The Karate Kid (2010)
เดอะ คาราเต้ คิด
Harald Zwart
Genres: Action / Drama / Family / Sport
www.imdb.com/title/tt1155076/
Grade: B
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ตัวหนังดันไม่ความเป็นคาราเต้สักนิดเพราะตลอดวิชาฝึกป้องกันล้วนมีแต่กังฟูจนน่าเปลี่ยนชื่อเป็น The Kung Fu Kid
อาจจะเหมาะสมกว่ากันเยอะ
แต่ถ้ามองโดยหลักพื้นฐานสักหน่อยในเรื่องการฝึกฝนวิชาป้องกันบางทีเรื่องของคาราเต้อาจเป็นจุดเล็กๆที่อยู่ในกังฟูก็เป็นได้
เพราะอย่าลืมสิว่าหลักของกังฟูไม่ได้มาจากอะไรแต่หากมาจากธรรมชาติ
ไม่ว่าจะท่าทาง การเคลื่อนไหว
ตลอดจนการโต้ตอบที่ลอกเลียนมาจากการเคลื่อนของสัตว์จนออกมาเป็นวิชา
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากังฟูจะเหนือกว่าคาราเต้หรือคาราเต้เหนือกว่ากังฟูเว้นแต่กรณีกับตัวผู้ใช้ว่ามีประสบการณ์มากน้อยเพียงใด
จะคาราเต้ของญี่ปุ่นหรือกังฟูจากจีนสุดท้ายแล้วทั้งสองวิชาต่างขึ้นชื่อเรื่องวิชาป้องกันเป็นเลิศ
ทว่าด้านกลยุทธ์เรื่องพลิกแพลงอาจต้องยกให้กังฟูที่มีหลากหลายรูปแบบ
แต่ขณะเดียวกันคาราเต้ยังมีทักษะที่จับจุดตายได้ทันทีด้วยเช่นกัน
ส่วนเหตุผลที่ทำไมพล็อตเรื่องถึงเปลี่ยนไปจากตัวต้นฉบับเมื่อปี 1984 จากคาราเต้มาเป็นกังฟูนั้นส่วนนึงน่าจะมาจากเนื้อเรื่องที่ไปเมืองจีน
แต่จะมองแบบนั้นคงง่ายไปถ้าคิดในแง่ความนิยมแล้วล่ะก็อาจใช่ก็ได้เนื่องจากในส่วนของเนื้อหานั้นได้ขยายออกไปกว้างจนผู้ชมได้เห็นความนิยมของการฝึกกังฟูของคนจีนที่เริ่มพัฒนาตั้งแต่ยังเด็ก กระนั้นสิ่งหนึ่งที่เด็กอยากเก่งกลับมีแง่ของความเป็นดาบสองคมคืออยากแกร่งเพื่อให้คนที่อ่อนกว่าอยู่ใต้ฝ่าเท้าจนแยกแยะไม่ออกระหว่างการเป็นคนดีกับคนอัทธพาลเพียงเพราะคำสอนที่ตกสู่ลูกศิษย์แบบผิดๆเช่นเรื่องนี้ที่กล่าวว่า"ไม่ปราณี" เราคงเข้าใจผิดไปกระมั้งว่าไม่ปราณีในที่นี้หมายถึงคนที่เกินแก่การให้อภัยเป็นคนที่สมควร ไม่ใช่มาใช้กับการต่อสู้ที่ควรจะ"มีน้ำใจ"เสียมากกว่า
แม้ทางเนื้เรื่องรายละเอียดในส่วนต่างๆจะถูกดัดแปลงไปเกือบหมดราวกับหนังคนละเรื่อง
ทว่าสิ่งหนึ่งที่พล็อตเรื่องยังคงรักษาเอาไว้คือเรื่องของเด็กชายที่ถูกกลั่นแกล้ง
เพียงเพราะความด้อยกว่านี้เองจึงเป็นแรงผลักดันให้รู้จักคำว่าต่อสู้ต่อให้ถูกเอารัดเอาเปรียบทุกครั้ง
โดยเนื้อเรื่องได้กล่าวถึงเด็กน้อยผีสิวนามว่าเดร ปาร์กเกอร์ (Jaden Smith) ผู้ย้ายมาอยู่เมืองจีนกับแม่ (Taraji P. Henson) ด้วยความที่ไม่คุ้นชินกับสถานที่ใหม่ๆจึงพยายามเรียกจุดสนใจด้วยการหาเพื่อน โดยหนึ่งในนั้นคือเหม่ยอิง (Wenwen Han) เด็กสาวชาวจีน แต่เหมือนการเรียกจุดเด่นในตัวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เมื่อเฉิง (Zhenwei Wang)
หัวหน้าแก็งค์เด็กอัทธพาลไม่พอใจที่เดรมายุ่งเดียวกับเหม่ยอิงจนเป็นเรื่องทะเลาะลงไม้ลงมือซึ่งเดรไม่สามารถจัดการอีกฝ่ายได้เลยเพียงเพราะอีกฝ่ายมีวิชาป้องกันตัวที่ล้ำหน้ากว่ามาก
กระนั้นเดรไม่ได้หวาดหวั่นว่าต้องยอมก้มหัวให้ถึงแม้ตัวเองจะด้อยหลายเท่าก็ตามจึงพยายามเอาคืนในช่วงทีเผลอซึ่งแน่นอนว่าถูกจับได้จนลุงฮัน
(Jackie Chan) ต้องเข้ามาช่วย และการเข้ามาช่วยนี่เองที่ชักพาเรื่องให้กลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเดรเมื่อลุงฮันไปขอร้องโค้ชลี (Rongguang Yu) ให้ลูกศิษย์เลิกรังแกเสียที
แต่สุดท้ายการเจรจาเหมือนจะไปไม่รอดจนลงเอยด้วยการตกลงเข้าร่วมแข่งขันที่ใกล้มาถึงในเร็วๆนี้
โดยมีข้อตกลงคือระหว่างเก็บตัวก่อนถึงการแข่งขันห้ามมายุ่งเกี่ยวกลั่นแกล้งใดๆทั้งสิ้น
ตอนนี้เดรรอดจากการถูกรังแกได้สำเร็จทว่าเขาเองต้องลงแข่งขันด้วยเช่นกัน
และเป็นการแข่งขันการต่อสู้ด้วยกังฟู
เอาจริงๆพล็อตเรื่องไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือดูน่าสนใจอะไรมากนักแถมยังทำท่าคล้ายหนังจีนที่มาแนวแค้นนี้ต้องชำระ
จะแตกต่างตรงที่ไม่ได้รุนแรงเกินไปแค่เป็นเรื่องของเด็กที่ไม่พอใจที่ถูกดูถูกด้วยกำลัง
ก็ดูจะเป็นเรื่องปกติในเนื้อเรื่องทำนองเดิมๆแต่อย่างน้อยการเรียบเรียงก็ออกมาสนุกกว่าที่คิดโดยเฉพาะการพยายามทำให้ตัวละครเดรไม่ใช่เด็กที่ถูกรังแกจนต้องยอมแล้วไม่ขอความช่วยเหลือจากใครๆหากรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นเองด้วยการปกปิดรอยช้ำบนใบหน้าด้วยเครื่องแต่งหน้าของแม่เพื่อไม่ให้แม่รู้
การเอาคืนทั้งที่มีอยู่ตัวคนเดียวโดยไม่พึ่งใคร
ตลอดจนการยอมรับลึกๆในใจเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่ตามมาในการแข่งขันทั้งที่ตัวเองไม่เป็นกังฟูด้วยซ้ำไป
อาจจะดูเกินเด็กคนหนึ่งที่จะเข้าใจยอมรับต่อสภาพสังคมเช่นนั้นเพราะมีความเป็นผู้ใหญ่ในเรื่องความมุ่งมั่น
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กมีแรงกระตือรือร้นกว่าผู้ใหญ่อยู่แล้วเพราะมีความรู้สึกต้องการชนะที่เห็นได้จากเฉิงที่ดูจะใช้ความรุนแรงมากกว่าการป้องกันตัวจนเป็นการเอาชัยแทนที่จะหลีกเลี่ยงแบบกรณีของลุงฮันในฉากที่มาช่วยเดร
ทั้งนี้ทั้งนั้นเดรจัดว่ามีปมในใจไม่น้อยเกี่ยวกับการจากถิ่นฐานเดิมมาประเทศจีนเนื่องจากต้องการเพื่อนที่ตัวเองรู้จักและคิดว่าเพื่อนที่จากมาคือเพื่อนที่ตัวเองรู้จักและดีที่สุดจนต้องมีการให้ของที่ระลึกเป็นการขอบคุณ
สิ่งเหล่านี้ในแง่ของเด็กคืออารมณ์ชวนเซ็งและน่าเบื่อเพราะต้องมาปรับตัวใหม่ทั้งที่ยังไม่พร้อมเพราะที่ทำไปมาจากการตามผู้ใหญ่ซึ่งคือแม่
กระนั้นคนที่เดรเหมือนจะถูกชะตาด้วยคือเหม่ยอิงและนั้นทำให้เขากลับมาสดใสขึ้นอีกครั้ง
การที่เดรกลับมาสดใสอีกครั้งไม่ได้มาจากการคือเหม่ยอิงคือผู้หญิงแล้วจะรู้สึกเชิงมีความสัมพันธ์แบบมากกว่าเพื่อนหากคือเพื่อนจริงๆที่ได้จากการทักทายอย่างเป็นมิตรตลอดจนการทำให้ความผูกมิตรนี้เริ่มแน้นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆจนแสดงออกมาอย่างชัดเจนในวันนัดเจอกันในงานเทศกาลคล้ายการชวนเดท
ก็ดูเหมือนว่าเดรคือตัวละครที่มีบทบาทได้ดีในเรื่องการปรับตัวเข้ากับสังคมจนผู้ชมไม่รู้สึกเบื่อที่จะวกวนอยู่กับประเด็นเดิมๆหากจะลุยต่อไปด้วยประเด็นใหม่ๆที่เริ่มเข้ามาอย่างเรื่องการฝึกกังฟู
หรือประเด็นหลักของกังฟูที่ถอดมาจากธรรมชาติ
กระทั่งประเด็นในใจของลุงฮันที่ยังอุตส่าห์มีจนเนื้อเรื่องมีส่วนผสมของดราม่าเข้ามาสอดแทรกที่นำเสนอข้อคิดไปสอนกันให้เพียบ
ถ้าพูดถึงประเด็นสำคัญใหญ่ๆคงไม่พ้นเรื่องการต่อสู้อย่างลูกผู้ชายที่แสดงออกถึงด้านคุณธรรมในตอนท้ายเรื่องด้วยการแข่งขันที่ดำเนินไม่ต่ำกว่า
20 นาทีด้วยการต่อสู้ของเหล่าเด็กที่เชี่ยวชาญทักษะในเรื่องกังฟูตามสไตล์ของตัวเอง
แต่เรื่องก็มีทำนองเดิมนิดหน่อยตรงที่เมื่อเห็นพระเอกที่ด้อยกว่ากลับเก่งขึ้นผิดจากเดิมต้องลงมือด้วยวิธีโกง
แน่นอนว่าฉากที่จะโกงนั้นไม่ได้มาจากความตั้งใจของเด็กที่แข่งหากมาจากตัวโค้ชที่อยากได้ชัยชนะอย่างรวดเร็วจนไม่สนว่าเด็กๆจะสู้ด้วยศักดิ์ศรีของตนเองที่แพ้ก็แพ้อย่างภาคภูมิ
ซึ่งในฉากนี้เองเราจะได้เห็นความไม่พอใจของเด็กที่ต้องยอมโกงเพื่อให้อีกฝ่ายบาดเจ็บเพื่อแลกกับการให้ตัวเองถูกแบนจากกรแข่งขันเพื่อให้ลูกศิษย์ที่ตัวเองมั่นใจเสียแทน
แม้จะทำทำนองเดิมๆไม่มีอะไรให้ซับซ้อนไปกว่าการพิสูจน์ตัวเองแต่อย่างน้อยท้ายที่สุดเราก็เห็นว่าความยุติธรรมคือสิ่งใครเห็นต่างรับถือกันทั้งนั้น
The Karate Kid จะมีข้อเสียตรงที่หนังดันมีความยาวไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงทั้งที่ว่ากันตามพล็อตมันไม่ควรออกมายาวขนาดนี้ได้
ทำให้บางช่วงบางจุดจึงดูยืดยาวมีความน่าเบื่อเป็นบางช่วงอย่างเช่นเรื่องการขยายความสัมพันธืระหว่างเดรกับเหม่ยอิงที่ชวนหนีออกนอกโรงเรียนเพื่อไม่ให้เครียดก่อนสอบคัดเลือกเล่นดนตรีแต่ก็เกิดเป็นว่าในวันที่หนีกลายเป็นเลื่อนสอบมาวันนั้นพอดีจนพ่อแม่ฝ่ายเหม่ยอิงมองเดรในทางที่ผิดเพราะเกรงว่าถ้าคบกันไปจะทำให้เสียอนาคตได้
หรือการสานสัมพันธ์ในงานเทศกาลที่ตั้งใจเผยความรู้สึกของเด็กทั้งสองในแง่ความรักเพื่อให้ผู้ชมเห็นจุดผ่อนคลายของเรื่องไปอีกทางหนึ่ง
แต่บางช่วงก็ไม่น่าจำเป็นต้องใส่มาเพื่อขยายมิติตัวละครก็ได้เพราะสุดท้ายหนังจบยังไงสิ่งที่พยายามปลูกฝังมาตลอดท้องเรื่องก็ไม่ได้มาช่วยอะไรในจุดนี้เว้นแต่ตอนฝึกกังฟูที่ผ่านการอบรมมาอย่างหนักที่ได้ครูดีอย่างลุงฮันเข้าช่วยสอนจนสามารถพิชิตความกลัวได้สำเร็จ
ถึงแม้การแจกจ่ายมิติตัวละครเอยบทบาทที่พยายามไม่ทำให้ลืมเอยก็ดูจะทำให้หนังยาวอย่างว่าไปหน่อย
ทว่าถ้ามองดีๆหนังก็ครบถ้วนเรื่องความเป็นมาของตัวละครได้แตกฉานจนแม้แต่ลุงฮันตัวละครที่ไม่น่าจะมีอะไรยังมีปูมหลังให้ผู้ชมรู้สึกซาบซึ้งเกี่ยวกับอดีตที่ผ่านมาจนกลายเป็นจุดดราม่าและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์หรือลุงฮันกับเดรนั้นเอง
ถึงหนังจะยาวจนน่าง่วงไปบ้างแต่ความสนุกจะมีมาเป็นระยะๆได้อย่างดี
แต่ที่เป็นจุดเด่นสงสัยจะเป็นเรื่องของฉากประกอบต่างๆที่ตั้งใจเผยภูมิประเทศของจีนได้กว้างขวาง
โดยเฉพาะการเดินทางไปฝึกวิชาที่วัดเส้าหลินที่เผยความสวยงามป่าเขาลำน้ำตลอดจนกำแพงเมืองจีนที่เราจะได้เห็นลุงฮันกับเดรไปฝึกวิชาที่นั้นอีกที่หนึ่งคล้ายต้องการให้ผู้ชมเห็นความมุ่งมั่นไม่หยุดอยู่ที่
ต้องรู้จักพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นในสถานที่ใหม่ให้รู้จักตื่นตัว
แต่อะไรจะไม่เท่ากับการฝึกแบบตัวต่อตัวที่ทำให้ผูชมถึงกับซึ้งได้ในฉากลุงฮันระลึกถึงความหลัง
ทั้งที่นี้ยังมีมุขตลกหยอดมาให้ผู้ชมอมยิ้มกันไม่น้อยกับการแสดงของ Jaden Smith
ที่เรียกว่าเป็นจุดเด่นของเรื่องตั้งแต่สีผิวตลอดจนการแสดงที่แสนน่ารักไม่น้อย
ก็ไม่รู้ทำไมแต่คิดว่าฉบับนี้เรื่องตัวละครเอกดูน่าสนใจกว่าและดูเด็กน้อยกว่าเยอะ
นอกจากนี้สิ่งที่ได้จากเรื่องนี้คือความสนุกที่เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดีไม่มีปัญหาว่าจะออกมาเด็กเกินไปหรือยากเกินไปในระดับผู้ใหญ่
ทุกอย่างล้วนกำลังดีแม้จะค่อนไปทางผู้ชมฝั่งเด็กไปหน่อยตรงความสัมพันธ์ระหว่างเดรกับเหม่ยอิงที่ออกจะเร็วไปบ้าง แต่เชื่อเถอะว่าเรื่องนี้มีข้อคิดดีๆให้เก็บเพียบเหมาะแก่การดูแล้วเอาไปไตร่ตรองสอนลูกสอนหลานกันได้เลยทีเดียว