The Taking of Pelham 1 2 3 (2009)
ปล้นนรก รถด่วนขบวน 123
Director: Tony Scott
Genres: Action | Crime | Thriller
Grade: B
มาเข้าเรื่องกับหนังทริลเลอร์ชั้นดีอีกเรื่องหนึ่งที่เสียตอนจบเพราะง่ายไปหน่อย ทว่าการเริ่มเรื่องตลอดจนกลางเรื่องคือความสนุกที่ระทึกใจไม่ใช่น้อยเพราะแนวๆนี้เป็นของถนัดของผู้กำกับ Tony Scott อยู่แล้วในการสร้างสถานการณ์ให้ออกมาดูซีเรียสเป็นหลัก โดยตัวหนังน่าจะป็นการรีเมคจากของเก่าเมื่อปี 1974 โดยเนื้อเรื่องเกิดขึ้นจากกลุ่มคนร้ายจี้รถไฟใต้ดินแห่งนครนิวยอร์ก สายเพแลห์ม 123 ซึ่งมีเพียงวอลเทอร์ การ์เบอร์ (Denzel Washington) พนักงานการรถไฟที่พบสถานการณ์จับตัวประกันที่รู้ตัวก่อนใครเพื่อนและมีการเจรจาจากไรเดอร์ (John Travolta) หนึ่งในนั้นได้เรียกข้อเสนอค่าไถ่ด้วยเงินสดจำนวนมหาศาลให้จ่ายเงินมาภายในเวลา 15.15 น. มิเช่นนั้นจะฆ่าคนหนึ่งต่อนาทีหนึ่งที่หายไป ก็สั้นๆกระชับใจความทั้งหมดเนื้อเรื่องก็มีอยู่แค่เท่าที่บอกคือมาจี้ตามด้วยเรียกค่าไถ่ ไม่มีอะไรมากสำหรับพล็อตเรื่องเช่นนี้ที่นอกจากทั้งหมดจะมัดอยู่กับที่เพื่อสร้างแรงกดดันแล้วก็หาความแตกต่างอะไรเลย แต่เหมือนการยังอยู่กับที่จะกลายเป็นความลุ้นของเรื่องนี้มิใช่น้อยที่ดุเดือดเผ็ดดุเรียบเรียงได้อย่างว่องไวจนลืมไปเลยว่าความเก่าของหนังยังคงสดทางอารมณ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลง
พล็อตเรื่องจัดว่าซ้ำซากจำเจอยู่มากแต่ด้วยความที่ว่าใช้ได้ทุกสถานการณ์จึงช่วยเพิ่มความเข้มข้นของเรื่องได้ อย่างที่เห็นเป็นรถไฟสายใต้ดินที่มากผู้คนจากการโดยสารไม่ว่างเว้นแต่กลับลงมือคุมสถานการณ์ได้อยู่มัดทั้งที่มีกันแค่ 4 คนโดยหนึ่งหัวหน้า หนึ่งคิดแผน และอีกสองคุมตัวประกันเท่านั้น เป็นการบ่งบอกถึงเตรียมแผนมาดีโดยแบ่งตัวรถไฟให้เหลือแค่ส่วนหัวในขณะที่ส่วนต่อท้ายหลังจากนั้นก็ปลดล็อคให้ไหลย้อนกลับไปที่สถานีเพื่อเลี่ยงคนเยอะที่วุ่นวายแต่คนน้อยเอาอยู่ดีกว่า อันนี้ต้องบอกว่าชอบที่บทเขียนมาได้ดีในเรื่องความรอบคอบการคิดของตัวละครที่แทบจะไม่โชว์ความงี่เง่าหรือเสียสติหลุดโลกออกมาเลย ยิ่งกับฝ่ายตัวร้ายแทนที่จะรู้สึกกดดันบ้างเพราะเป็นเป้าได้ง่ายจากตำรวจที่มารายล้อมยากต่อการหนีได้ทันทีก็กลายเป็นฝ่ายคุมเกมส์ได้อย่างแยบยลจากการใช้ตัวประกันมาขู่ เหมือนจะแค่ขู่ให้กลัวตามหนังปกติแบบลุ้นเสียวๆเอาเป็นน้ำจิ้มแค่นั้นซะเมื่อไหร่เมื่อไรเดอร์ผู้เป็นตัวร้ายหลักของเรื่องดันเป็นคนเอาจริงเอาจัง หลอกล่อก็ไม่ได้ แถมยังเป็นบุคคลที่น่ากลัวและน่าเกรงขามไปในตัวอีกต่างหาก เรื่องนี้ต้องยกฝีมือให้ John Travolta ด้วยแหละที่จัดหนักจัดซีเรียสออกมาได้ดุเดือดเข้ากับสไตล์หนังทำให้คาแรกเตอร์ตัวละครบอกมาสมจริง เข้มข้น และเท่
น่าเสียดายที่บรรดาคนร้ายทั้งสี่ดันมีแค่ตัวละครเดียวที่น่าจดจำในขณะที่อีกสามบทก็น้อยและยังขาดจุดเด่นอีกด้วย ทำให้การเล่าเรื่องยิ่งนานเท่าไหร่คนดูก็เริ่มจะมองข้ามจนปล่อยปละให้หายไปเลยก็ได้เพราะสุดท้ายแล้วจนกระทั่งหนังจบก็ไม่มีอะไรนอกจากตัวประกอบที่เพิ่มเข้ามาให้ดูมีน้ำหนักแต่ขาดมิติที่จะบอกกล่าวถึงการเข้าร่วมการจี้ตัวประกันครั้งนี้ จะมีก็ฟิล ราโมน (Luis Guzman) ที่เคยมีประวัติฆ่าคนจากเหตุรถไฟอะไรสักอย่างทำให้จำคุกไปนานจนออกมาพร้อมกับแผนดังกล่าว ฟังเหมือนคนต้นคิดแต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นหัวหน้าซะเมื่อไหร่เพราะแผนทั้งหมดมาจากไรเดอร์คนเดียวที่รวมยอดเบ็ดเสร็จทุกอย่างตั้งแต่การเรียกค่าไถ่ตลอดจนเรื่องหุ้นที่คงมีแต่เขาคนเดียวที่เข้าใจ จะว่าตัวหนังยังขาดสิ่งหนึ่งที่จำเป็นอยู่อย่างคือเหตุผลที่ทำไปเพื่ออะไรจับตัวประกันทำไม มาๆเริ่มลงมือจัดการเข้ารถไฟดำเนินตามแผนอย่างเป็นขั้นตอนชนิดไม่รีรอเกริ่นตัวละครให้ฟังกันสักนิดเว้นแต่กับวอลเทอร์ที่เริ่มด้วยชีวิตครอบครัวออกไปทำงานเช่นประจำ บางทียังสงสัยเลยว่าชีวิตที่แตกต่างของทั้งสองคือสิ่งที่หนังกำลังบอกใช่ไหมว่าเราไม่เหมือนกัน อีกคนมีครอบครัวรอคอยอยู่ที่บ้านหลังหลังจากทำงานเสร็จ ในขณะที่อีกคนคือชายผู้มีเบื้องหลังในใจและกำลังทำบางอย่างให้เสร็จ
The Taking of Pelham 1 2 3 สามารถเป็นตัวเลือกที่จะดูหรือไม่ดูก็ได้เพราะพล็อตเรื่องค่อนข้างซ้ำรูปแบบตามสเต็ปไม่มีอะไรให้หวือหวาหรือหักมุมในตอนท้ายเรื่องจนผู้ชมต้องอึ้งได้ แต่สิ่งที่น่าจดจำคือการพูดคุยส่งต่อบทอย่างเมามันส์ที่ทั้งแข็งทั้งอ่อนจนกลายเป็นของเด็ดของเรื่องโดยไม่ต้องหวังเรื่องแอ็คชั่นมันส์ๆเพราะแค่เจรจาก็สนุกใช่หยอกแล้ว โดยส่วนตัวชอบหลายอย่างเกี่ยวกับบทของเรื่องนี้ที่พยายามเจาะหามุมต่างๆให้เรื่องออกมากว้างเท่าที่ทำได้ หรือกระทั่งการทำให้สิ่งที่เป็นธรรมเนียมเดิมๆหายไปอย่างการได้เจ้าหน้าที่มาเจรจาแทนวอลเตอร์เพื่อรับช่วงต่อตามหน้าที่ ทว่าไรเดอร์ดันไม่ชอบเพราะคุยกับวอลเทอร์รู้สึกสนุกและเป็นกันเองมากกว่าจะมาคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเจรจาที่มีแต่คำพูดหยอกล่อให้หลงกลจนน่ากวนประสาท แต่ที่ชอบคือคนที่เล่นเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายเจรจาคือ John Turturro ที่ชอบเพราะไม่ใช่อะไรกับฉากที่โผล่มาตอนแรกๆเหมือนจะมีประสบการณ์ที่สั่งให้วอลเทอร์เลิกคุยกับไรเดอร์ต่อเพราะพี่จะเคลียร์เอง แล้วผลเป็นไงไม่ขอบอกแต่เอาเหวอไปตามๆกันเลยที่สุดท้ายต้องเรียกวอลเทอร์กลับมาคุยกับไรเดอร์ใหม่ ซึ่งในฉากนั้นถ้ามองในหลายๆแง่จะเป็นฉากที่สะเทือนใจค่อนข้างมากเนื่องจากมีการดำเนินเนื้อเรื่องช่วงนั้นที่รวดเร็วจับอารมณ์ได้กระชากใจมาก ที่สำคัญคือประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่กลับต้องหน้าแตกเพราะคิดว่าตัวเองคุมคนร้ายได้ซึ่งกับไรเดอร์เป็นมากกว่าผู้ร้ายทั่วๆไป จังหวะนี้แหละที่เนื้อเรื่องเริ่มเข้มข้นมากขึ้นเพราะกระตุ้นได้ถูกเวลา
ที่ไม่น้อยหน้าไปกว่าคือการทำให้ตัวละครออกมามีมิติในแบบเสียดสี อย่างเช่นนายก (James Gandolfini) ที่ต้องออกมากู้หน้าเพื่อคุมวิกฤษคนร้ายจี้ตัวประกันเรียกค่าไถ่โดยต้องมีส่วนเอาหน้าตัวเองไปมีเอี่ยวด้วยเพื่อเอาใจประชาชน แต่กับเรื่องนี้มาแบบไม่คุ้นอย่างที่คิดเนื่องจากนายกคนนี้ไม่สนใจกับการเมืองอีกแล้วแถมรู้สึกเบื่อๆกับชีวิตที่ถูกจับจ้องตลอดเวลา สังเกตได้จากการไปไหนมาไหนแทนที่จะหรูหราเรียกรถส่วนตัวดันเลือกขึ้นรถไฟใต้ดินใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไปแม้จะมีการ์ดคุมอยู่ไม่ทิ้งห่าง หรือกระทั่งการบอกตัวเองว่าจะไม่ลงสมัยหน้าไม่อยากเป็นนายกอีกแล้ว อยากจะใช้ชีวิตสบายๆกับเขาบ้าง ไอ้เรื่องทำนองยอมรับว่าไม่เคยเห็นเท่าไหร่เลยจริงๆมีแต่จะรักษาหน้าเอาต่อมากกว่า
กระนั้นสิ่งที่ทำให้ตัวละครมีมิติคือเบื้องหลังข้อผิดพลาดในอดีตที่ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอย่างเรื่องของวอลเทอร์เกี่ยวกับรับสินบทเงินใต้โต๊ะเพื่อบอกให้รถไฟของประเทศนี้ดีกว่าจนเป็นเหตุให้ถูกลดการงานมานั่งคุมรถไฟเป็นครั้งคราวไปก่อนเพราะยังพิสูจน์ไม่ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ประเด็นเหมือนจะเลื่อนลอยโยงเข้ามาไม่ได้หรอกหากไม่ใช่เพราะไรเดอร์ที่กำลังทดสอบวอลเทอร์ให้พูดความจริงออกมาว่ารับจริงใช่ไหมและรับมาได้ยังไงตลอดจนทำไม วอลเทอร์เองก็ปฏิเสธว่าเปล่าไม่ได้รับเงินมา แต่ไรเดอร์บีบคั้นให้พูดความจริงออกมาว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่ถึงถูกกล่าวหาแบบนั้น ใช่เพราะรับสินบทมาจริงใช่ไหมแล้วได้มาเท่าไหร่นำเงินก้อนนั้นไปใช้กับอะไร นาทีนี้แหละที่ระทึกใช่ย่อยเพราะถูกดดันจากคนที่ไม่เคยรู้จักยังไม่พอหากถูกดดันจากคนรอบข้างอีกด้วย นั้นแหละที่ทำให้รู้ว่าตัวละครในหนังเรื่องนี้ไม่มีขาวสะอาดหมดจด คนทุกคนย่อมมีสีเทาอยู่ด้วยเสมอ เว้นแต่สีนั้นเอียนเอียงไปทางไหนมากกว่ากันระหว่างค่อยๆเข้มกับค่อยๆจาง
ตัวละครวางได้มีมิติดีจนน่ายกย่องที่สามารถโยงเรื่องนอกเข้ามาสู่เรื่องที่เกิดขึ้นภายในได้อย่างไม่มีเบื่อทั้งที่มีแต่บทสนทนาเกือบทั้งเรื่อง ดังนั้นใครที่ไม่นิยมชมชอบสไตล์ทริลเลอร์แอ็คชั่นน้อยเอาแต่คุยคงออกอาการเบื่ออยากหลับแน่นอนเพราะสิ่งเดียวที่กระตุ้นให้ร่วมลุ้นคือการเข้าถึงตัวละคร การปูพื้นตัวละครจึงเป็นสิ่งสำคัยซึ่งอันนี้ถือว่าใช้ได้มากเลยทีเดียวแต่คงเพราะอยากให้ออกมาน่าสงสัยด้วยทำให้ฝ่ายร้ายจึงมีการปูเบื้องหลังที่น้อยมากๆจนเป็นปัญหาทำเอาหนังหลวมได้ง่ายเช่นกัน แต่วิธีนี้จะไม่มีปัญหาเลยจริงๆหากตอนจบเฉลยเหตุผลการจี้ตัวประกันได้น่าโอเคแล้วผลออกมาคือไม่น่าประทับใจเท่าที่ควรนัก มันจบง่ายเกินไปเหตุผลต่างๆนาๆก็ลงเอยด้วยความเรียบง่ายคล้ายหมดมุขไปต่อต้องใส่เข้าไปทันทีโดยไม่ลีลาก่อนจะกลายเป็นความยืดยาด เอาเป็นว่าสำหรับคนหวังแอ็คชั่นไม่ต้องไปหวังหรอกเพราะฉากยิงมีอยู่นิดเดียวนอกจากนั้นคือ Take Take Take ทั้งเรื่องนั่นแหละ บางทีถ้าจับจุดเอาสิ่งที่พูดคุยกันมาฟังกันให้ดีๆจะเป็นอีกหนึ่งความมันส์ก็ยังได้ นับเป็นอีกหนึ่งหนังมาตรฐานของ Tony Scott ผู้กำกับหนังไฟแรงที่เหวี่ยงได้เหวี่ยงด้วยความสมจริง