The One (2001)
เดอะวัน เดี่ยวมหาประลัย
Director: James Wong
Genres: Action | Sci-Fi | Thriller
Grade: C+
มันคงเป็นหนังของ Jet Li ที่โชว์ความเว่อร์ได้เว่อร์สุดๆไปเลยล่ะมั้ง เล่นสู้ข้ามมิติกันแถมยังสู้กันข้าวของพังทลายไม่ต่างกับยอดมนุษย์สู้กัน(ไม่ถึงขนาดนั้นแต่เกือบล่ะ) แต่ที่แหวกแนวกว่าหน่อยเห็นจะเป็นเรื่องของมิติคู่ขนานที่มีมากถึง 125 มิติ และมีอยู่มิติหนึ่งที่มีคนคิดแหกกฎด้วยการไปเยือนมิติต่างๆโดยไม่ได้รับอนุญาติและยังตามเก็บตัวเองตามมิติต่างเพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเองทั้งสติปัญญาและพละกำลัง ฟังดูก็ชักจะเว่อร์ชอบกลแต่ถ้ามองเป็นหนังไซไฟอาจมีอะไรสนุกๆก็ได้ แต่มันไม่ใช่อ่ะสิเพราะหน้าหนังเกี่ยวกับมิติคู่ขนานก็ต่างแต่พวกหลักวิทยาศาสตร์ไซไฟอะไรพวกนี้เป็นแค่ตัวช่วยเสริมเท่านั้น เนื่องจากปัจจัยหลักๆของเรื่องนี้คือความมันส์ในแบบที่เราไม่คุ้นเคยเห็นที่ไหนมาก่อนโดยเฉพาะกับอดีตศิษย์เส้าหลิน Jet Li ที่ต้องรับบทมากกว่าหนึ่งบทที่มีดีและร้ายสลับกันไปภายใต้ตัวละครหลักสองตัวระหว่างเกเบรียล ลอว์ (ตัวดี) ตำรวจพิทักษ์สันติรักสงบกับยู ลอว์ (ตัวร้าย) ที่ค้นพบว่าถ้าฆ่าตัวเองในมิติอื่นสำเร็จจะให้ตัวเองมีความสามารถที่มากขึ้นจนเป็นชนวนเหตุให้ตามฆ่าทุกมิติ และเชื่อว่าเมื่อฆ่าได้ครบทุกมิติจะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง งานนี้เขาเรียกตีตัวเองใช่หรือเปล่า(ฮา)
อย่างที่บอกเลยว่าเอามันส์ไงถ้าจะเอาสาระหรือประเด็นสำคัญๆคงต้องว่าอย่าหาเลยเพราะยังไงสุดท้ายคำพูดก็ไม่อาจสู้ชนะเท่ากับหมัดสวยๆกับแรงถีบดีๆที่สยบได้ทุกสิ่ง แต่อันที่จริงมองหาสาระก็แอบมีอยู่บ้างนั่นแหละเกี่ยวกับตัวเองในแต่ละมิติที่มีความคล้ายคลึงแต่ไม่ใช่ตัวเองแม้จะเหมือนกันตั้งแต่ใบหน้าจรดสุ่มเสียงก็ตามที ทว่าจิตใจและความคิดคนเราย่อมแตกต่างกันแต่ละมุมมอง ดังนั้นถ้าเรามีเสียงไปข้างเดียวเสมอไปก็ไม่ต่างกับทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปโดยไม่มีข้อขัดแย้ง อย่างเช่นทำอย่างนี้ก็ลงความเห็นทำแบบนั้นไปหมด จะไปที่นั้นก็ไปกันหมดโดยเห็นด้วยทุกคน แต่ถ้ามีความแตกต่างจะเป็นการกระตุ้นความคิดว่าสิ่งที่ทำมันถูกหรือผิดหรือควรทำดีไม่ยังไงเป็นขั้นตอนให้กระจ่างมากขึ้น เช่นเดียวกับชีวิตหลากหลายมิติของลอว์ทั้ง 125 มิติที่ต่างมีชีวิตรูปทรงแตกต่างกันไป อีกคนทำธุรกิจ อีกคนติดคุก อีกคนเป็นตำรวจ ข้อแตกต่างพวกนี้ถ้าคิดเป็นวิถีชีวิตสังคมมันคือสมดุลดีๆนี่แหละ ทำนองอีกคนซื้ออาหารอีกคนทำกับข้าวหรือจะอีกคนซื้ออีกคนขายก็ได้และสุดท้ายจะมีปัจจัยต่างๆเข้ามาเกี่ยวหนุน แต่พวกสาระประเด็นเชิงลึกอะไรพวกนี้คิดว่าไม่ใช่เรื่องจับฉายสำหรับ The One อะไรนักหรอกเพราะสุดท้ายสิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือฉากแอ็คชั่นกับบทสรุปว่าจะจบลงอีท่าไหนกันแน่เพราะเกเบรียล ลอว์กับยู ลอว์เหมือนกันอย่างกับแกะ
แต่อะไรคงไม่สำคัญเท่าเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์มิติอย่างแฮร์รี่ โรเดกเกอร์ (Delroy Lindo) และอีแวน ฟันช์ (Jason Statham) ที่ทำหน้าที่คอยไล่ล่ายู ลอว์มาตั้ง 123 มิติซึ่งหนนี้จะปล่อยให้ทำสำเร็จไม่ได้เด็ดขาดอีกแล้วเพราะไม่งั้นจักรวาลอาจถึงคราวสูญเสียได้ ก็ไม่รู้ว่าตัวหนังอธิบายยังไงแต่ที่แน่เป็นการกล่าวลอยๆทำให้เชื่อว่าเกเบรียล ลอว์ห้ามตายเด็ดขาด ซึ่งจุดประสงค์อีกอย่างที่มองชัดเจนที่สุดคือพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่กับเกเบรียล ลอว์ที่เพิ่มขึ้นแต่ยังรวมถึงยู ลอว์ที่เพิ่มด้วย คิดว่าตัวหนังคงอิงเรื่องรวมพลังที่มิติยิ่งมากการกระจายพลังก็มาก ถ้าตัดการกระจายหรือลอว์คนอื่นๆในแต่ละมิติจะทำให้ลอว์ที่เหลือแข็งแกร่งมากขึ้นจากการรวมพลังที่กระจายเข้าไว้ด้วยกัน ดังนั้นความเว่อร์จึงบังเกิดขึ้นตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องที่แสนจะมันส์จุใจที่ผสมผสานความสโลโมชั่นเข้าไปเพื่อแสดงถึงความสามารถที่เหนือคนธรรมดา แต่เชื่อไหมว่าตอนดูแรกๆออกจะฮาเสียด้วยซ้ำที่ไม่นึกว่ามันจะเกินมนุษย์มนาขนาดนี้ได้(เอาแค่เรื่องข้ามมิติก็น่าจะพอแล้ว แต่นี่เล่นเตะต่อยเหล็กงอพังเป็นรูกันเลยทีเดียวเชียว) ด้วยความที่ไม่ธรรมดาแบบคนทั่วๆไปทำให้ฉากแอ็คชั่นทำได้สนุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเปิดเรื่องที่ถือเป็นการโชว์ได้อย่างสนุก ทว่าเหมือนความสนุกจะน้อยลงไปเพราะความเว่อร์จึงดูไร้ทักษะแบบกังฟูไปหน่อย ความน่าลุ้นในศิลปะการต่อสู้จึงน้อยลงตามไปด้วย จะมีก็ท้ายเรื่องเป็นการปะทะระหว่างเกเบรียล ลอว์กับยู ลอว์ที่งัดฝีมือมาสู้กันได้อย่างมันส์เดือดดี
กลับมาพูดถึงตัวละครหลักๆกับแฮร์รี่ โรเดกเกอร์กับอีแวน ฟันช์กันบ้างเพราะเหมือนจะเอาเข้าจริงจะไม่เป็นที่น่าสนใจเท่าไหร่ เนื่องจากดูไม่เหมือนผู้พิทักษ์เท่าไหร่จากการทำงานที่เหมือนปล่อยๆบวกกับความเป็นมืออาชีพไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่ก็อย่างว่ายู ลอว์เป็นตัวร้ายที่เก่งกาจเกินคนธรรมดาจะจัดการได้ ดังนั้นจึงต้องอาศัยจับจังหวะเอาแล้วค่อยจัดการให้เอาชัวร์ แต่เหมือนจะจับจังหวะมาเยอะไปหน่อยนะ ปล่อยให้ฆ่าไปตั้ง 123 มิติทำให้ความสมเหตุสมผลมันน้อยเกินยอมรับไป นี่ถ้าบอกเป็นร้อยศพคงฟังเยอะมากสำหรับฝีมือคนเดียว ถึงแม้จะเป็นที่น่าสนใจน้อยบอกกับลีลาที่ไม่เก่งกาจอะไรนอกจากการใช้ปืนกับความรู้เรื่องมิติจึงเป็นตัวช่วยอธิบายเรื่องราวให้ผู้ชมกระจ่างได้ ภาพลักษณ์จึงเสมือนผู้ช่วยเกเบรียล ลอว์ที่ช่วยให้กระจ่างในข้อสงสัยที่มีทั้งหมด ซึ่งยังรวมถึงเรื่องที่ว่าใครคือลอว์ดีหรือร้ายด้วย เพราะกับคนอื่นดูกันไม่ออกหรอกว่าคนไหนคือฝ่ายดีหรือฝ่ายร้าย จะมีเจ้าหน้าที่ทั้งสองนี่แหละที่ดูออกว่าคนไหนคือตัวจริงใครคือตัวปลอม และอีกคนคือภรรยาของลอว์ที่เล่นโดย Carla Gugino มาแบบเดียวกับ Jet Li เลยทั้งสองมิติทั้งดีและร้าย แต่ฝ่ายร้ายคงบอกไม่เต็มปากเท่าไหร่เพราะโผล่มาแค่ตอนต้นเรื่องที่มาช่วยยู ลอว์หนีการส่งมิติไปยังที่อื่น ส่วนฝ่ายดีนี้ดีจริงๆมาแบบภรรยาน่ารักที่เอาใจสามีคอยช่วยทุกอย่าง ส่วนการแสดงของ Carla Gugino ก็ดีนะแต่อยากเพิ่มิติตอนต้นเรื่องซะหน่อยเพราะมางงกับจุดประสงค์ที่ไม่รู้มาช่วยทำไมจนได้รู้ในมิติของเกเบรียล ลอว์นี่แหละถึงเข้าใจว่าคือคู่รักกัน
เอาเข้าจริงๆ The One ไม่ใช่หนังที่ดูยาวอะไรแต่วัดกันจริงเป็นอะไรที่สั้นมากจากเนื้อเรื่องที่ไม่ค่อยมีอะไรมาเพิ่มเติมนอกจากไล่สู้กันระหว่างชายสองมิติที่มีเจ้าหน้าควบคุมมิติมาตามจับฝ่ายร้ายเพื่อกลับคืนสู่มิติเดิม และนั้นเองที่ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ค่อยมีอะไรให้น่าจดจำเท่าไหร่นอกจากการได้เห็น Jet Li ฟัดกับตัวเองในแบบที่ใครเองก็ว่าแปลก หรือจะบอกคู่ต่อสู้มีอยู่เยอะแล้วจึงเปลี่ยนทัศนะให้ดูแปลกตามากขึ้นจากที่รู้ๆกันอยู่ว่าพระเอกต้องชนะอยู่แล้วเป็นทำเนียบ แต่จะเป็นยังไงถ้าพระเอกต้องมาสู้กับตัวโกงที่เป็นพระเอกเหมือนกัน แบบนี้แฝดคนฝา ไม่สิ ต้องเรียกแฝดคนละมิติถึงจะถูก
โดยรวมแล้วการวางฉากแอ็คชั่นทำได้แปลกตาดีมิใช่น้อยแม้จะไม่ถึงขั้นสดใหม่แต่โดยรวมการทำให้บางสิ่งดูเว่อร์ถือเป็นไฮไลต์ที่น่าชื่นชมอยู่เหมือนกันบวกกับปัจจัยเสริมอย่างดนตรีประกอบที่หนักไปทางเร้าอารมณ์ด้วยดนตรีแนวร็อคก็ยิ่งเพิ่มความมันส์เข้าไปใหญ่ แม้โดยรวมตัวหนังจะไม่มีอะไรมากไปกว่าฉากแอ็คชั่นกับพล็อตเรื่องนิดๆหน่อยให้มีสาระ แต่การได้เห็นฉากแอ็คชั่นมันส์ๆก็ถือว่าคุ้มค่าแแล้วอย่างหนึ่งต่อให้ตลอดการดำเนินจะเดาได้ง่ายก็ตามที เกือบลืมบอกไปอย่างหนึ่งว่าความเว่อร์ของหนังนั้นทำได้แม้กระทั่งให้ Jet Li หลบกระสุนได้ด้วยแหนะ นี่มัน The Matrix ใช่ป่ะ?!