นอย่างว่าที่มาจากธรรมชาติลงโทษ ทว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่อยากทดลองอยากได้อะไรที่ก้าวหน้ามากขึ้นแถมไม่ใช่แค่นั้นที่ยังรวมถึงการบริโภคที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างต้นเหตุกับปลายเหตุจนก่อกำเนิดคนมีพลังจิต สแกนเนอร์คือคนที่มีความสามารถใช้พลังจิตได้อย่างสูงส่งแต่กำเนิดมาจากธรรมชาติของการคิดค้นของนักวิทยาศาสตร์ที่ปล่อยให้ค่อยๆกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ คำถามคือเกิดขึ้นแบบนี้ได้ยังไงกัน


คำตอบก็ง่ายๆถ้านักวิทยาศาสตร์จะทดลองก็ย่อมเป็นเรื่องไม่ยากถ้าจะมีคนแหกกฎเรื่องจรรยาบรรณเพื่อหาคำตอบที่รวดเร็วและไม่สนต่อความปลอดภัยของชาติและคนในชาติ ถ้าว่ากันตามพล็อตเรื่อง Scanners จะไม่มีอะไรที่ใหญ่โตไม่ว่าจะเนื้อเรื่องที่มาเฉพาะกลุ่มเป็นเครือข่ายเล็กๆแต่กินระดับได้กว้างขวาง ในส่วนการเล่าเรื่องเองก็มาแบบเกรดทุนต่ำน้อยความอลังการของหนังที่น่าจะเป็นไซไฟแต่ก็ไม่ใช่เพราะค่อนไปทางทริลเลอร์การสืบสวนอะไรทำนองนี้มากกว่า ส่วนจะมีแอ็คชั่นบ้างไหม อันนี้ก็บอกว่ามีในแบบสแกนเนอร์ ถ้าสงสัยเป็นแบบไหนก็นึกเอาว่าใช้พลังจิตสู้โดยไม่ต้องลงมือแค่เพ่งไปที่คนที่เล่นงานแค่นั้นจบ เดี๋ยวจะบอกว่าน่าเบื่อไม่มีความแปลกใหม่จะสนุกได้ยังไงแค่เห็นลูกตาจ้องเท่านั้น อันนี้ต้องบอกว่ามันไม่ใช่แค่นั้นเสมอไปที่ดูน่าเบื่อเพราะเทคนิคการเล่านี่แหละที่ช่วยทำให้ฉากธรรมดาดูมีพลังขึ้นมาจริงๆโดยเฉพาะเรื่องเทคนิคเอฟเฟค

อาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่ทำให้ Scanners เป็นที่รู้จักนั้นจริงๆคงไม่พ้นเรื่องเทคนิคเอฟเฟคที่โดดเด่นอย่างมากและเป็นที่คุ้นกันอย่างมากในกลุ่มหนังสยองขวัญ ก็คือฉากระเบิดหัวด้วยพลังจิตที่เรียกว่ากระจุ้ยกระจายเลือดเนื้อกระเด็นกันเลยทีเดียว แต่ฉากดังกล่าวก็มีให้เห็นแค่ครั้งเดียวตลอดทั้งเรื่องเนื่องจากโทนหลักของเรื่องไม่ได้เป็นแนวสยองขวัญเลยสักนิด ดังนั้นจึงมักเป็นฉากทำนองทำลายข้าวของหรือไม่ก็เล่นงานที่สมองจนเลือดกำเดาไหลเสียมากกว่า จะมีก็เว้นแต่ไคล์แม็กซ์สุดท้ายที่สู้ด้วยพลังจิตแบบเส้นเลือดปูดพองกันเลย แต่ที่พอเอาตื่นตาได้ก็พวกฉากยิงกับฉากระเบิดที่นานๆทีมีหนหนึ่งในฉากไล่ล่า กระนั้นสิ่งที่ชอบสุดคือสไตล์การเล่าเรื่องที่ทำได้ตรงตามระเบียบไม่หลุดนอกทะเลเก็บรายละเอียดที่ค้างคาได้หมดจดทั้งเนื้อเรื่องเกี่ยวกับสแกนเนอร์อย่างมีที่มาที่ไปชนิดกลายเป็นดาบสองคม หรือจะตัวละครที่มีบทบาทได้อย่างคุ้มค่ามีมิติที่น่าสนใจทั้งนั้น นับได้ว่าเป็นอีกผลงานของผู้กำกับ David Cronenberg ที่น่าสนใจไม่ใช่น้อยแม้ตัวหนังจะนิ่งไปบ้างที่ไม่ได้มากับความแปลกใหม่เรื่องพล็อตเรื่อง แต่กับการเล่าเรื่องถือว่าดึงดูดผู้ชมได้ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างไม่มีข้อกังขาว่าจะดูเบื่อชวนอยากหลับแต่อย่างใด


อีกอย่างที่น่าคิดมากๆคือนัยยะแฝงของเนื้อหาในหนังเรื่องนี้ที่ดูจะมีอะไรหลายอย่างซ่อนเอาไว้มิใช่น้อยจนไม่แปลกที่ยังถูกอกถูกใจบรรดานักวิจารณ์ทั้งที่ฝั่งคนดูยังรู้สึกสนุกแต่เฉยๆไปแบบครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว ถ้าให้พูดถึงนัยยะของเรื่องนี้เห็นทีจะหนีพ้นไปไม่ได้คือศิลปะที่มีส่วนเข้ามาบำบัดจิตใจในตอนที่คาเมรอนไปหาสแกนเนอร์อีกคนหนึ่งเพื่อไปหาข่าวของดารีล ซึ่งเจ้าตัวแต่แรกนั้นถูกปูเอาไว้ว่าเป็นอีกหนึ่งบุคคลอันตรายที่มีประวัติชอบความรุนแรงแต่อาการกลับมาดีขึ้นจนเลิกใช้ความรุนแรงเพราะงานศิลปะ

จึงเป็นข้อคิดได้ว่าศิลปะคือความอิสระที่อิงมาจากการปล่อยวาง ไม่มีขอบเขตหรือการยึดติดต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การนำศิลปะมาบำบัดขัดเกลาจิตใจเป็นการทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นเนื่องจากมาจากการได้ระบายในเชิงสร้างสรรค์ออกมาเป็นผลงาน แม้ว่าผลงานที่ได้จะเป็นอะไรที่แปลกและน่าฉงนใจเพราะดูน่ากลัวก็ตาม ในขณะเดียวกันสแกนเนอร์ก็คือคนที่มีปัญหาเรื่องจิตที่มีพลังมากกว่าคนปกติและเมื่อไรที่ควบคุมไม่ได้ก็จะรู้สึกเจ็บปวดจนต้องหาทางระบายด้วยลงกับอะไรสักอย่างไม่ว่าจะเป็นสิ่งของตลอดจนคนด้วยกันเอง สิ่งนี้ได้บ่งบอกด้วยว่าเราควรจะทำอย่างไรบ้างเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่มีข้อจำกัด จะใช้ชีวิตรูปแบบไหนถึงจะไม่มีคนรอบข้างเดือดร้อน ผลลัพธ์ที่ได้ควรออกมาบวกหรือลบ ก็น่าสนดีถ้านำ Scanners มาจับประเด็นนิดประเด็นหน่อยก็จะได้อะไรหลายอย่างกลับมา แต่อย่างว่ามีหลายคนไม่ได้หวังเนื้อเรื่องมากนักและตัวหนังเองก็ไม่ได้ดูเอามันส์ซะด้วย ดังนั้นเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้จึงอยู่ที่บรรยากาศกับการเล่าเรื่องที่ชวนน่าติดตามแม้จะแอบเฉยๆไปบ้างก็ตามที


รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)